“…สุดท้าย ผมก็ฆ่านีโรตาย”
คุกใช้อุปกรณ์สื่อสารที่ได้มาจากตัวของนีโรติดต่อกับสมาคม
ทางนั้นเงียบฟังการรายงานจากคุก หลังผ่านไปนานถึงมีเสียงตอบกลับมาว่า “ทรราชมักจะควบคุมได้ยากเสมอ ผ่านมาตั้งหลายปีกลับมีแค่นีโรคนเดียวที่สืบทอดดาบยามะได้ แต่เรื่องนี้ก็ต้องโทษตัวเธอเองที่ทำให้นายโมโห ได้ความตายเป็นผลลัพธ์ก็สมควรให้เธอรับผิดชอบเอง…อืม เก็บดาบยามะกลับคืนมาก็พอ คุก ในเมื่อภารกิจทางตะวันออกล้มเหลวแล้วก็รีบกลับมาเถอะ”
“รับทราบ” คุกตอบ
บนโต๊ะมีทวนของเขาวางอยู่กับดาบยามะที่ขึ้นสนิม หลังคุกตัดการติดต่อแล้วก็วางอุปกรณ์สื่อสารไว้ด้วยกัน
เขาตักน้ำอุ่นมา หลังชุบผ้าจนเปียกแล้วก็บิดเล็กน้อย
เมื่อวางซานเอ๋อร์กับเสี่ยวจือไว้บนเก้าอี้แล้ว เขาก็ใช้ผ้าเช็ดร่องรอยบนใบหน้าของซานเอ๋อร์และเสี่ยวจือ ความเจ็บปวดถูกเผยออกมาจากการเคลื่อนไหวของเขา
เพราะเขาเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนมาก
เขาที่ฟื้นฟูความทรงจำแล้วรู้อย่างชัดเจนว่าตนเองไม่ได้รักผู้หญิงคนนี้…คนที่มีความรู้สึกพิเศษให้ซานเอ๋อร์ก็มีเพียงคนที่ชื่อมาร์คเท่านั้น
“ชื่อของฉันคือคุก”
หลังจัดการกับร่างของซานเอ๋อร์และเสี่ยวจือเรียบร้อยทำให้พวกเธอดูเหมือนกำลังหลับอยู่แล้ว คุกถึงได้นั่งลงข้างๆ และเริ่มเช็ดทวนยาวของตนเอง
“ตอนอายุได้สามขวบ มีคนพูดกับฉันว่าฉันเป็นพลเมืองของอาณาจักรแห่งเงา”
คุกหรี่ตาลง ยกปลายทวนมาที่ระดับสายตา จากนั้นก็เช็ดเบาๆ
“แต่อาณาจักรแห่งเงาอยู่ที่ไหนกัน ฉันไม่เคยรู้มาก่อน ต่อมามีผู้หญิงคนหนึ่งรับฉันไปเลี้ยง พาฉันขึ้นไปบนยอดเขาหิมะและฝึกฝนฉัน”
“น่าจะประมาณสิบขวบได้ที่ฉันฆ่าหมีบนยอดเขาหิมะด้วยมือของฉันเอง”
เขาพูดถึงความทรงจำที่เขาไม่เคยพูดให้ใครฟังมาก่อน
“ฉันอาศัยอยู่กับเธอมาโดยตลอด ผ่านไปสิบห้าปี…ผู้หญิงคนนั้นคืออาจารย์ของฉัน”
คุกยิ้มและเช็ดทวนยาวต่อ “แต่สำหรับฉัน เธอไม่เพียงเป็นอาจารย์ของฉัน แต่ยังเป็นผู้หญิงที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันด้วย ไม่อาจพูดได้ว่ารัก แต่ไม่สามารถขาดได้”
“มันชื่อว่า Gae-Bolg (เกโบลก์) เป็นของชิ้นเดียวที่เธอมอบให้ฉัน”
…
“หลายปีมานี้ฉันออกตามหาเธอมาตลอด”
คุกสูดหายใจเข้าลึกๆ นิ่งไปนานมาก จากนั้นถึงถอนหายใจเบาๆ และพูดว่า “เป็นแบบนี้ก็ดี ให้มาร์คอยู่ที่นี่กับพวกเธอตลอดไป”
…
“สรุปแล้ว ฉันเป็นคนที่โชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
เขานั่งนิ่งอยู่สักพักถึงยืนขึ้นมา เก็บทวน ดาบและพวกอุปกรณ์ เขาเป็นเหมือนนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ
ในเมื่อเป็นนักท่องเที่ยว หลังจากพักชั่วคราวแล้วก็ต้องจากไป คุกจำคำพูดของผู้หญิงที่มอบทวนให้เขาได้ เธอพูดว่าไม่ต้องตามหาเธอ เพราะจะต้องมีสักวันที่เขาจะพบเจอสิ่งที่ควรค่าแก่การคิดถึงของเขา
“แต่มันก็สามารถพังทลายได้ใช่ไหมครับ…อาจารย์”
คุกยิ้มอย่างเศร้าสร้อย หลังเก็บของแล้วก็มองสองแม่ลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเปิดประตูห้องรับรองแขก…และจากไป
“เปิดไฟก่อน เดี๋ยวชนของ เสี่ยวจือ”
แต่ว่า…
“รู้แล้วน่า แม่”
ในพริบตาเดียวที่ภายในห้องสว่างขึ้นมานั้น คุกก็ตัวแข็งทื่อในทันที…ฝันงั้นเหรอ
“ลุงมาร์ค กลับมาแล้วเหรอคะ” เด็กหญิงรีบเตะรองเท้าของตนเองที่หน้าร้านและพุ่งเข้ามาหาคุกทันที
เป็น…ความฝัน
“คุณกลับมาแล้ว หิวไหม เดี๋ยวฉันทำอะไรให้กินดีไหม” ซานเอ๋อร์ถามอย่างเป็นห่วง
เป็น…ความฝัน
คุกหันกลับไปดูบนเก้าอี้ในห้องรับรองแขก…ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่บนนั้นเหลือเพียงกองฝุ่นทราย
“ลุกมาร์ค ทำไมในบ้านถึงมีทรายเยอะขนาดนี้” เสี่ยวจือดึงกางเกงของเขาและเงยหน้าถาม
“จริงๆ เลย” ซานเอ๋อร์ตกตะลึงมองดูทรายบนเก้าอี้ในห้องรับรองแขก ใบหน้าฉายแววสงสัยขึ้นมา “คุณเก็บมาเหรอ”
“พวกเธอ…ยัง” คุกพึมพำออกมา
ซานเอ๋อร์พูดว่า “ไปสถานีตำรวจมาน่ะค่ะ ต่อมาอยู่ดีๆ เสี่ยวจือก็ปวดท้องเลยไปเอายาที่อนามัย ฉีดยาและเพิ่งได้กลับมานี่แหละ”
“สถานีตำรวจ เมื่อไหร่กัน” คุกขมวดคิ้ว
ซานเอ๋อร์คิดและพูดว่า “อืม…น่าจะประมาณไม่นานหลังคุณที่ออกไปช่วงบ่าย มีตำรวจคนหนึ่งมาเคาะประตูบอกให้ฉันไปช่วยให้ปากคำเรื่องถูกคนเขียนอักษรใส่เมื่อวาน…ไม่รู้ว่าใครเป็นคนไปแจ้งตำรวจ ตำรวจบอกให้ฉันไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ ฉันเป็นห่วงว่าเสี่ยวจือจะอยู่คนเดียวไม่ได้เลยพาไปด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าเมืองของพวกเรามีตำรวจที่หนุ่มขนาดนั้นมาประจำการตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“เสี่ยวจือก็ไม่เคยเห็นค่ะ” เสี่ยวจือยกมือขึ้นมาเหมือนตอนตอบคำถามคุณครูในชั้นเรียน “แต่พี่ตำรวจคนนั้นตัวหอมมาก หอมกว่าน้ำหอมที่แม่ซ่อนไว้ในตู้อีก”
“เสี่ยวจือ” ซานเอ๋อร์ดีดหน้าผากของลูกสาวตนเองเบาๆ จากนั้นก็พูดอย่าง ‘แค้นเคือง’ ว่า “ยังไม่ไปอุ่นน้ำอีก ลูกต้องกินยาแล้ว อยากปวดท้องกลางดึกใช่ไหม”
“รู้แล้ว” เสี่ยวจือวิ่งไปในห้องรับรองแขก
ซานเอ๋อร์มองมาร์ค ใบหน้าแดงและพูดเบาๆ ว่า “ของบนตัวคุณคืออะไรเหรอ”
คุกสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนพูดว่า “เรื่องของเธอจัดการเสร็จแล้วนะ ฉันเหนื่อยนิดหน่อย มีเรื่องบางเรื่องเอาไว้พูดกันพรุ่งนี้เถอะ”
“อย่างนั้นกินข้าว…”
“ไม่ต้อง”
ไม่ใช่ความฝัน
…
…
ไม่รู้ว่าไฟไหม้ที่โรงสีดับลงเมื่อไหร่ มีของจำนวนมากที่ถูกเผาจนเรียบ แต่เพราะอยู่ข้างแม่น้ำ ไฟจึงไม่ลามไปไกล
โรงสีเหลือเพียงของบางอย่างที่ไหม้เกรียม เช่นไม้ของโรงสีและก็มี…ร่างของมนุษย์
เจ้าของสมาคมลั่วเดินไปบนขี้เถ้าและหยุดอยู่ตรงหน้าร่างกายที่ไหม้เกรียม จากนั้นก็ดีดนิ้ว
ทันใดนั้นร่างกายที่ไหม้เกรียมก็ฉีกออก หลังของสิ่งที่มีสีดำไหม้แตกออกเผยให้เห็นเป็นผิวเนียนเรียบ…ร่างของคนลุกขึ้นนั่งบนขี้เถ้า บิดเอวยืดกาย
“คิดว่าจะตายไปแล้วจริงๆ เสียอีก” …นีโร
นีโรที่อยู่เบื้องหน้าเจ้าของสมาคมลั่วตอนนี้ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าและนั่งอยู่บนพื้นอย่างไม่ใส่ใจพลางขยับคอ หัวเราะและพูดว่า “หลังแม่ลูกคู่นั้นกลับถึงบ้านแล้ว คุกร้องไห้ไหม”
เจ้าของสมาคมลั่วส่ายหน้า
นีโรถอนหายใจด้วยความรู้สึกผิดหวังไปชั่วขณะ พูดอย่างหดหู่ว่า “ไม่ใช่แค่พ่ายแพ้ แต่ยังไม่ได้เห็นน้ำตาของลุงคุกอีก…ล้มเหลวจริงๆ”
เจ้าของสมาคมลั่วไม่พูดจา
นีโรไม่สนใจ บิดเอวและกางแขนนอนราบลงไปบนพื้น พึมพำกับตัวเองว่า “ตามนิสัยของลุงคุกแล้วจะต้องรายงานขึ้นไปว่าฉันตายแล้วแน่ๆ ต่อไปก็ไม่ต้องกลับไปที่สถานที่น่าเบื่อแบบนั้นอีกแล้ว…อืม ก็ถือว่าไม่เลวเลย”
เธอนั่งขึ้นมาและถามว่า “คืนนี้พระจันทร์สวยนะ ว่าไหมเจ้าของสมาคม”
ลั่วชิวเงยหน้ามองแวบหนึ่งและพูดเบาๆ ว่า “พระจันทร์เต็มดวง”
ทันใดนั้นนีโรก็กะพริบตาและพูดว่า “จะว่าไป…เจ้าของสมาคม นายจะไม่หาเสื้อผ้าให้ฉันใส่เลยหรือไง หรือชอบที่ฉันอยู่ในสภาพนี้มากกว่า ฉันไม่คิดมากนะ แต่ฉันก็ต้องเก็บเงินนะ แพงมากด้วย”
ลั่วชิวโบกมือ ชุดแบบเดียวกับที่นีโรเคยใส่โผล่ออกมากลางอากาศ ตกลงบนร่างกายที่มีบาดแผลนับไม่ถ้วนของนีโร…รอยเหมือนใยแมงมุมทำให้คนรู้สึกว่ามันเป็นแผลเป็นที่น่ากลัวมาก
“ขอบคุณ”
เธอรับชุดมาสวมอย่างเป็นธรรมชาติ