เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้สัมผัสการเคลื่อนย้ายระยะไกลหลายปีแสง ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าร่างกายของตนกำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ดวงวิญญาณเทพในกายแทบจะสลายเป็นผุยผง เขาเกือบล้มลงไปกองกับพื้นเมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
หวังเป่าเล่อตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะกวาดมองสำรวจสิ่งรอบข้างเร็วๆ ชายหนุ่มพบว่าตนเองยืนอยู่บนวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวสามสิบกิโลเมตร
มีตัวอักขระนับไม่ถ้วนสลักอยู่บนพื้น ตัวอักขระเหล่านี้ค่อยๆ จางหายไปช้าๆ แต่หวังเป่าเล่อก็พอจะจินตนาการได้ว่ามีเสาแสงพุ่งออกมาจากตัวอักขระเหล่านี้และทะยานสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าระหว่างการเคลื่อนย้ายของเขา
แผ่นหินสูงตระหง่านแปดแผ่นตั้งอยู่นอกวงแหวนปราณ มีตัวอักขระปกคลุมอยู่เช่นกัน ตัวอักขระเหล่านั้นก็กำลังจางหายไป ระหว่างแผ่นหินสองแผ่นตรงหน้าหวังเป่าเล่อใน มีกลุ่มคนราวสิบคนยืนอยู่
คนที่ยืนอยู่หน้าสุดคือเซี่ยไห่หยาง เขาส่งยิ้มกว้างมาทางหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเซี่ยไห่หยาง เขาส่งดวงจิตเทพไปสำรวจทั่วบริเวณ ชายหนุ่มค่อยผ่อนคลายลงเมื่อพบว่าตนได้กลับมาสู่อาณาเขตตลาดตระกูลเซี่ย
ถึงอย่างนั้น ความเจ็บปวดที่ดวงวิญญาณเทพของเขาได้รับ ประกอบกับความรู้สึกวิงเวียนก่อนหน้าก็ทำให้หวังเป่าเล่อต้องหอบหายใจ แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลามาจัดการกับความรู้สึกไม่สบายนี้ เขารีบลุกขึ้นสำรวจตัวเองด้วยใบหน้าที่ยังซีดขาว จิตใจเขาสงบลงบ้างเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีสารัตถะส่วนใดหล่นหายไประหว่างการเคลื่อนย้าย จากนั้นชายหนุ่มจึงก้าวไปหาเซี่ยไห่หยาง
ลมหายใจของหวังเป่าเล่อค่อยๆ นิ่งขึ้นขณะที่สืบเท้าตรงไปยังเซี่ยไห่หยาง อันที่จริง ชายหนุ่มเหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้งแล้วตั้งแต่ยังอยู่ห่างจากเซี่ยไห่หยางราวๆ สามร้อยเมตร ประกายเจิดจ้าในแววตาของเขาก็กลับมาแล้วเช่นกัน
เซี่ยไห่หยางเองรู้สึกทึ่งเล็กน้อย เขารู้ถึงอันตรายของประตูเคลื่อนย้ายระดับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ดี ความตายของผู้ฝึกตนระดับปราณต่ำกว่าระดับดาวพระเคราะห์ระหว่างการเคลื่อนย้ายเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้นที่จะปลอดภัยระหว่างการเคลื่อนย้ายระดับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์
เซี่ยไห่หยางกำชับให้ลูกน้องระมัดระวังเป็นพิเศษระหว่างการเคลื่อนย้ายหวังเป่าเล่อ พวกเขาต้องรับรองว่าการเคลื่อนย้ายนี้ทั้งราบรื่นและนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าชายหนุ่มจะพยายามทำให้การเดินทางนั้นปลอดภัยที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่อาจป้องกันความรู้สึกเหนื่อยล้าแสนสาหัสที่ตามมาได้ โดยทั่วไปแล้วน่าจะใช้เวลาร่วมวันหนึ่งในการฟื้นฟู แต่หวังเป่าเล่อกลับหายเป็นปกติในเวลาเพียงพริบตา ทำเอาเซี่ยไห่หยางตะลึง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างขึ้นอีกเมื่อเอ่ยปากพูด
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าช่างยอดเยี่ยมเสียจริง นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนที่ไม่ได้อยู่ในระดับดารานิรันดร์หายเหนื่อยจากการเคลื่อนย้ายระยะไกลได้เร็วขนาดนี้”
เขาไม่รู้ว่าร่างของหวังเป่าเล่อตอนนี้ไม่ใช่ร่างจริงแต่เป็นกายสารัตถะ ผลกระทบใดก็แล้วแต่ที่มีผลร้ายต่อกายเนื้อแทบจะไม่ส่งผลกับหวังเป่าเล่อเลย
แต่ชายหนุ่มจะไม่บอกเรื่องนี้กับเซี่ยไห่หยาง เขาพุ่งตัวออกไปข้างหน้าเป็นระยะทางสามร้อยเมตรมายืนอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าลืมเรื่องภารกิจของปรมาจารย์แห่งไฟไปแล้วหรือ พวกเราถูกเคลื่อนย้ายไปในรูปแบบคล้ายๆ กันนี้ ข้าชินแล้ว” หวังเป่าเล่อยิ้ม ก่อนจะลอบนำชื่อของปรมาจารย์แห่งไฟมาร่วมวงสนทนาด้วยในรูปแบบของคำอธิบาย
สิ่งนี้เป็นมาตรการป้องกันตัวของหวังเป่าเล่อ และเป็นการกระตุ้นเตือนเซี่ยไห่หยาง หวังเป่าเล่อต้องการให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขามีผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งและพร้อมจะให้ความช่วยเหลือเขาทุกเมื่อตามต้องการ เซี่ยไห่หยางต้องระมัดระวังหากจะวางแผนล่อลวงเขาอีกครั้ง
เซี่ยไห่หยางดูไม่สะทกสะท้านกับคำพูดนั้นแม้ว่าจะแอบหน้าบูดอยู่ในใจ แม้ว่าจะทำดีกับหวังเป่าเล่อไปมากมายเท่าใด อีกฝ่ายก็ยังสงสัยเขาอยู่นั่นเอง ชายหนุ่มรู้ดีว่าปรมาจารย์แห่งไฟนั้นชื่นชมหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่อีกฝ่ายจะต้องพูดเรื่องปรมาจารย์แห่งไฟทุกๆ ครั้งที่พบหน้ากัน
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซี่ยไห่หยางกว้างขึ้นสวนทางกับความคิด การกระทำของหวังเป่าเล่อเป็นเครื่องพิสูจน์ความมีสติและเฉลียวฉลาดของอีกฝ่าย แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มรู้ว่าจะใช้เส้นสายให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร หากเซี่ยไห่หยางคิดในแง่ดี สิ่งนี้แปลว่าหวังเป่าเล่อมีโอกาสอย่างมากที่จะมีชีวิตรอดบนเส้นทางแห่งการฝึกปราณและพัฒนาไปเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง การลงทุนของเซี่ยไห่หยางนับว่าปลอดภัยแล้ว
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไม่ได้จางหายไปขณะที่ทั้งคู่พากันเดินทางกลับไปยังตลาด ชายหนุ่มพูดคุยกับหวังเป่าเล่ออย่างมีความสุข พลางชวนคุยเรื่องสัพเพเหระไปตลอดทาง เขาตั้งใจพูดคุยเรื่องอดีตและใช้โอกาสนี้สร้างเสริมมิตรภาพให้มั่นคง แต่แผ่นหยกสื่อสารของเขาก็เกิดสั่นขึ้นมาทันทีที่ถึงตลาด สีหน้าของเซี่ยไห่หยางพลันเปลี่ยนไปเมื่อมองเห็นเนื้อหาของข้อความนั้น แม้ว่าท่าทีของเขาจะมั่นคงเพียงใด เซี่ยไห่หยางก็ไม่อาจซุกซ่อนความตื่นตะลึงและเสียขวัญในแววตาเอาไว้ได้ หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งลอบมองดูอยู่ไม่ห่างเกิดสนใจขึ้นมา
“ศิษย์น้องไห่หยาง เกิดอะไรขึ้นหรือ” หวังเป่าเล่อถามอย่างสนใจ
“ไม่มีอะไรหรอก…ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าเกรงว่าข้าคงไม่อาจอยู่กับเจ้าได้นานนัก ข้ามีธุระเล็กน้อย จำเป็นจะต้องกลับไปที่ตระกูลทันทีเพื่อสะสาง” เซี่ยไห่หยางกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้โกหก ชายหนุ่มจำเป็นต้องกลับบ้านเพราะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นจริงๆ เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากยกมือประสานคารวะหวังเป่าเล่อแล้วเดินจากไป
เขาไม่อาจบอกหวังเป่าเล่อถึงรายละเอียดทั้งหมดได้ ทำได้เพียงให้ข้อมูลคร่าวๆ เท่านั้น
“มีผู้ทรงอำนาจสองคน…เกิดต่อสู้กันขึ้นมา…” เซี่ยไห่หยางพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะรีบรุดจากไป หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นเซี่ยไห่หยางมีสีหน้าเช่นนั้นมาก่อน ชายหนุ่มยืนมองอีกฝ่ายเดินจากไปด้วยแววตาครุ่นคิด
“เขาพูดจาคลุมเครือ…ผู้ฝึกตนทรงพลังสองคนสู้กันหรือ ทรงพลังสักเพียงไหนกัน” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองก่อนจะหันหลังเดินจากมา ชายหนุ่มเดินทอดน่องอยู่ในตลาด ไหนๆ ก็มาอยู่ที่นี่แล้ว เขาจึงวางแผนจะเติมวัตถุดิบที่ใช้หมดไปแล้ว เพราะเมื่อกลับไปถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ต้องพบการต่อสู้ครั้งใหญ่แน่นอน
ระหว่างที่หวังเป่าเล่อเดินไปมาในตลาดอยู่นั้น เซี่ยไห่หยางที่เพิ่งรีบรุดจากไปก็จัดแจงรวบรวมลูกน้องที่ไว้ใจได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายทันที ประตูถูกเปิดรอเอาไว้แล้วเมื่อชายหนุ่มไปถึง เขายืนอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายและเฝ้ามองขณะที่แสงเรืองของวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายฉายลงมารอบกาย ใบหน้าของเขาน่ากลัว ทั้งยังมีประกายกล้าสะท้อนอยู่ในแววตา
จักรพรรดิเดือนแยกลอบโจมตีเฉินชิงโดยใช้หม้อหลอมดั้งเดิมทั้งแปดหลอมวงแหวนปราณขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือจากกลุ่มราชันสวรรค์ของเขา จักรพรรดิดึงเอาพลังงานจากดารานิรันดร์นับพันเพื่อเสริมพลังวงแหวนปราณและขังเฉินชิงเอาไว้…เขาตั้งใจจะหลอมเฉินชิง แต่ไม่คาดคิดว่าศัตรู…จะเรียกเต๋าสวรรค์จากยุคสมัยก่อนหน้ามาทำลายวงแหวนปราณเสียสิ้น วงแหวนปราณนั้นทำงานย้อนกลับ ขณะนี้จักรพรรดิเดือนแยกและลูกน้องติดอยู่ภายในหม้อหลอมแทน!
การสื่อสารถูกตัดขาด ไม่มีใครด้านในสามารถรับข้อความได้ ไม่มีใครเข้าไปในวงแหวนปราณได้เช่นกัน แต่มีพวกเราบางส่วนที่เริ่มสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับราชันสวรรค์ทั้งเจ็ดในดวงวิญญาณเทพไป…สิ่งนี้ต้องเป็นพลังเทพอันสะเทือนเลื่อนลั่นของสำนักแห่งความมืดเป็นแน่ พลังในการลบการมีอยู่ของคนคนหนึ่งให้สูญสิ้นไป ไม่เหลือกระทั่งความทรงจำเกี่ยวกับคนคนนั้นในจิตใจของผู้อื่น!
*เต๋าสวรรค์จากยุคสมัยก่อนหน้า…สำนักแห่งความมืด!*เซี่ยไห่หยางตัวสั่นเมื่อคิดถึงสำนักแห่งความมืดขึ้นมา ชายหนุ่มไม่เคยเห็นสำนักแห่งความมืดที่แท้จริง แต่เขาได้ใช้เวลาในห้องสมุดส่วนตัวของตระกูลตั้งแต่ยังเล็ก และเคยได้อ่านจารึกจำนวนมากเกี่ยวกับสำนักแห่งความมืด เขาอ่านเยอะเกินไปมาก เซี่ยไห่หยางรู้ว่าสำนักแห่งความมืดนั้นเป็นสำนักอันเกรียงไกรที่กระทั่งตระกูลไม่รู้สิ้นยังยำเกรงและหวาดกลัวมาตั้งแต่อดีต
หากไม่ใช่เพราะตระกูลจำนวนมากที่อยู่ใต้ตระกูลไม่รู้สิ้นร่วมมือกันต่อต้านสำนักแห่งความมืด หากปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ และหากสำนักแห่งความมืดไม่ได้กำลังเสื่อมลง จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นอาจยังใช้ชื่อเดิมอยู่ก็เป็นได้… ชื่อที่ว่าก็คือจักรพิภพแห่งความมืด!
ว่ากันว่าเฉินชิงเป็นผู้ทรยศสำนักแห่งความมืดในครั้งนั้น หากเป็นเรื่องจริง เหตุใดเขาจึงสามารถรวมเอาเศษเสี้ยวเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดที่ถูกทำลายไปแล้วและเรียกมันออกมาได้อีกเล่า…เหตุใดเขาจึงต้องเสี่ยงสร้างความโกลาหลในจักรพิภพเต๋าด้วยการสร้างผนึกเหนือสนามรบและปลดปล่อยพลังเทพที่สามารถลบการมีอยู่ของคนคนหนึ่งออกไปจนสิ้น…หากปรมาจารย์เดาถูก เฉินชิงทำเช่นนี้เพื่อจะซ่อนความลับบางอย่างที่ใหญ่กว่านั้น
*เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยแท้ๆ ตระกูลเซี่ยนั้นยิ่งใหญ่นัก และข้าเองก็เป็นแค่ผู้น้อย ต่อให้ฟ้าถล่ม พวกเขาก็คงไม่คิดเรียกข้าด้วยซ้ำ โชคไม่ดี ที่พ่อผู้ไม่เอาถ่านของข้าดันไปเกี่ยวพันกับเรื่องวุ่นนี่ด้วย…*ใบหน้าของเซี่ยไห่หยางหม่นหมอง เขากลัดกลุ้มอย่างหนักอยู่ในใจ ชายหนุ่มได้รับข่าวว่าบิดาของเขาเป็นผู้หลอมหม้อหลอมดั้งเดิมทั้งแปดที่จักรพรรดิเดือนแยกใช้เพื่อจับตัวเฉินชิง
แม้จะเป็นเพียงการทำธุรกิจ เซี่ยไห่อย่างก็รู้จักลักษณะนิสัยของเฉินชิงผู้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างดี บุรุษผู้นี้ทั้งร้ายกาจและพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ แถมยังไม่เคยสนใจหากทำให้ใครได้รับความเสียหาย ตระกูลเซี่ยย่อมไม่ทุ่มเททุกสิ่งเพื่อปกป้องบิดาของเซี่ยไห่หยางเป็นแน่ เพราะอย่างไรเสีย อีกฝ่ายก็คือเฉินชิง บุรุษที่สามารถประมือกับปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลเซี่ยได้อย่างสูสี
เพราะเหตุนี้ เมื่อรู้เรื่องเข้าเซี่ยไห่หยางจึงนั่งไม่ติด แม้ว่าเขาจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็ต้องกลับบ้านเพื่อไปปรึกษากับบิดาว่าจะเอาตัวรอดจากปัญหานี้ได้อย่างไร
*แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าการต่อสู้นี้จะจบอย่างไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเฉินชิงได้เปรียบอยู่ จักรพรรดิสวรรค์องค์อื่นๆ ของตระกูลไม่รู้สิ้นต่างก็ยังไม่ตัดสินใจเข้าข้างใคร มีความเป็นไปได้มากว่าเฉินชิงจะสังหารคู่ต่อสู้แล้วเดินจากไปโดยไม่ได้รับผลกระทบ ข้าต้องหาคนที่พอจะคุ้นเคยกับเฉินชิงให้พบโดยเร็วที่สุด และต้องรีบอธิบายสถานการณ์ให้เขาทราบ เตรียมการล่วงหน้าเพื่อจะเกลี้ยกล่อมเฉินชิงทันทีที่เขาออกมาจากสนามรบที่ถูกผนึก เขาจะได้ปล่อยบิดาของข้าไป…*เซี่ยไห่หยางกังวลว่าผมจะร่วงหมดศีรษะ ตัวเขาและเฉินชิงอยู่ห่างกันคนละโลก เขาจะไปรู้จักสหายของเฉินชิงได้อย่างใดกัน อีกอย่างหนึ่ง เขายังต้องคิดคำพูดโก้หรูที่จะใช้เกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายด้วย
เซี่ยไห่หยางที่จากไปด้วยความหวาดวิตกนั้นไม่รู้เลย…ว่ามีใครบางคนซึ่งกำลังเดินอาดๆ อยู่ในตลาดที่เขาดูแล สามารถเปลี่ยนใจเฉินชิงได้ อันที่จริงแล้ว แค่คำๆ เดียวจากคนผู้นี้ หรือแค่ข้ออ้างที่คิดขึ้นมาง่ายๆ…ก็สามารถช่วยบิดาของเซี่ยไห่หยางจากเรื่องวุ่นวายทั้งหมดได้แทบจะทันที