บทที่ 7 บทที่ 23 ฝันคลั่ง (2)

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

“อัปลักษณ์จริงๆ” 

 

 

นีโรนั่งพิงโรงสีข้างแม่น้ำ มือถือผ้ากำลังเช็ดดาบยามะในมือ ชูดาบยามะขึ้นมาดูคมของมัน “นายว่าใช่ไหม ดาบยามะ” 

 

 

ตัวดาบเป็นประกายสีแดงเข้มเล็กน้อยเหมือนจะเห็นด้วย 

 

 

นีโรยิ้มและพูดว่า “แต่ก็ไม่มีทางเลือกใช่ไหมล่ะ คนที่ไม่กล้าต่อต้านโชคชะตาก็ได้แต่ต้องยอมรับชะตากรรม ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องน่าเศร้าแค่ไหน…มนุษย์น่ะ รู้อยู่ชัดๆ ว่าถ้าพยายามหน่อยล่ะก็ แต่ตั้งแต่เริ่มต้นถึงท้ายที่สุดกลับไม่รู้ว่ากำลังกลัวอะไรอยู่…” 

 

 

เธอหลับตาลง ฟังเสียงคราญครางที่ดังออกมาจากโรงสีเล็กๆ ด้านหลัง 

 

 

เสียงที่หดหู่และสิ้นหวัง 

 

 

… 

 

 

… 

 

 

 “เป็นแบบนั้นเหรอ” 

 

 

คุกไม่คุ้นเคยกับสภาพพื้นที่ในละแวกนี้ แต่เมื่อพูดถึงโรงสีร้างแล้ว ดูเหมือนคนในหมู่บ้านจะรู้ว่าอยู่ที่ไหนกันหมด ดังนั้นเขาจึงหาพบได้โดยไม่เปลืองแรงมากนัก 

 

 

พระอาทิตย์ตกนานแล้ว แต่มองไกลๆ ก็ยังสามารถมองเห็นแสงไฟภายในโรงสีส่องออกมา น่าจะเป็นพวกอุปกรณ์โคมไฟ 

 

 

ตอนนี้มีผู้ชายสองคนกำลังนั่งอยู่ด้านหน้าประตูโรงสี ทั้งสองคนถือไฟฉายและส่องแสงไฟไปรอบๆ…คงกำลังรอการมาถึงของเขาอยู่ 

 

 

คุกหยิบก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งขึ้นมาจากพื้น จากนั้นก็เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเหมือนแมวป่าเข้าไปใกล้ด้านหลังของผู้ชายคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว 

 

 

เขาใช้มือหนึ่งปิดปากผู้ชายคนนั้นจากด้านหลัง จากนั้นก็ใช้หมัดชกเข้าที่ขมับของผู้ชายคนนั้นอย่างแรง ผู้ชายคนนั้นเบิกตากว้างไปชั่วขณะและสลบลงในทันที 

 

 

ในพริบตาที่ไฟฉายในมือตกลงพื้นก็ดึงดูดความสนใจของผู้ชายอีกคน 

 

 

ผู้ชายอีกคนส่องไฟฉายของตนเองมา แต่กลับได้ยินเสียงอะไรดังมาอีกทาง 

 

 

เขารีบมองไปทันที 

 

 

แต่นั่นเป็นเพียงก้อนหินเล็กที่คุกโยนออกไปเท่านั้น…ผู้ชายอีกคนไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ภายในความมืดมีบางอย่างกำลังเข้ามาใกล้ด้านหลังของเขา 

 

 

เขารู้สึกถึงการปะทะอย่างหนัก สมองยังไม่ทันรับรู้ถึงความเจ็บปวดก็สลบล้มกองลงไปบนพื้น 

 

 

ไม่ถึงห้าวินาที คุกก็จัดการคนเฝ้าประตูไปแล้วสองคน…เขารู้สึกว่าตัวเองต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน แต่เขายังไม่มีเวลาครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ 

 

 

เขาเดินไปยังโรงสี กำลังคิดจะมองดูสถานการณ์ภายในจากหน้าต่างด้านข้าง 

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าประตูไม้ของโรงสีจะเปิดออก อีกทั้งยังได้ยินเสียงจางคุนพูดว่า “ล่ายผี เอาน้ำมา ฉันคอแห้งจะตายแล้ว” 

 

 

จางคุนที่อยู่ตรงหน้านั้นเปลือยร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ตอนนี้กำลังคาดเข็มขัดหนังที่เอว ดูจากท่าทีแล้วคงเหนื่อยมาก…ทันใดนั้นดวงตาของจางคุนก็เบิกกว้าง 

 

 

เขามองเห็นคุก…คนต่างชาติคนนี้เหมือนผีร้ายไม่มีผิด อยู่ดีๆ ก็มาปรากฏตัวอย่างไร้สุ้มเสียงท่ามกลางความมืด 

 

 

นั่นเป็นสายตาที่น่ากลัวที่สุดที่เขาเคยเห็นมา จางคุนตื่นตัวขึ้นมา “ล่ายผี พวกนายไปไหน” 

 

 

เขาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว แต่ก็เร็วไม่สู้การเคลื่อนไหวของคุกและหมัดเหล็กของเขา หมัดนี้ไม่มีความลังเล เป็นเหมือนกับลูกปืนที่พุ่งเข้าใส่หน้าอกของจางคุน 

 

 

แม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยไขมัน แต่ก็ไม่สามารถชะลอการโจมตีในครั้งนี้ได้ ทันใดนั้นอวัยวะภายในของเขาก็กลับตาลปัตรไปมาเหมือนกับคลื่นลมในทะเล จางคุนรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงกระดูกหน้าอกของตนเองแตก 

 

 

ปัง 

 

 

ร่างกายของเขากระเด็นลอยไปชนเข้ากับเสาไม้ในโรงสีจนเสาเกือบหัก นี่เป็นเสาไม้ที่แข็งแรงกว่าต้นขาของผู้ชายวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง  

 

 

แต่คุกก็ไม่ได้เข้าไปทุบตีจางคุนต่อ เพียงยืนตัวสั่นเล็กน้อยอยู่นอกประตู  

 

 

ภายในประตู…ตรงมุมของโรงสี เด็กหญิง…เสี่ยวจือถูกปิดตาและถูกแถบผ้ามัดอยู่กับพื้น ส่วนข้างๆ ตัวของเธอ ซานเอ๋อร์กำลังเงยหน้าขึ้นมาอย่างสิ้นหวัง 

 

 

ผมที่ยุ่งเหยิงไม่สามารถปกปิดดวงตาอันสิ้นหวังบนใบหน้าของเธอได้ เธอกอดร่างกายของตนเองแน่น สองมือคว้าเสื้อผ้าที่ฉีกขาด 

 

 

บนแขน บนไหล่ และสองขาเปลือยเปล่ามีรอยสีเขียว สีแดงจากการถูกทำร้ายปรากฏให้เห็น 

 

 

เหมือนอยู่กันคนละโลก 

 

 

 “ซานเอ๋อร์…” เป็นครั้งแรกที่คุกร้องเรียกชื่อนี้ เขาเดินข้ามธรณีประตูไป 

 

 

 “อย่าเข้ามา” ซานเอ๋อร์ร้อง 

 

 

เธอกุมหัวของตนเองแน่น ร่างกายสั่นสะท้านอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น เธอกรีดร้องว่า “อย่าเข้ามา! อย่าเข้ามา! อย่ามองฉัน อย่ามอง!” 

 

 

 “ซานเอ๋อร์” คุกพุ่งไปตรงหน้าซานเอ๋อร์ ใช้สองแขนกอดเธอแน่น 

 

 

ซานเอ๋อร์ฟุบตัวร้องไห้บนไหล่ของคุก ทุบกำปั้นลงบนตัวของเขา “ทำไมเพิ่งมา…ทำไมถึงเพิ่งมา…” 

 

 

 “ขอโทษ ขอโทษด้วย…ขอโทษ” 

 

 

ทันใดนั้นซานเอ๋อร์ก็หยุดและพูดอย่างเศร้าใจว่า “มาร์ค…ฉันไม่อยากคิดแล้ว…ฉันไม่อยากคิดถึงเรื่องเดรัจฉานนั่น…ยิ่งไม่อยากคิดถึงว่าต่อหน้าเสี่ยวจือ…มาร์ค คุณรู้ไหม…” 

 

 

 “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว” คุกกอดเธอแน่นขึ้น 

 

 

 “ไม่เหมือน…ฉันไม่เหมือนคุณ…” ซานเอ๋อร์ค่อยๆ เสียสติ “ไม่เหมือนกัน…มาร์ค ช่วยฉันดูแลเสี่ยวจือที ฉันเหนื่อย…เหนื่อยมาก” 

 

 

 “ซานเอ๋อร์…ซานเอ๋อร์?” คุกรู้สึกได้ว่าร่างกายของซานเอ๋อร์ในอ้อมอกสั่นเล็กน้อย 

 

 

 “ซานเอ๋อร์!” 

 

 

ตอนนี้มีเลือดไหลออกมาจากส่วนท้องของผู้หญิงคนนี้…สองมือของเธอถือท่อนฟืน ปลายส่วนหัวท่อนฟืนที่แหลมคมทำให้มันเป็นเหมือนหนามที่แหลมคม  

 

 

 “ซานเอ๋อร์!” 

 

 

ดวงตาของคุกแดงฉาน ปวดหัวจนแทบระเบิด เขากุมหัวของตนเอง มือหนึ่งประคองร่างที่ล้มลงของซานเอ๋อร์ คุกเข่าลงบนพื้น ริมฝีปากแตก…เขาไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ 

 

 

ทันใดนั้นก็มีลมโจมตีเข้ามา คุกยกมือขึ้นกันตามสัญชาตญาณ แต่พลังในการโจมตีรุนแรงเกินไปทำให้ร่างกายของเขากระเด็นออก 

 

 

แต่ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาก็แข็งแกร่งเหนือกว่าที่เขาคาดคิด การโจมตีนี้ไม่สามารถหยุดเขาได้ เขาพลิกตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว 

 

 

ตรงหน้าเป็นคนสวมชุดคลุมตัวใหญ่คนหนึ่ง 

 

 

จะต้องไม่ใช่พวกเดียวกับจางคุนแน่นอน…สัญชาตญาณของเขาส่งสัญญาณเตือนให้ระมัดระวังคนคนนี้ 

 

 

คนประหลาดที่สวมชุดคลุมขนาดใหญ่ ใส่หมวกและผ้าปิดปากมองไปยังซานเอ๋อร์บนพื้น ส่ายหน้าและพูดว่า “เป็นบทสรุปที่พบเห็นได้บ่อยจริงๆ ฉันยังคิดว่าจะแตกต่างเสียอีก ควรจะแข็งแกร่งกว่านี้ถึงจะถูก” 

 

 

 “เป็นนาย…ที่ชี้นำพวกเขาให้ทำแบบนี้งั้นเหรอ” น้ำเสียงของคุกเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้น 

 

 

 “ใช่” คนประหลาดคนนั้นยักไหล่และพูดว่า “ซาบซึ้งใจหรือเปล่าล่ะ คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะดีขนาดนี้ รู้สึกผิดต่อนายจนฆ่าตัวตาย ใช่แล้ว ถามหน่อยสิ มีผู้หญิงคนหนึ่งทำแบบนี้กับนาย นายรู้สึกยังไง เอ๋…ดูเหมือนนายจะไม่แยแสนะ” 

 

 

คุกพูดว่า “ไม่ ฉันคิดจะฆ่านาย แต่ฉันจะไม่ยอมให้นายกระตุ้นฉันให้โกรธจนสูญเสียความสุขุมไป มันไม่ส่งผลดีต่อฉัน…แม้ว่าฉันจะอยากฆ่านายจริงๆ ก็จะไม่ยอมสูญเสียความสุขุมไป” 

 

 

คนประหลาดคนนั้นชะงัก ทันใดนั้นก็ถอนหายใจ “ถึงก่อนหน้านี้จะเคยคิดถึงผลลัพธ์แบบนี้อยู่บ้าง แต่ก็ยังรู้สึกว่าล้มเหลวอยู่ดี ดูแล้วหัวใจของนายคงตายไปแล้ว…เอาเถอะ” 

 

 

คนแปลกประหลาดยักไหล่และพูดว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นทิ้งเด็กคนนี้เอาไว้…ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะ” 

 

 

คนประหลาดคนนั้นพลิกมือ เห็นเพียงแสงอันเย็นยะเยือกพุ่งเข้ามาจากนอกโรงสีทำลายหน้าต่างเข้ามาสู่ฝ่ามือของคนแปลกประหลาดคนนั้น จากนั้นก็ฟันลงไปที่เสี่ยวจือที่อยู่บนพื้นในพริบตา 

 

 

แต่แสงอันเย็นยะเยือกก็ฟันโดนเพียงพื้นที่เสี่ยวจือเคยนอนอยู่เท่านั้น 

 

 

ขณะเดียวกันคุกก็ได้กอดเสี่ยวจือกลิ้งไปบนพื้น จากนั้นก็รีบลุกขึ้นมา เขาช่วยเสี่ยวจือจากเงื้อมมือคนแปลกประหลาดคนนี้โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น 

 

 

เพราะเหตุนี้แขนซ้ายของเขาจึงมีรอยแผลที่ลึกถึงกระดูกอยู่รอยหนึ่ง 

 

 

 “เสี่ยวจือ” 

 

 

ได้ยินเสียงของเสี่ยวจือในอ้อมอกพูดเบาๆ ว่า “ลุงมาร์ค แม่ละคะ…” 

 

 

 “เธอ…เธอไม่เป็นอะไร” 

 

 

 “ลุงมาร์ค…พวกเรากลับบ้านกันเถอะ…เสี่ยวจือกลัวมาก…กลัวมากเลย…เสี่ยวจือเจ็บ…เจ็บมากเลย…” 

 

 

คุกยื่นมือออกไปลูบแผ่นหลังของเสี่ยวจืออย่างอ่อนโยน…เลือด 

 

 

 “ตายจริง ดูเหมือนฉันจะฟันโดนนะ” คนประหลาดคนนั้นหัวเราะ 

 

 

แต่คุกไม่ได้ยิน…เขาไม่อยากได้ยิน ความสงบหายไปจากร่างกายของเขา ส่วนลึกของหัวใจที่เหมือนตายไปแล้วมีบางอย่างที่รุ่มร้อนกำลังปะทุออกมา 

 

 

 “เสี่ยวจือ! เสี่ยวจือ!” 

 

 

 “ลุงมาร์ค…เสี่ยวจือมองไม่เห็น…มันมืดมากเลย…เสี่ยวจือมีอะไรจะบอก…แม่ แม่จะต้อง จะต้องชอบลุงมาร์คแน่ๆ…ลุงมาร์ค…” เสี่ยวจือพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ลุงมาร์ค…เป็นพ่อของเสี่ยวจือ…ได้ไหม…” 

 

 

ในที่สุดเด็กสาวในอ้อมอกก็หมดลมหายใจลง 

 

 

คุกกอดร่างของเธอแล้วคุกเข่าลงบนพื้น นิ่งไม่ขยับ 

 

 

… 

 

 

นานแล้ว…คุกยังคงนิ่ง 

 

 

คนประหลาดที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไป…หรือนีโรเกาแก้มโดยไม่รู้ตัว คิดว่า ทำเกินไปหน่อยหรือเปล่านะ  

 

 

ทันใดนั้นดาบยามะที่อยู่ในมือก็ส่งไอความร้อนออกมา แววตาของนีโรวาบขึ้น…ดวงตาเผยร่องรอยตื่นเต้น พึมพำว่า “มาแล้ว มาแล้ว…ในที่สุดก็มาแล้ว” 

 

 

ไอดำเป็นชั้นๆ เหมือนควันจากกองไฟโผล่ออกมาจากตัวของคุก 

 

 

ไอสีดำเหล่านี้เหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ คุกวางร่างเสี่ยวจือลงบนพื้นเบาๆ และยืนขึ้นมา 

 

 

เขามองคนตรงหน้าเงียบๆ หลังผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พูดว่า “นีโร…เธอทำเกินไปแล้ว” 

 

 

 “ตายจริง กลับมาแล้วเหรอ” นีโรฉีกอุปกรณ์ปลอมตัวบนร่างของเธอออก ถือดาบยามะไว้ในมือ “ถือว่าไม่ได้ทำไปโดยเปล่าประโยชน์แล้วสิ” 

 

 

 “ทำเกินกว่าเหตุ” ดวงตาของคุกไร้อารมณ์และพูดว่า “ฉันสามารถฟื้นฟูความทรงจำด้วยตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้เธอเข้ามายุ่ง” 

 

 

 “ก็มันน่าเบื่อนี่” นีโรกะพริบตา…แต่ขนทั้งร่างกายกลับตั้งชันเหมือนได้รับความกดดันอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน หัวใจของเธอกำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง ความตื่นตะลึง ความหวาดกลัว รวมไปถึงความตื่นเต้นผสมปนเปกัน ร่างกายรวมไปถึงจิตวิญญาณถูกกระตุ้นให้ตื่นเต้นจนถึงขีดสุด 

 

 

ผู้ชายที่ภายนอกและในใจเย็นชาอย่างถึงขีดสุดคนนี้…ไม่เคยมีไอสังหารแบบนี้มาก่อน 

 

 

คุกพยักหน้า “สมาคมส่งเธอมางั้นเหรอ” 

 

 

 “นายหายสาบสูญไปตั้งนานนี่ พวกแก่ๆ เหล่านั้นก็ต้องคิดอะไรบางอยู่แล้ว” นีโรยิ้มและพูดออกมา 

 

 

 “ฉันจะกลับไปอยู่แล้ว” คุกพยักหน้า จากนั้นก็พูดอีกว่า “หลังจัดการกับเธอ” 

 

 

พูดแล้วเขาก็ยื่นมือขวาออกไป ไอดำที่พันรอบตัวของเขาหมุนวนรอบแขน คุกกางนิ้วทั้งห้าออก 

 

 

ครั้งนี้เขาไม่ได้สงบนิ่ง เขาเป็นเหมือนกับภูเขาไฟที่หลับใหลมานับพันปีใต้ทะเลลึกที่กำลังปะทุ 

 

 

เสียงคำรามดังออกมา 

 

 

 “Gae-Bolg (เกโบลก์หรือหอกแห่งความตาย)” 

 

 

… 

 

 

ภายในเอลิเซียมบาร์ที่ครึกครื้นและบ้าคลั่ง ซุนเสี่ยวเซิ่งที่กำลังดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของความมึนเมากำลังเต้นอย่างสนุกสนานอยู่บนเวที 

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าเสาสีดำที่เขากำลังรูดตัวปีนขึ้นไปจะเขย่าร่างกายของเขาและร้อนเหมือนลาวาขึ้นมา พริบตาเดียวก็หลุดออกจากการเกาะกุมของเขา พุ่งทะลุเพดานของเอลิเซียมบาร์แล้วหายไปกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน 

 

 

 “พี่เสี่ยวเซิ่ง พี่เสี่ยวเซิ่ง” 

 

 

บรรดาปีศาจตกใจมาก กรูกันเข้ามา เห็นเพียงเถ้าแก่เอลิเซียมบาร์กำลังกุมส่วนล่างของตนเอง ใบหน้าฉายแววเจ็บปวด ส่วนปากก็พ่นฟองน้ำลายออกมา กลิ้งไปมาอยู่บนพื้น 

 

 

…  

 

 

…  

 

 

ทวนยาวสีแดงดุจเลือดฉีกขาดมิติมาปรากฏอยู่ข้างกายคุก พริบตาเดียวที่นิ้วทั้งห้าของเขาจับตัวทวน ความรู้สึกยินดีก็กระจายออกไปทั่วร่างของคุก  

 

 

เหมือนทวนจะรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและเกรี้ยวกราดของเจ้านายมัน ทวนยาวจึงเก็บความรู้สึกยินดีกลับเข้าไปและเผยพลังมหาศาลออกมา  

 

 

พลังนี้ทำลายชั้นบนของโรงสีให้กลายเป็นฝุ่นในพริบตา 

 

 

นีโรใช้สองมือจับดาบยามะของตนเอง ผมสีขาวกระจายออก เผยสีหน้าบ้าคลั่ง หัวเราะเสียงดังออกมา “มาแล้ว มาแล้ว มาแล้ว…ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดก็มาแล้ว” 

 

 

มีพลังต้านทานผุดออกมาจากดาบยามะ สองพลังอันแข็งแกร่งปะทะกันทำให้ส่วนที่เหลือของโรงสีฉีกปลิวออกเป็นชิ้นส่วนในพริบตา 

 

 

แต่คุกกลับไปยืนขวางอยู่หน้าร่างของซานเอ๋อร์และเสี่ยวจือ ด้านหลังของเขา ไม่ว่าพลังจะรุนแรงแค่ไหนก็สงบนิ่งเหมือนวันที่อากาศปลอดโปร่ง 

 

 

 “แบ่งสมาธิก็เป็นนี่ คุก” นีโรกลับใช้พลังของดาบยามะอย่างเต็มที่ 

 

 

 “ยิงให้ตาย…แทงทะลุ” คุกพูดเบาๆ… Gae-Bolg (เกโบลก์หรือหอกแห่งความตาย) ในมือก็หายไปในพริบตา…แต่เพียงพริบตาเท่านั้นก็มาปรากฏตัวในมือของเขาอีกครั้ง 

 

 

ทันใดนั้นนีโรก็ไม่ขยับอีก ดาบยามะที่ปล่อยพลังอันบ้าคลั่งสูญเสียการสนับสนุนและกระจายไปกลายเป็นลมกวาดทุกอย่างรอบๆ 

 

 

นีโรยื่นมือออกไปกุมหัวใจของตนเอง พิจารณาดูคุกแวบหนึ่ง เหมือนจะเข้าใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง มิน่าในบรรดานักรบเทพถึงไม่มีใครกล้ายั่วโมโหนาย…ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ แบบนี้เอง…” 

 

 

เธอกระอักเลือดออกมาจากปากไม่หยุด 

 

 

สองมือของนีโรที่ยังจับด้ามของดาบยามะอยู่ แทงมันลงไปในดิน ทันใดนั้นก็ส่งเสียงกรีดร้องที่น่ากลัวออกมา ตอนนี้มีแสงสีทองนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากร่างกายของเธอ 

 

 

พลังทำลายระเบิดออกมาจากร่างกายของเธอเหมือนกับคมมีด แทงทะลุอวัยวะภายในของเธอออกมา 

 

 

ในที่สุดเธอก็คุกเข่าอยู่ตรงหน้าดาบยามะ พิงตัวกับด้ามดาบ พูดเพียงประโยคเดียวว่า แพ้แล้ว 

 

 

จากนั้นก็ล้มลงไปในกองเลือด 

 

 

… 

 

 

คุกสูดหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน จากนั้นก็ถอนหายใจยาว เขาเดินไปตรงหน้านีโรด้วยดวงตาไร้อารมณ์และใช้ทวนพลิกตัวนีโรขึ้นมา 

 

 

ใช้ปลายทวนเปิดเสื้อผ้าของนีโรและเอาของที่ซ่อนอยู่ในนั้นออกมา…รวมไปถึงยาช่วยชีวิตที่นักรบเทพมักพกติดตัวเสมอด้วย 

 

 

เขาเก็บดาบยามะไว้ ดาบยามะที่สูญเสียเจ้าของ ตอนนี้พลันขึ้นสนิม  

 

 

เขาเก็บดาบยามะอย่างง่ายๆ จากนั้นก็อุ้มร่างของซานเอ๋อร์และเสี่ยวจือขึ้นมา หลังจุดไฟเผาและเห็นว่าศพในนั้นถูกเผาจนหมดสิ้นแล้ว คุกถึงได้จากไป  

 

 

เขามองดูซานเอ๋อร์กับเสี่ยวจือและพูดว่า “ถึงฉันจะเป็นครอบครัวให้พวกเธอไม่ได้…แต่อย่างน้อย ฉันก็สามารถพาพวกเธอกลับบ้านได้”