บทที่ 7 บทที่ 24 สลัดออก

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

“…สุดท้าย ผมก็ฆ่านีโรตาย” 

 

 

คุกใช้อุปกรณ์สื่อสารที่ได้มาจากตัวของนีโรติดต่อกับสมาคม 

 

 

ทางนั้นเงียบฟังการรายงานจากคุก หลังผ่านไปนานถึงมีเสียงตอบกลับมาว่า “ทรราชมักจะควบคุมได้ยากเสมอ ผ่านมาตั้งหลายปีกลับมีแค่นีโรคนเดียวที่สืบทอดดาบยามะได้ แต่เรื่องนี้ก็ต้องโทษตัวเธอเองที่ทำให้นายโมโห ได้ความตายเป็นผลลัพธ์ก็สมควรให้เธอรับผิดชอบเอง…อืม เก็บดาบยามะกลับคืนมาก็พอ คุก ในเมื่อภารกิจทางตะวันออกล้มเหลวแล้วก็รีบกลับมาเถอะ” 

 

 

 “รับทราบ” คุกตอบ 

 

 

บนโต๊ะมีทวนของเขาวางอยู่กับดาบยามะที่ขึ้นสนิม หลังคุกตัดการติดต่อแล้วก็วางอุปกรณ์สื่อสารไว้ด้วยกัน 

 

 

เขาตักน้ำอุ่นมา หลังชุบผ้าจนเปียกแล้วก็บิดเล็กน้อย 

 

 

เมื่อวางซานเอ๋อร์กับเสี่ยวจือไว้บนเก้าอี้แล้ว เขาก็ใช้ผ้าเช็ดร่องรอยบนใบหน้าของซานเอ๋อร์และเสี่ยวจือ ความเจ็บปวดถูกเผยออกมาจากการเคลื่อนไหวของเขา 

 

 

เพราะเขาเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนมาก 

 

 

เขาที่ฟื้นฟูความทรงจำแล้วรู้อย่างชัดเจนว่าตนเองไม่ได้รักผู้หญิงคนนี้…คนที่มีความรู้สึกพิเศษให้ซานเอ๋อร์ก็มีเพียงคนที่ชื่อมาร์คเท่านั้น 

 

 

 “ชื่อของฉันคือคุก” 

 

 

หลังจัดการกับร่างของซานเอ๋อร์และเสี่ยวจือเรียบร้อยทำให้พวกเธอดูเหมือนกำลังหลับอยู่แล้ว คุกถึงได้นั่งลงข้างๆ และเริ่มเช็ดทวนยาวของตนเอง 

 

 

 “ตอนอายุได้สามขวบ มีคนพูดกับฉันว่าฉันเป็นพลเมืองของอาณาจักรแห่งเงา” 

 

 

คุกหรี่ตาลง ยกปลายทวนมาที่ระดับสายตา จากนั้นก็เช็ดเบาๆ 

 

 

 “แต่อาณาจักรแห่งเงาอยู่ที่ไหนกัน ฉันไม่เคยรู้มาก่อน ต่อมามีผู้หญิงคนหนึ่งรับฉันไปเลี้ยง พาฉันขึ้นไปบนยอดเขาหิมะและฝึกฝนฉัน” 

 

 

 “น่าจะประมาณสิบขวบได้ที่ฉันฆ่าหมีบนยอดเขาหิมะด้วยมือของฉันเอง” 

 

 

เขาพูดถึงความทรงจำที่เขาไม่เคยพูดให้ใครฟังมาก่อน 

 

 

 “ฉันอาศัยอยู่กับเธอมาโดยตลอด ผ่านไปสิบห้าปี…ผู้หญิงคนนั้นคืออาจารย์ของฉัน” 

 

 

คุกยิ้มและเช็ดทวนยาวต่อ “แต่สำหรับฉัน เธอไม่เพียงเป็นอาจารย์ของฉัน แต่ยังเป็นผู้หญิงที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันด้วย ไม่อาจพูดได้ว่ารัก แต่ไม่สามารถขาดได้” 

 

 

 “มันชื่อว่า Gae-Bolg (เกโบลก์) เป็นของชิ้นเดียวที่เธอมอบให้ฉัน” 

 

 

… 

 

 

 “หลายปีมานี้ฉันออกตามหาเธอมาตลอด” 

 

 

คุกสูดหายใจเข้าลึกๆ นิ่งไปนานมาก จากนั้นถึงถอนหายใจเบาๆ และพูดว่า “เป็นแบบนี้ก็ดี ให้มาร์คอยู่ที่นี่กับพวกเธอตลอดไป” 

 

 

… 

 

 

 “สรุปแล้ว ฉันเป็นคนที่โชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่” 

 

 

เขานั่งนิ่งอยู่สักพักถึงยืนขึ้นมา เก็บทวน ดาบและพวกอุปกรณ์ เขาเป็นเหมือนนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ 

 

 

ในเมื่อเป็นนักท่องเที่ยว หลังจากพักชั่วคราวแล้วก็ต้องจากไป คุกจำคำพูดของผู้หญิงที่มอบทวนให้เขาได้ เธอพูดว่าไม่ต้องตามหาเธอ เพราะจะต้องมีสักวันที่เขาจะพบเจอสิ่งที่ควรค่าแก่การคิดถึงของเขา 

 

 

 “แต่มันก็สามารถพังทลายได้ใช่ไหมครับ…อาจารย์” 

 

 

คุกยิ้มอย่างเศร้าสร้อย หลังเก็บของแล้วก็มองสองแม่ลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเปิดประตูห้องรับรองแขก…และจากไป 

 

 

 “เปิดไฟก่อน เดี๋ยวชนของ เสี่ยวจือ” 

 

 

แต่ว่า… 

 

 

 “รู้แล้วน่า แม่” 

 

 

ในพริบตาเดียวที่ภายในห้องสว่างขึ้นมานั้น คุกก็ตัวแข็งทื่อในทันที…ฝันงั้นเหรอ  

 

 

 “ลุงมาร์ค กลับมาแล้วเหรอคะ” เด็กหญิงรีบเตะรองเท้าของตนเองที่หน้าร้านและพุ่งเข้ามาหาคุกทันที 

 

 

เป็น…ความฝัน 

 

 

 “คุณกลับมาแล้ว หิวไหม เดี๋ยวฉันทำอะไรให้กินดีไหม” ซานเอ๋อร์ถามอย่างเป็นห่วง 

 

 

เป็น…ความฝัน 

 

 

คุกหันกลับไปดูบนเก้าอี้ในห้องรับรองแขก…ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่บนนั้นเหลือเพียงกองฝุ่นทราย 

 

 

 “ลุกมาร์ค ทำไมในบ้านถึงมีทรายเยอะขนาดนี้” เสี่ยวจือดึงกางเกงของเขาและเงยหน้าถาม 

 

 

 “จริงๆ เลย” ซานเอ๋อร์ตกตะลึงมองดูทรายบนเก้าอี้ในห้องรับรองแขก ใบหน้าฉายแววสงสัยขึ้นมา “คุณเก็บมาเหรอ” 

 

 

 “พวกเธอ…ยัง” คุกพึมพำออกมา 

 

 

ซานเอ๋อร์พูดว่า “ไปสถานีตำรวจมาน่ะค่ะ ต่อมาอยู่ดีๆ เสี่ยวจือก็ปวดท้องเลยไปเอายาที่อนามัย ฉีดยาและเพิ่งได้กลับมานี่แหละ” 

 

 

 “สถานีตำรวจ เมื่อไหร่กัน” คุกขมวดคิ้ว 

 

 

ซานเอ๋อร์คิดและพูดว่า “อืม…น่าจะประมาณไม่นานหลังคุณที่ออกไปช่วงบ่าย มีตำรวจคนหนึ่งมาเคาะประตูบอกให้ฉันไปช่วยให้ปากคำเรื่องถูกคนเขียนอักษรใส่เมื่อวาน…ไม่รู้ว่าใครเป็นคนไปแจ้งตำรวจ ตำรวจบอกให้ฉันไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ ฉันเป็นห่วงว่าเสี่ยวจือจะอยู่คนเดียวไม่ได้เลยพาไปด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าเมืองของพวกเรามีตำรวจที่หนุ่มขนาดนั้นมาประจำการตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย” 

 

 

 “เสี่ยวจือก็ไม่เคยเห็นค่ะ” เสี่ยวจือยกมือขึ้นมาเหมือนตอนตอบคำถามคุณครูในชั้นเรียน “แต่พี่ตำรวจคนนั้นตัวหอมมาก หอมกว่าน้ำหอมที่แม่ซ่อนไว้ในตู้อีก” 

 

 

 “เสี่ยวจือ” ซานเอ๋อร์ดีดหน้าผากของลูกสาวตนเองเบาๆ จากนั้นก็พูดอย่าง ‘แค้นเคือง’ ว่า “ยังไม่ไปอุ่นน้ำอีก ลูกต้องกินยาแล้ว อยากปวดท้องกลางดึกใช่ไหม”  

 

 

 “รู้แล้ว” เสี่ยวจือวิ่งไปในห้องรับรองแขก 

 

 

ซานเอ๋อร์มองมาร์ค ใบหน้าแดงและพูดเบาๆ ว่า “ของบนตัวคุณคืออะไรเหรอ” 

 

 

คุกสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนพูดว่า “เรื่องของเธอจัดการเสร็จแล้วนะ ฉันเหนื่อยนิดหน่อย มีเรื่องบางเรื่องเอาไว้พูดกันพรุ่งนี้เถอะ” 

 

 

 “อย่างนั้นกินข้าว…” 

 

 

 “ไม่ต้อง” 

 

 

ไม่ใช่ความฝัน 

 

 

… 

 

 

… 

 

 

ไม่รู้ว่าไฟไหม้ที่โรงสีดับลงเมื่อไหร่ มีของจำนวนมากที่ถูกเผาจนเรียบ แต่เพราะอยู่ข้างแม่น้ำ ไฟจึงไม่ลามไปไกล 

 

 

โรงสีเหลือเพียงของบางอย่างที่ไหม้เกรียม เช่นไม้ของโรงสีและก็มี…ร่างของมนุษย์ 

 

 

เจ้าของสมาคมลั่วเดินไปบนขี้เถ้าและหยุดอยู่ตรงหน้าร่างกายที่ไหม้เกรียม จากนั้นก็ดีดนิ้ว 

 

 

ทันใดนั้นร่างกายที่ไหม้เกรียมก็ฉีกออก หลังของสิ่งที่มีสีดำไหม้แตกออกเผยให้เห็นเป็นผิวเนียนเรียบ…ร่างของคนลุกขึ้นนั่งบนขี้เถ้า บิดเอวยืดกาย 

 

 

 “คิดว่าจะตายไปแล้วจริงๆ เสียอีก” …นีโร 

 

 

นีโรที่อยู่เบื้องหน้าเจ้าของสมาคมลั่วตอนนี้ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าและนั่งอยู่บนพื้นอย่างไม่ใส่ใจพลางขยับคอ หัวเราะและพูดว่า “หลังแม่ลูกคู่นั้นกลับถึงบ้านแล้ว คุกร้องไห้ไหม” 

 

 

เจ้าของสมาคมลั่วส่ายหน้า 

 

 

นีโรถอนหายใจด้วยความรู้สึกผิดหวังไปชั่วขณะ พูดอย่างหดหู่ว่า “ไม่ใช่แค่พ่ายแพ้ แต่ยังไม่ได้เห็นน้ำตาของลุงคุกอีก…ล้มเหลวจริงๆ” 

 

 

เจ้าของสมาคมลั่วไม่พูดจา 

 

 

นีโรไม่สนใจ บิดเอวและกางแขนนอนราบลงไปบนพื้น พึมพำกับตัวเองว่า “ตามนิสัยของลุงคุกแล้วจะต้องรายงานขึ้นไปว่าฉันตายแล้วแน่ๆ ต่อไปก็ไม่ต้องกลับไปที่สถานที่น่าเบื่อแบบนั้นอีกแล้ว…อืม ก็ถือว่าไม่เลวเลย” 

 

 

เธอนั่งขึ้นมาและถามว่า “คืนนี้พระจันทร์สวยนะ ว่าไหมเจ้าของสมาคม” 

 

 

ลั่วชิวเงยหน้ามองแวบหนึ่งและพูดเบาๆ ว่า “พระจันทร์เต็มดวง” 

 

 

ทันใดนั้นนีโรก็กะพริบตาและพูดว่า “จะว่าไป…เจ้าของสมาคม นายจะไม่หาเสื้อผ้าให้ฉันใส่เลยหรือไง หรือชอบที่ฉันอยู่ในสภาพนี้มากกว่า ฉันไม่คิดมากนะ แต่ฉันก็ต้องเก็บเงินนะ แพงมากด้วย” 

 

 

ลั่วชิวโบกมือ ชุดแบบเดียวกับที่นีโรเคยใส่โผล่ออกมากลางอากาศ ตกลงบนร่างกายที่มีบาดแผลนับไม่ถ้วนของนีโร…รอยเหมือนใยแมงมุมทำให้คนรู้สึกว่ามันเป็นแผลเป็นที่น่ากลัวมาก 

 

 

 “ขอบคุณ” 

 

 

เธอรับชุดมาสวมอย่างเป็นธรรมชาติ