ลิลี่พยายามชี้นำให้จางลี่เฉินสามารถเข้ากับเด็กคนอื่น ๆ ของครอบครัวลาวีนได้โดยการให้ไปใช้เวลาอยู่ด้วยกันอยู่ตลอด และครั้งนี้ก็อีกเช่นกัน
ชายหนุ่มที่กำลังจะต้องออกจากประเทศนี้ไปในไม่ช้าและอนาคตของเขาก็ยังไม่เป็นที่แน่นอนทำได้แค่เพียงยอมรับมันเท่านั้น จางลี่เฉินที่เพิ่งกลับเข้าบ้านมาได้ไม่นานก็ต้องเดินออกจากบ้านไปอีกครั้งเพื่อไปยังร้านอาหารบลูสเปซที่แรนดี้บอกผ่านทางโทรศัพท์
เหมือนที่ระบุไว้ในชื่อ ‘บลูสเปซ’ ร้านอาหารแห่งนี้ใช้การตกแต่งแบบธีมอวกาศพร้อมด้วยสีฟ้าสดใส
โต๊ะอาหารและเก้าอี้ของที่นี่ทำด้วยโลหะสีฟ้าที่เป็นสไตล์จากยุคนวนิยม ห้องทานแบบส่วนตัวจะได้รับการตกแต่งเหมือนอยู่ในแคปซูลอวกาศ
บริกรที่สวมเครื่องแบบก็มีสไตล์ที่คล้ายกับชุดอวกาศเพียงแต่มันเบาและบางกว่ามาก ในแวบแรกเมื่อเดินไปรอบ ๆ ร้านอาหาร มันให้ความรู้สึกถึงการอยู่นอกอวกาศได้เป็นอย่างดี
เนื่องด้วยเหตุผลที่รัฐบาลเริ่มส่งเสริมโปรแกรม ‘อพยพไปยังอวกาศ’ อย่างจริงจังจึงทำให้ธีมอวกาศโด่งดังอย่างมากในยุค 1970 – 1980 และตอนนี้มันก็กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งทำให้ร้านอาหารที่มีธีมอวกาศแบบนี้กลายเป็นเทรนด์แฟชั่นใหม่ในหมู่คนหนุ่มสาว แต่สำหรับจางลี่เฉินแล้วร้านอาหารที่เน้นลูกเล่นการตกแต่งมากกว่ารสชาติอาหารและการบริการนั้นไม่ได้น่าสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว
เขาเดินผ่านผู้คนที่กำลังต่อแถวยาว ๆ เพื่อไปหาหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงด้านหน้าแผนกต้อนรับ “สวัสดีครับ ผมชื่อจางลี่เฉิน มีใครฝากข้อความไว้ให้ผมไหม?”
“แม้ว่าเธอจะน่ารักแต่ก็ต้องไปเข้าแถวเหมือนคนอื่น ๆ นะจ๊ะ ไม่ต้องมาเล่นทริคแบบนี้” สาวสวยเซ็กซี่ที่สวมที่คาดผมหูแมวและใส่ชุดอวกาศที่รัดรูปมองมาที่ชายหนุ่มก่อนพร้อมส่งรอยยิ้มปลอม ๆ กลับมา
“โอ้ แต่ผมกำลังตามหาคนที่อยู่ที่นี่อยู่นะครับ” จางลี่เฉินตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะมองไปรอบ ๆ พร้อมรอยยิ้มที่สิ้นหวัง “น่าจะเป็นกลุ่มใหญ่ประมาณ 10 กว่าคน ขอผมดูหน่อย น่าจะเป็น…นั่นไง! เฮ้ แรนดี้!”
“เฮ้ลี่เฉิน! มาถึงแล้วก็รีบเข้ามาสิไอ้น้อง!” เมื่อได้ยินคำทักทายของจางลี่เฉิน แรนดี้ยื่นหัวออกจากแคปซูลอวกาศสีฟ้าอ่อนที่มีรูปร่างเหมือนไข่ห่านตามร้านอาหารพร้อมโบกมือแล้วตะโกน “พวกเรารอนายอยู่ เร็ว ๆ เข้า!”
“ได้” ชายหนุ่มละสายตาจากแรนดี้เพื่อหันมามองพนักงานหญิงอีกครั้ง “เห็นไหมว่าผมกำลังตามหาคนอยู่จริง ๆ”
แต่แทนที่เขาจะได้รับคำขอโทษอย่างที่คิดพนักงานสาวกลับยื่นนิ้วออกมาจิ้มกล้ามเนื้อหน้าอกของจางลี่เฉินก่อนจะพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอไม่รีบไปหาพวกเขาแทนที่จะมาบ่นอยู่ตรงนี้ล่ะ?”
ชายหนุ่มแทบอ้าปากค้างกับการแสดงออกของเธอ แต่เมื่อคิดว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดด้วยต่อเขาจึงเดินไปยังห้องส่วนตัวที่แรนดี้กำลังอยู่แทน
ภายในห้องมีโต๊ะโลหะวงรีตั้งอยู่พร้อมการตกแต่งแนวอวกาศที่ประดับอยู่ส่วนอื่น ๆ ของห้อง นอกเหนือจากพี่น้องลาวีนทั้ง 6 คนแล้วยังมีชายหนุ่มหญิงสาวแปลกหน้าอีก 6 – 7 คนที่กำลังนั่งล้อมรอบโต๊ะบนโซฟาเตี้ย ๆ สีสันสดใส
เมื่อแรนดี้เห็นจางลี่เฉินเดินเข้ามาเขาก็รีบคว้าตัวจางลี่เฉินเอาไว้ทันที “วู้ น้องชาย ไปคุยอะไรกับแม่สาวแสนสวยคนนั้นกันล่ะห้ะ? หรือว่านายกำลังสนใจเธอ… โว้ว ๆ นี่นายดูแข็งแรงแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย?!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะฉันฝึกการควบคุมพละกำลังในช่วง 2 – 3 วันที่ผ่านมา นายจะยิ่งประหลาดใจกับกำลังของฉันมากกว่านี้อีก” จางลี่เฉินเพียงพึมพำกับตัวเองก่อนจะลงไปนั่งถัดจากแรนดี้
เมื่อแรนดี้เห็นชายหนุ่มนั่งลงไปขณะพึมพำกับตัวเองอีกแล้วก็อดไม่ได้ที่จะไม่พอใจ “เหอะ นายเอาแต่พูดกับตัวเองแบบนี้อีกแล้วนะลี่เฉิน คนอื่นเขาจะคิดว่านายเป็นออทิสติกได้นะถ้ายังทำตัวแบบนี้อยู่ตลอด แต่ช่างเถอะ เอาล่ะ ๆ ฉันจะแนะนำเพื่อนจากแอลเอให้นายได้รู้จัก ก่อนอื่นคนที่นายควรรู้จักเป็นคนแรกก็ต้องคนนี้เลย ความรักของพี่ชายของพวกเขา แฟนสาวของสตีเฟ่น เอรินด้า เอปสัน แล้วก็นี่สุดที่รักของฉัน ฟีฟี่ มานด้า…”
จากนั้นเขาก็เริ่มแนะนำคนแปลกหน้าคนอื่น ๆ บนโต๊ะให้จางลี่เฉินได้รู้จักทีละคน
นอกจากแฟนสาวของแรนดีและสตีเฟ่นแล้วก็ยังมีผู้หญิงอีก 2 คนและผู้ชายอีก 3 คน พวกเขาทั้งหมดเป็นนักเรียนจาก UCLA เช่นกัน พวกผู้ชายเป็นนักกีฬายอดนิยมในมหาวิทยาลัยในขณะที่กลุ่มสาว ๆ จะเป็นเชียร์ลีดเดอร์ พวกเขาเป็นกลุ่มคู่รักที่พบเห็นได้ทั่ว ๆ ไปในอเมริกา
เมื่อแรนดี้แนะนำเพื่อนของเขาเสร็จเขาก็ชี้มาที่จางลี่เฉินแล้วพูดว่า “คราวนี้ฉันก็ขอแนะนำทุกคนให้รู้จักกับเจ้าของโรงงานที่อายุน้อยที่สุดในนิวยอร์กที่รู้จักกันดีในชื่ ‘คาวบอยเล้าหมู’ โดยเกษตรกรของนิวยอร์ก…”
“แรนดี้ อย่าไปพูดจาไม่ดีกับลี่เฉินเขาแบบนั้นสิ! เขาเป็นน้องนายนะ!” เมื่อได้ยินว่าแรนดี้กำลังแกล้งชายหนุ่มอย่างสนุกสนานต่อหน้าเพื่อน ๆ ของพวกเขา มิเชลที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดแทรกขึ้นด้วยความรำคาญ
“ฉันกำลังยกย่องเขาอยู่ต่างหากมิเชล เหมือนกับที่ฉันกำลังยกย่องแฮร์รี่ในฐานะนักเรียนมัธยมปลายที่พูดจาโวยวายเก่งที่สุดในนิวยอร์กและเขากำลังจะได้กลายเป็นเด็กหน้าใหม่สำหรับรายการทอล์คโชว์ที่อยู่ถัดจากห้องน้ำโรงแรมระดับห้าดาวของคนรวย ๆ พวกนั้น” แรนดี้หัวเราะเบา ๆ
เมื่อเห็นน้องชายตัวเองกำลังเล่นสนุกจนเกินไปแต่ไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้เลยนอกจากสตีเฟ่นพี่ชายคนโตสุดของบ้าน เขายืนขึ้นและผลักน้องชายของตัวเองจนไปนั่งติดกับโซฟา เขาคิดที่จะใช้ท่าผลักแบบที่เล่นกันในสนามรักบี้เพื่อสอนบทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเขา “นี่สำหรับลี่เฉิน”
“และนายจะโดนอีกครั้งสำหรับแฮร์รี่ 2 ครั้งแล้วนะแรนดี้ที่นายกำลังทำตัวน่าอายต่อหน้าแฟนของฉัน เพราะงั้นฉันจะต้องทำให้นายรู้จักสำนึกซะบ้างแล้ว!” แรนดี้ที่ไม่ยอมก็ลุกขึ้นยืนเพื่อประจันหน้า พวกเขาประหลาดใจที่เห็นแรนดี้ต่อต้านสตีเฟ่นแบบนี้ จากนั้นพี่ชายคนโตสุดของบ้านสองคนก็เริ่มพันแข้งพันขากันและในไม่ช้าเพื่อนคนอื่น ๆ ก็เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ตาม
จางลี่เฉินที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับเกมมวยปล้ำที่กึ่งจริงจังกึ่งแกล้ง ๆ แบบนี้เลยไม่คิดที่จะสนใจแต่อย่างใด
เขาไม่เหมือนกับแฮร์รี่น้องชายที่มีแม่คนเดียวกันของเขาที่ในตอนนี้กำลังเชียร์สตีเฟ่นให้ชนะอย่างตื่นเต้น เขาหยิบโค้กกระป๋องจากโต๊ะแล้วเปิดมันก่อนจะนั่งจมไปกับโซฟาเพื่อจิบเครื่องดื่มขณะส่ายหัวโดยไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
“สวัสดีลี่เฉิน” ทันใดนั้นเสียงหวาน ๆ ก็ดึงความสนใจจากเขาให้ตื่นจากห้วงของความคิด เขากลับเข้าสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง คนที่นั่งถัดจากเขาคือเอรินดา แฟนสาวของสตีเฟ่น “ฉันเคยได้เรื่องของเธอจากสตีเฟ่นมาก่อนว่าเขามีน้องชายที่ฉลาดมากที่ได้มีโรงงานเป็นของตัวเองตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ดีใจที่ได้พบเธอในวันนี้นะ”
เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่อยากละเลยสมาชิกครอบครัวแฟนหนุ่มของเธอจึงพยายามเข้าหาและชวนจางลี่เฉินคุยเพื่อแก้เหงา นิสัยที่มีน้ำใจแบบนี้ค่อนข้างหาได้ยากในหมู่หญิงสาวชาวอเมริกันสมัยใหม่ อย่างไรก็ตามสำหรับจางลี่เฉินแล้วมันค่อนข้างเป็นภาระที่ยากจะจัดการเมื่อได้เจอกับคนที่มีนิสัยกระตือรือร้น
“สวัสดีครับมิสเอรินด้า ผมเองก็ดีใจที่ได้พบคุณเช่นกัน” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างสุภาพและกลับไปนั่งต่อโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“นี่เอรินด้า ได้เคยยินสตีเฟ่นพูดถึงโรงฆ่าสัตว์ของลี่เฉินมาก่อนไหม? เป็นที่ ๆ ดีที่เธอควรรู้จักไว้เลยล่ะ! ฉันได้ยินมาว่าจะมีฝูงหมู ฝูงวัวและฝูงแกะที่ถูกช็อตด้วยไฟฟ้าจากนั้นก็จะถูกส่งไปยังสายพานการผลิต แล้วเครื่องก็จะตัดหัวพวกนั้นโดยอัตโนมัติรวมทั้งตัดหัวใจและเครื่องในออก จากนั้นเลือดสีแดงสดก็จะพุ่งออกมา…”
“โอ้ มันฟังดูน่าตื่นเต้นดีนี่! แล้วนายเคยเห็นมาก่อนแล้วหรอแรนดี้? เห็นด้วยตาของนายจริง ๆ เองน่ะ” ในบรรดาชายหนุ่มที่มาจากแอลเอ ชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่ชื่อสติลลีย์ตะโกนถามขณะที่เขากำลังหายใจเหนื่อยหอบ
“ยังเลยสติลลีย์ โอ้เวร! เมื่อพูดแบบนี้แล้วฉันยังไม่เคยไปโรงงานน้องชายที่รักมาก่อนเลยนี่หว่า…” หลังจากนั้นมวยปล้ำที่สนุกสนานสำหรับพวกเขาก็หยุดลงพร้อมเสียงหอบหายใจเมื่อเขาได้ยินคำถามจากเพื่อน “ฉันคงเย็นชากับเขาเกินไป ฉันตัดสินใจที่จะทำดีกับเขานับตั้งแต่วันนี้เพราะงั้นหลังเราทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วให้พวกเราไปดูโรงฆ่าสัตว์ของนายหน่อยสิลี่เฉินว่าที่นั่นเป็นยังไงบ้าง”
และเพราะแบบนี้เอง เมื่อคนหนุ่มสาวเสร็จสิ้นจากการทานมื้อกลางวันจากร้านบลูสเปซพร้อมเสียงหัวเราะ ชายหนุ่มทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันในขณะที่พวกผู้หญิงบ่นว่ามันน่าขยะแขยงเกินไปแต่ในขณะเดียวกันพวกเธอก็ไม่สามารถยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นที่มีได้
พวกเขาแยกย้ายกันไปขึ้นรถ 3 คันเพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังแมทเทิลสโลว์ที่อยู่นอกนครนิวยอร์ก
หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว รถของแรนดี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นดอดจ์แรมรถในฝันของเขาขณะที่สตีเฟ่นซื้อรถจี๊ปแกรนด์เชอโรกีมือใหม่ด้วยเงินทุนการศึกษาและเงินที่ได้จากการแข่ง แต่เมื่อเทียบกับจางลี่เฉินแล้วเอกซ์พลอเรอร์ของเขาค่อนข้างจะเป็นที่สะดุดตาที่สุด ไม่ใช่เพราะตัวรถที่มีขนาดใหญ่แต่เพราะคนขับรถต่างหากที่ตัวเล็กเกินกว่าจะขับคันนี้
“ลี่เฉิน นายน่าจะออกกำลังกายให้มากขึ้นนะ ถ้านายไม่สูงขึ้นกว่านี้นายก็จะหมดโอกาสอีกแล้ว … แล้วก็ตอนี้มันเป็นถนนเส้นตรงเพราะงั้นนายก็น่าจะเร่งความเร็วได้แล้วนะ เราออกจากนิวยอร์กมาแล้วเพราะงั้นถนนก็จะกว้างขึ้น เร่งความเร็วไปเลย…”
คนที่นั่งมาด้วยกับจางลี่เฉินคือไรลีย์ มิเชล และเด็กหนุ่มที่มาจากแอลเอที่ชื่อน็อตติ้งดอน
เขาพยายามอย่างมากในการจะเอาชนะใจไรลีย์ในช่วงทานอาหารกลางวัน และเพราะไรลีย์เลือกมาขึ้นรถกับจางลี่เฉินเขาจึงมาที่รถคันนี้ด้วย และตั้งแต่ขึ้นมาเขาก็ยังเอาแต่พูดไม่หยุดสักที
จางลี่เฉินรู้สึกรำคาญอยู่ตลอดการเดินทางแต่เขาก็แค่เพียงยิ้มรับตอบกลับไป
เมื่อพวกเขาเริ่มเข้าใกล้แมทเทิลสโลว์ เขาเห็นน็อตติ้งดอนที่เริ่มเบื่อกับการนั่งรถนาน ๆ พยายามจะขอเบอร์ของไรลีย์ให้ได้เขาจึงขัดจังหวะแทรกขึ้นมาว่า “มิสเตอร์น็อตติ้งดอน อันที่จริงความเร็วที่ผมขับอยู่ตอนนี้ก็เร็วมากแล้วนะ มันเร็วพอ ๆ กับการออกหมัดชกของผมเลยด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ต้องไปออกกำลังกายให้มากขึ้นและไม่ต้องเร่งเครื่องความเร็วรถแต่อย่างใด”
“เฮ้พ่อหนุ่ม แล้วหมัดของนายเร็วมากขนาดไหนกัน? ฉันเป็นนักมวยสมัครเล่นที่สามารถออกหมัด 3 หมัดได้ภายใน 1 วินาทีตอนฝึกซ้อมเชียวนะ” น้อตติ้งดอนคว้าโอกาสนี้ในการพับแขนเสื้อของเขาเพื่อโชว์กล้ามแขนหนา ๆ “เป็นไงไรลีย์ แขนของฉัน…”
“ระวังหมวก” ขณะที่น้อตติ้งดอนกำลังพูดจาโอ้อวด เสียงต่ำ ๆ ก็ดังก้องข้างหูของเขา จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงกระแสลมที่พัดผ่านใบหน้าเขาได้ เมื่อใบหน้าของเขาเริ่มสั่น หมวกที่เขาสวมอยู่ก็ร่วงตกลงจากหัว
มันใช้เวลาอยู่สักพักก่อนที่ชายหนุ่มจะกลับมามีสติ เขาเห็นจางลี่เฉินถอนกำปั้นขวาที่เฉียดใบหน้าของเขาออกเพื่อไปจับพวงมาลัยรถดังเดิม เขากลืนน้ำลายเสียงดังและพยายามฝืนยิ้ม “นะ นายมีไดร์เป่าผมอยู่ที่แขนหรือไงกัน?”
“ไม่ มันไม่ใช่ไดร์เป่าผม แล้วก็นะ ผมยังมีซิมโฟนีออร์เคสตร้าอีกด้วย อยากลองฟังไหม?” จางลี่เฉินถามพลางยืดกระดูกมือ เสียงแตกจากข้อต่อกระดูกของเขาเติมเต็มบรรยากาศที่เงียบสนิทภายในรถได้เป็นอย่างดี
ข้อต่อของคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำจะมีเสียงดังในระหว่างการออกแรงยืดเหยียดแต่ไม่ใช่เสียงที่ดังจนน่ากลัวหรือน่าตกใจ
เมื่อนึกถึงลมแรง ๆ ที่เกิดจากหมัดของจางลี่เฉินเฉียดหัวไปเมื่อครู่นี้แล้วราวกับเขาไม่อาจกลืนน้ำลายลงคอได้เหมือนอย่างปกติ มันหนืดและเหนียวจนเหมือนมีอะไรติดอยู่ที่ลำคอไม่ยอมหลุด ทันใดนั้นน็อตติ้งดอนก็กลับคำอย่างแสนรู้ “ดูเหมือนว่าฉันจะมองนายผิดไปนะลี่…มิสเตอร์ลี่เฉิน นายเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก … แข็งแกร่งมาก ๆ ! ถ้าให้เดาน่าจะเคยเรียนกังฟูมาก่อนด้วย… โอ้พระเจ้า นั่นอะไรน่ะ?!”
“โรงงานของผมเองมิสเตอร์น็อตติ้งดอน” จางลี่เฉินตอบพลางหักรถของเขาไปยังถนนที่คดเคี้ยวเพื่อเข้าสู่โรงงานโดยขับผ่านรถบรรทุกหลายร้อยคันที่กำลังเข้าแถวยาวพร้อมกับเสียงร้องของเหล่าสัตว์ที่จะถูกนำมาจัดการที่โรงเชือดแห่งนี้ เขาเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้นเพื่อไปยังด้านหน้าทางเข้า
“ยินดีต้อนรับสู่โรงฆ่าสัตว์ LS”