“การทดสอบในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมด้วยกันทั้งหมดแปดคน ฉันจะไม่แนะนำตัวแต่ละคนแล้ว แต่จะทำเหมือนแต่ก่อน ใช้กฎดั้งเดิม แต่ละคนจะได้รับทุนตั้งต้นสิบล้าน และมาดูกันว่าในระยะเวลาหนึ่งปี ใครกันที่จะสามารถสร้างความมั่งคั่งได้มากกว่ากัน”
“เพื่อให้การทดสอบเป็นไปอย่างยุติธรรม ผู้ที่อยู่ที่นี่สามารถเป็นผู้ตัดสินได้ หากมีข้อสงสัยให้สอบถาม”
“ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นผู้ชนะคนสุดท้าย จะได้รับเงินรางวัลของตระกูลทั้งหมดหนึ่งร้อยล้าน เพื่อใช้เป็นทุนบุกเบิกในอนาคต”
เฉินกั๋วเหลียงพูดจบ เหล่าทายาทรุ่นต่อไปต่างพากันส่งเสียงอุทานเสียงดัง “เงินรางวัลในครั้งนี้คือหนึ่งร้อยล้าน มากกว่าครั้งก่อนตั้งยี่สิบล้าน !”
“นั่นสิ รางวัลในการทดสอบยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นว่าตระกูลของเราให้ความสำคัญกับการทดสอบนี้แค่ไหน”
“แน่นอนล่ะ นายไม่ลองคิดดูหน่อยล่ะ บรรดาผู้ที่ได้รับการจัดอันดับจากการทดสอบ มีใครบ้างที่ไม่ได้เป็นผู้มีความสามารถของตระกูลน่ะ !”
สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความครุ่นคิด จากนั้นพากันพยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริง ใครก็ตามที่มีความสามารถในระหว่างการทดสอบ ต่างก็ได้เป็นคนที่มีอำนาจในตระกูลทั้งสิ้น ทว่ามีอยู่คนหนึ่งที่ต่างออกไป”
“นายกำลังพูดถึงเฉินจิงเย่ที่ได้รับแชมป์ในการทดสอบ แต่หนีออกจากบ้านไปงั้นหรือ ?”
“นอกจากเขาแล้ว ตลอดร้อยปีที่ผ่านมาในตระกูลเฉิน ยังจะมีใครได้อีก”
“จริง ๆ แล้วพ่อลูกคู่นี้น่าสนใจมากนะ พ่อได้รับรางวัล แต่กลับหนีออกจากตระกูล ส่วนลูกชายก็ไม่กล้ารับเงินทุนตั้งต้น คาดว่าครั้งนี้เขาคงคิดจะสละสิทธิ์ ทำให้พ่อของเขาต้องอับอายขายขี้หน้า”
เฉินกั๋วเหลียงและอีกสองคนที่นั่งอยู่แถวแรกทางด้านหน้า รวมถึงเฉินจิงเย่และเหล่าทายาทรุ่นที่สอง ต่างก็ฟังคำถกเถียงของเหล่าทายาทรุ่นหลังอย่างเงียบ ๆ
แม้ว่าเสียงพูดคุยของพวกเขาจะไม่ได้ดัง แต่ก็มีคำพูดบางส่วนที่ดังเข้าไปในหูของเฉินจิงเย่ เฉินจิงเย่ที่ได้ยินถึงกับใบหน้าร้านผ่าว
ทันใดนั้นเฉินจิงเย่ก็รู้ผิดหวัง รู้อย่างนี้เขาคงไม่พาเฉินโม่มาที่นี่แล้ว
เฉินตงหวาที่อยู่ด้านข้างเฉินจิงเย่ค่อย ๆ ยิ้มออกมา จากนั้นพูดออกมาว่า “พี่จิงเย่ เฉินโม่ของพี่ก็จะเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ด้วยใช่ไหม ?”
เฉินจิงเย่พยักหน้า “ใช่แล้ว”
เฉินตงหวาหัวเราะ “งั้นเฉินโม่คงสืบทอดความเก่งกาจของพี่ในตอนนั้น ต้องได้แชมป์ครั้งนี้จนได้น่ะสิ !”
เฉินจิงเย่หน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี เฉินตงหวานั้นรู้ดีว่าเรื่องไหนคือเรื่องที่เขาควรพูดและไม่ควรพูด
มีทายาทรุ่นที่สองบางคนส่งเสียงเยาะเย้ยเบา ๆ ส่วนคนส่วนใหญ่ไม่ได้พูดอะไร เป็นเพราะสถานะและอายุที่อยู่ตรงนั้น ไม่เหมือนกับเหล่าทายาทรุ่นที่สามที่ทำอะไรโดยไม่สนใจใคร
เฉินตงซุ่นกระแอมเบา ๆ จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เอาล่ะ อายุปูนนี้กันแล้ว รักษาภาพพจน์ให้เด็กมันดูหน่อย”
เฉินตงหวายิ้มอย่างได้ใจ และเงียบปากลง
รอจนกระทั่งเสียงพูดคุยด้านล่างค่อย ๆ สงบลง เฉินกั๋วเหลียงถึงหันไปพูดกับตำแหน่งของเฉินตงซุ่นว่า “เอาล่ะ มาเริ่มกันเถอะ !”
เฉินตงหวาลุกยืนขึ้น สายตากวาดมองโดยรอบด้วยความน่าเกรงขาม จากนั้นพูดออกมาเสียงดังว่า “ฉันขอประกาศ เริ่มการทดสอบของตระกูลอย่างเป็นทางการ ณ บัดนี้ ผู้เข้าร่วมการทดสอบคนแรก เฉินหลิน !”
ชายหนุ่มคนหนึ่งขานรับ เดินเข้าไปหาผู้ตรวจสอบทรัพย์สินประจำตระกูลเฉิน จากนั้นนำเอกสารหลักฐานทรัพย์สินที่เตรียมไว้ล่วงหน้าไปมอบให้กับคนทั้งสอง
หลังจากการตรวจสอบและประเมินคุณค่าครู่หนึ่ง สองผู้รับผิดชอบก็พยักหน้าให้กับเฉินตงซุ่น “ยืนยันเรียบร้อย ทรัพย์สินนี้มีมูลค่าสิบแปดล้าน !”
เฉินตงซุ่นมองใบหน้าที่หดหู่ของเฉินหลิน ประกาศด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เฉินหลิน เงินทุนสิบล้าน กำไรตลอดทั้งปีแปดล้าน !”
ทายาทรุ่นหลังที่อยู่ด้านล่างเริ่มแอบหัวเราะคิกคัก “ปีนึงทำได้แค่แปดล้านเอง เฉินหลินคนนี้ดูท่าคงไร้อนาคตแล้วล่ะ”
“ได้ยินมาว่าเฉินหลินโชคร้าย เดิมทีทำเงินได้ยี่สิบกว่าล้าน แต่อยากลองเล่นหุ้น ผลสุดท้ายเจอตลาดผันผวนจึงขาดทุนไปไม่น้อย”
“เล่นหุ้นงั้นหรือ เฮอะ ๆ เขากล้าคิดจริงๆ ! ตระกูลของเราสร้างแบบทดสอบนี้ขึ้น เพื่อให้คนรุ่นหลังรับรู้ว่าการหาเงินมาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขากลับวิ่งเข้าหาตลาดหุ้น ต่างกับบ่อนพนันตรงไหน ?”
ได้ยินดังนั้น เหล่าทายาทรุ่นหลังก็ไม่เงียบเสียงอีกต่อไป และต่างพากันพูดว่านั่นคือสิ่งที่เฉินหลินสมควรจะได้รับ
ในส่วนของทายาทรุ่นสอง เฉินตงหวาหันไปหาอีกคนหนึ่ง และพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “พี่ตงหราน เฉินหลินเป็นลูกชายของพี่นี่ พี่ไม่ค่อยพอใจกับผลลัพธ์นี้ใช่หรือเปล่า ?”