ใบหน้าอันงดงามของเฉินเข่อเอ๋อร์เผยให้เห็นท่าทางขี้เล่น ตะโกนออกมาอย่างร่าเริงว่า “นี่ ! เฉินหลี้ ก่อนหน้านี้นายบอกว่าใครเป็นขยะ ? นายกล้าพูดออกมาอีกรอบไหม ?”

เหล่าคนรุ่นหลังของตระกูลเฉินต่างมองมายังเฉินหลี้ด้วยท่าทางแห่งความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น บางคนก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มแห่งการเย้ยหยันออกมา

เฉินหลี้ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ก่อนหน้านี้เขาพูดจาเย้ยหยันให้เฉินโม่ยอมแพ้ บอกว่าเฉินโม่เป็นขยะ

งั้นตอนนี้เขาไม่ได้กลายเป็นคนที่ด้อยกว่าขยะคนนั้นอย่างไร้ที่สิ้นสุดหรอกหรือ ?

สิ่งนี้ทำให้เฉินหลี้ไม่รู้จะเอาใบหน้าอันเย่อหยิ่งเขาของก่อนหน้านี้ไปไว้ที่ไหน ? เขาเกลียดจนอยากแทรกลงไปบนรอยต่อบนพื้น

เฉินตงซุ่นในฐานะผู้จัดการทดสอบของตระกูลในครั้งนี้ โดยสถานการณ์ทั่วไปแล้ว เขาไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาชมเชยเหล่าลูกหลายที่เข้าร่วมการทดสอบ

แม้ว่าจะเป็นเฉินหลี้หรือเฉินเหล่ย เขาก็แค่พูดอะไรออกมาไม่มาก ไม่ได้ชื่นชมอะไรจนเกินหน้าเกินตา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินโม่ตอนนี้ หัวใจของเขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

“จิงเย่ ไม่เลว นายมีลูกชายที่ยอดเยี่ยมออกมา ! ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน !”

เฉินตงซุ่นและเฉินจิงเย่เป็นสายเลือดของเฉินกั๋วเหลียง แม้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะค่อย ๆ เหินห่างเนื่องจากเฉินจิงเย่ออกจากบ้านไป อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เป็นสายเลือดเดียวกัน เฉินจิงเย่ทิ้งสายเลือดที่เต็มไปด้วยอัจฉริยะเช่นนี้ไว้ แน่นอนว่าเขาเองก็ต้องรู้สึกดีใจ

ใบหน้าของเฉินจิงเย่ตะลึงงัน นั่งอยู่บนเก้าอี้ หันหน้าไปมองเฉินโม่ด้วยสายตาอันแปลกประหลาด ราวกับวันนี้เป็นวันแรกที่เขารู้จักลูกชายของตนเอง

เฉินโม่เองก็เหลือบมองมาที่เฉินจิงเย่เช่นกัน มันนำมาซึ่งความรู้สึกขอโทษ ราวกับว่ากำลังละอายใจที่หลอกพ่อของตนเองอยู่

ผ่านไปพักหนึ่ง เฉินจิงเย่พยักหน้าด้วยความชื่นชม ในเมื่อลูกชายของตนประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ เขามีความจำเป็นต้องปิดบังอะไร ?

ต้องรู้ก่อนว่าลูกชายของเขาได้เติบโตขึ้นแล้ว และเติบโตขึ้นไปจนถึงระดับที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถเอื้อมถึง

มีลูกชายที่ยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้ ผู้เป็นพ่อยังเขายังจะต้องการอะไรอีก ?

เฉินจิงเย่หันไปทางเฉินตงซุ่น ประสานมือพร้อมพูดว่า “ขอบคุณสำหรับคำชื่นชมของพี่ใหญ่ ที่จริงแม้แต่ฉันเองก็ไม่รู้เรื่องนี้ เสี่ยวโม่ซ่อนมันไว้ได้อย่างลึกซึ้ง !”

“ฮ่าฮ่า เยี่ยม อายุน้อยแค่นี้แต่กลับมีปณิธานอันหนักแน่น ห่างชั้นกับคนรุ่นเดียวกันในตระกูลเป็นอย่างมาก !” เฉินตงซุ่นหัวเราะออกมา

เฉินกั๋วเหลียงยิ้มออกมาด้วยใบหน้าของความชื่นชม “ฮ่าฮ่า เอาละ มีเรื่องอะไรไว้คุยกันทีหลัง มาทำเรื่องสำคัญกันก่อน !”

“ครับ !” เฉินตงซุ่นพยักหน้า

จากนั้นใบหน้าของเฉินตงซุ่นก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที กวาดสายตาไปยังทุกคน “ยังมีใครมีปัญหาสงสัยอยู่อีกหรือไม่ ?”

การแสดงออกของทุกคนดูแปลกประหลาด ไม่มีใครกล้าก้าวออกมาพูดอะไร ผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลเฉินตรวจสอบไปแล้ว หากพวกเขายังมีสิทธิ์จะไปสงสัยอะไร แบบนั้นก็เท่ากับว่าพวกเขาสงสัยในตัวผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลเฉิน

“ดี งั้นฉันขอประกาศ ผู้ที่มีผลการทดสอบของตระกูลเป็นอันดับหนึ่งในครั้งนี้ก็คือ……เฉินโม่ !”

ห้องโถงเงียบมาก ไม่มีใครปรบมือให้กับเฉินโม่

เฉินเข่อเอ๋อร์กลอกตาขาว พ่นลมหายใจออกมาอย่างเยือกเย็น และปรบมืออย่างรุนแรง

เมื่อมีคนเปิดก็มีคนตามในทันที เสียงปรบมือเล็กน้อยดังขึ้นในห้องโถงขนาดใหญ่

เฉินตงซุ่นเองก็ปรบมือเช่นกัน

หลังจากกวาดสายตามอง เฉินธงไม่ส่งเสียงอะไร เขาปรบมือตาม จากนั้นก็มีคนปรบมือมากขึ้นเรื่อย ๆ

รอยยิ้มอันเบาบางปรากฏบนใบหน้าของเฉินกั๋วเหลียง ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ และเริ่มทำการปรบมือ

หลังจากนั้นเฉินกั๋วจงเองก็ยืนขึ้นและปรบมือให้

ใบหน้าของเฉินกั๋วต้งดูน่าเกลียดเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ยืนขึ้นมาปรบมือเช่นกัน

ทุกคนในตระกูลเฉินเมื่อได้เห็นฉากนี้ แม้จะมีใบหน้าที่แปลกประหลาด แต่ทุกคนก็เริ่มปรบมือขึ้นมา

ในชั่วพริบตา ทั้งห้องประชุมก็เต็มไปด้วยเสียงปรบมือ

การแสดงออกของเฉินโม่ไร้ซึ่งความรู้สึก ยืนอยู่บนเวทีเงียบ ๆ เขามองออกว่า ส่วนใหญ่ในคนกลุ่มนี้ไม่ได้ปรบมือให้เขาด้วยความจริงใจ

แต่แล้วมันยังไง ? เขาก็ไม่เคยสนใจมันอยู่แล้ว

เมื่อเสียงปรบมือเงียบลง เฉินกั๋วเหลียงจ้องมองไปยังเฉินโม่ “เฉินโม่ เข้ามานี่”

“ครับ !” เฉินโม่ก้าวออกมาด้านหน้า เผชิญหน้ากับเฉินกั๋วเหลียง

“นายคือผู้ชนะในการทดสอบตระกูลครั้งนี้ แต่เงินจำนวนหนึ่งร้อยล้าน สำหรับเจ้าดูเหมือนว่ามันคงดูกระจอกเกินไป”