ซูจิ่นซีมีโอกาสศึกษาความลับระหว่างอาคมกำไลปี่อั้นกับอั้นหรานเซียวหุน
นางหยิบอั้นหรานเซียวหุนออกมา และพยายามเทอั้นหรานเซียวหุนเข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้น ผลเป็นจริงดั่งคาด อาคมกำไลปี่อั้นเปล่งแสงเจิดจ้าอีกครั้ง
ซูจิ่นซีรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
“ถูกต้องแล้ว! ที่อาคมกำไลปี่อั้นเรืองแสงอย่างกะทันหันเพราะอั้นหรานเซียวหุน ก่อนหน้านี้ ตอนที่ข้าตื่นนอน ข้าพบว่าฝาขวดของอั้นหรานเซียวหุนปิดไม่แน่น ทำให้มีอั้นหรานเซียวหุนบางส่วนหยดลงบนอาคมกำไลปี่อั้น ทว่าตอนนั้นไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ข้าจึงไม่ได้นำมาใส่ใจ”
เยี่ยโหยวเหยาเดินไปหาซูจิ่นซี เขาเหลือบมองอาคมกำไลปี่อั้นที่กำลังเรืองแสงบนข้อมือของนาง และหยิบขวดอั้นหรานเซียวหุนขึ้นมาดู
“ทว่า ระหว่างอั้นหรานเซียวหุนกับอาคมกำไลปี่อั้นมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร? ”
กล่าวกันว่า ผู้ที่ครอบครองอั้นหรานเซียวหุนจะเป็นหนึ่งในใต้หล้า ทั้งยังกล่าวอีกว่า การเปิดประตูสุสานจิ่นอีโหว ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับอั้นหรานเซียวหุนเท่านั้น ทว่ายังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งบางอย่างกับหยกกิเลนคู่ แต่ไม่มีผู้ใดกล่าวถึงอาคมกำไลปี่อั้นแม้แต่น้อย!
เขาและซูจิ่นซีได้อาคมกำไลปี่อั้นมาจากตลาดมืดโดยบังเอิญ
แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีมีความคิดอื่นอยู่ในใจ เพื่อยืนยันความคิดของตนเอง ซูจิ่นซีจึงค่อยๆ เทของเหลวบางส่วนลงบนอาคมกำไลปี่อั้นอีกครั้ง
ผลเป็นดั่งที่คิดไว้ อาคมกำไลปี่อั้นปรากฏแสงสว่างมากยิ่งขึ้น แสงนั้นสว่างไปทั่วเรือนพักราวกับเป็นเวลากลางวัน
ครั้งนี้ อาคมกำไลปี่อั้นไม่ได้ส่องแสงเพียงอย่างเดียว
ตัวอักษรและรูปภาพอันเลือนรางค่อยๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงสว่างนั้น
รอจนรูปภาพและตัวอักษรปรากฏชัดเจน พวกเขาจึงพบว่ามันคือแผนที่ ส่วนอักษรเหล่านั้นคือข้อความอธิบาย
สถานที่บางแห่งบนแผนที่ ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยารู้จักดี เนื่องจากเป็นสถานที่ในอาณาจักรเทียนเหอ แต่สถานที่บางแห่งกลับไม่คุ้นเคย
นอกจากนั้น แผนที่และตัวอักษรยังไม่ครบถ้วน ดูแล้วยังไม่สมบูรณ์นัก
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
ซูจิ่นซีมองอาคมกำไลปี่อั้นกับอั้นหรานเซียวหุนอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะเทของเหลวอีกส่วนหนึ่งในอั้นหรานเซียวหุนลงบนอาคมกำไลปี่อั้น ทว่าไม่เป็นผล ตัวอักษรและแผนที่ยังคงไม่ครบถ้วน
“ข้าคิดว่าแผนที่นี้คงเป็นแผนที่แสดงเส้นทางไปยังสุสานจิ่นอีโหว ส่วนข้อความเป็นเพียงคำอธิบายทั่วไป
สาเหตุที่อั้นหรานเซียวหุนสามารถสร้างแผนที่และตัวอักษรเหล่านี้ผ่านอาคมกำไลปี่อั้น คงเพราะมันมีความเกี่ยวข้องกับวัสดุของอั้นหรานเซียวหุน”
ทว่าอาคมกำไลปี่อั้นทำมาจากวัสดุอันใดกัน?
แม้ภายนอกจะดูเหมือนทำมาจากทองแดง ทว่าจากการทดสอบเมื่อครู่ ซูจิ่นซีมั่นใจมากว่า วัสดุของอาคมกำไลปี่อั้นไม่ใช่ทองแดงธรรมดา และมีความเป็นไปได้ว่าจะไม่ใช่ทองแดงด้วยซ้ำ
“เยี่ยโยวเหยา ข้าจำได้ว่าตอนอยู่ที่ตลาดมืด เมื่อเห็นอาคมกำไลปี่อั้น ท่านดูสนใจอย่างมาก เจ้าของตลาดมืดกล่าวว่า อาคมกำไลปี่อั้นนี้ตกทอดมาจากจักรวรรดิต้าฉิน
ในกลุ่มเชื้อพระวงศ์มีบันทึกเกี่ยวกับที่มาและวัสดุของอาคมกำไลปี่อั้นนี้หรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยาส่ายศีรษะ “ไม่เคยมีการบันทึกไว้ สาเหตุที่ตอนนั้นข้าให้ความสนใจอาคมกำไลปี่อั้น เพราะประการแรก มันเป็นของตกทอดจากจักรวรรดิต้าฉิน ข้าไม่ต้องการให้มันตกไปเป็นของผู้อื่น ประการที่สอง… เมื่อข้าเห็นมัน ข้ามีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก ทว่าข้าเองก็อธิบายไม่ได้เช่นกันว่าเพราะเหตุใด”
แม้เยี่ยโยวเหยาไม่รู้ ทว่าซูจิ่นซีทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี
สาเหตุที่เขาคุ้นเคยกับอาคมกำไลปี่อั้นนี้ เพราะอาคมกำไลปี่อั้นเป็นของเขานั่นเอง
เมื่อห้าร้อยปีก่อน เพื่อตามหาตำแหน่งของดวงวิญญาณที่สามของเทพธิดา รัชทายาทหมิงเต๋อที่กลับชาติมาเกิดเป็นรัชทายาทเสวียนเยี่ยได้ใช้พลังแห่งโอรสสวรรค์เปิดกงล้อนพคุณหลิงหลง หลังจากรัชทายาทเสวียนเยี่ยสิ้นพระชนม์ ความทรงจำของเขาได้เข้าไปอยู่ในอาคมกำไลปี่อั้น
ต่อมา อาคมกำไลปี่อั้นยอมรับให้ซูจิ่นซีเป็นเจ้าของ
การฝึกฝนในอาคมกำไลปี่อั้น แท้จริงแล้วเป็นการฝึกฝนภายใต้ความทรงจำของรัชทายาทหมิงเต๋อ ที่รวมอยู่ในอาคมกำไลปี่อั้นนี้
เมื่ออาคมกำไลปี่อั้นได้รับการฝึกจนถึงระดับขั้นสูงสุด ซูจิ่นซีจะสามารถมองเห็นอดีตชาติของนางผ่านอาคมกำไลปี่อั้น
นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่ซูจิ่นซีรู้เกี่ยวกับอาคมกำไลปี่อั้น
ส่วนใครเป็นผู้สร้าง อาคมกำไลปี่อั้นทำมาจากวัสดุอันใด หรือที่มาของอาคมกำไลปี่อั้นเป็นอย่างไร นางไม่รู้แม้แต่น้อย
หลังจากครุ่นคิดและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ความคิดอันแน่วแน่บางอย่างก็ปรากฏขึ้นในหัวใจของซูจิ่นซี
นางมองดวงตาของเยี่ยโยวเหยาและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เยี่ยโยวเหยา ท่านเชื่อเรื่องชาติภพและอดีตชาติของคนหรือไม่? ”
ทันทีที่ถามจบ ซูจิ่นซีรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เพราะนางจำได้ว่าเยี่ยโยวเหยาเคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่า เขาไม่เชื่อเรื่องอดีตชาติ ไม่เชื่อเรื่องภพหน้า เขาเชื่อเพียงชาตินี้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีคาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะตอบกลับมา “ข้าเชื่อ หากมันเกี่ยวข้องกับเจ้าและข้า ข้าเชื่อแน่นอน! ”
ซูจิ่นซีมองเข้าไปในดวงตาของเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นางต้องการถามอีกครั้งว่า ‘เพราะเหตุใด’
ทว่าซูจิ่นซียังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด เยี่ยโยวเหยาก็จับมือของนาง
“จิ่นซี ข้ามีลางสังหรณ์บางอย่าง พรหมลิขิตระหว่างเจ้ากับข้าในชาตินี้เกี่ยวพันกับชาติที่แล้ว และเกี่ยวข้องกับอาคมกำไลปี่อั้น”
ช่างเป็นคำพูดที่ลึกซึ้งกินใจ หากเป็นสตรีอื่น เวลานี้คงซาบซึ้งจนน้ำตาคลอเบ้าไปแล้ว ทว่าซูจิ่นซีกลับยกมือปิดปากหัวเราะ
“ลางสังหรณ์ เยี่ยโหยวเหยา ท่านเรียนรู้การใช้คำพูดตุ้งติ้งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ลางสังหรณ์เป็นเรื่องที่มีเพียงสตรีเท่านั้น ท่านคิดมาได้อย่างไร? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วและจ้องไปที่ดวงตาของซูจิ่นซี “ซูจิ่นซี เจ้าหัวเราะเยาะข้าหรือ ตุ้งติ้งหมายความว่าอย่างไร? ”
ซูจิ่นซีหัวเราะเสียงดัง “ตุ้งติ้ง… ตุ้งติ้งก็คือ… ฮ่า ฮ่า ฮ่า ท่านอ๋องอย่าถามข้า ข้าอดขันไม่ได้จริงๆ ! ”
เยี่ยโยวเหยาดึงซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมแขน ทั้งยังมองซูจิ่นซีด้วยสายตาคุกคาม “เจ้าจะพูดหรือไม่”
ซูจิ่นซีรับรู้ถึงอันตรายอย่างชัดเจน นางหยุดหัวเราะในทันที
ทว่ายังคงกลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก
นางพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังๆ จึงตอบส่งเดชด้วยท่าทางจริงจัง
“ท่านอ๋อง ตุ้งติ้งคือเด็กที่มารดาคลอดออกพร้อมกับปืนใหญ่ ช่างร้ายกาจยิ่งนัก”
“จริงหรือ? ”
การแสดงออกของเยี่ยโยวเหยา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีมีท่าทางเคร่งขรึมอย่างมาก กล้ามเนื้อบนใบหน้าตึงเครียด ทั้งยังเม้มริมฝีปากและพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ใช่เพคะ จิ่นซีไม่ได้โกหก! ”
เยี่ยโยวเหยาใช้นิ้วมือเชยคางซูจิ่นซี บังคับให้นางมองตนเอง แก้มเย็นชาของเขาเคลื่อนเข้าใกล้ซูจิ่นซี
“เช่นนั้น ร้ายกาจในด้านใดหรือ? ”
ซูจิ่นซีเพิ่งตระหนักได้ว่า ประโยคที่นางขยายความเมื่อครู่นั้นคลุมเครืออย่างมาก เมื่อเยี่ยโยวเหยารุกไล่เช่นนี้ ดูเหมือนจะยิ่งทำให้เรื่องบานปลาย
ซูจิ่นซีพยายามหลบเลี่ยงสายตาไปทางอื่น ไม่มองเยี่ยโยวเหยา “ท่านอ๋อง แท้จริงแล้วจิ่นซีจริงจังเกินไป ประโยคนั้นไม่มีความหมายใดเป็นพิเศษ ท่านอ๋องทรงคิดมากไปแล้วกระมัง? ”
“โอ้ คิดมากหรือ? แต่ข้าไม่รู้สึกเช่นนั้น”
ครั้งนี้ ซูจิ่นซีไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน
“ช่างเถิด หากท่านอ๋องคิดว่าเป็นด้านใด ก็เป็นด้านนั้นเพคะ”
“โอ้? ใช่หรือ? ข้าร้ายกาจหรือ? ผู้ใดใช้งาน ผู้นั้นรู้ดี! ตอนนี้ข้าให้พระชายาใช้งานเป็นพิเศษ ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่รู้ดีไปกว่าพระชายาแล้วว่า ข้าเกิดมาพร้อมกับปืนใหญ่… ”
เยี่ยโยวเหยาพูดพลางกระชับมือที่โอบรอบเอวซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีที่ยืนไม่มั่นคงจึงตกลงสู่อ้อมกอดของเยี่ยโยวเหยาอย่างเชื่องช้า