ซูจิ่นซีลังเลอยู่ครู่ใหญ่ นางบอกเยี่ยโยวเหยาเกี่ยวกับความพัวพันทั้งหมดในชีวิตทั้งสามชาติสามภพของพวกเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีทดลองส่งดวงจิตของตนเข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้น และนำดวงจิตของเยี่ยโยวเหยาเข้าไปด้วยเช่นกัน
ปรากฏว่าประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึง
หลังจากดวงจิตของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาเข้าสู่อาคมกำไลปี่อั้น ความทรงจำของรัชทายาทหมิงเต๋อที่ปิดผนึกไว้ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น ความทรงจำของเยี่ยโยวเหยาที่เกี่ยวข้องกับสามภพสามชาติค่อยๆ กลับคืนมา
เหตุการณ์ในอดีตราวกับภาพฉายซ้ำ มันปรากฏขึ้นภายในใจดั่งภาพยนต์
คราแรก เยี่ยโยวเหยามีท่าทีตกตะลึงอย่างมากและไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ต่อมาในตอนท้าย ท่าทางของเขาจึงสงบลง
จนกระทั่งความทรงจำทั้งหมดหวนคืนสู่จิตใจของเยี่ยโยวเหยา เขาโผเข้าโอบกอดซูจิ่นซีไว้ในอ้อมกอด ทั้งยังกอดนางอย่างแนบแน่นเป็นเวลานาน
สัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกเก้าสีที่นั่งอยู่บนแท่นบูชา รู้สึกประทับใจกับภาพเหตุการณ์นี้อย่างมาก
ซูจิ่นซีดึงดวงจิตของเยี่ยโยวเหยาออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น เยี่ยโยวเหยายังคงกอดซูจิ่นซีเช่นนั้นโดยไม่คิดปล่อยมือ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว กว่าที่เยี่ยโยวเหยาจะเอ่ยปากพูด
“ซีเอ๋อร์ สวรรค์หาได้ทำผิดต่อรัชทายาทอย่างข้า เจ้ารู้หรือไม่ ในชีวิตนี้ข้าโชคดีมากเพียงใด? ”
ซูจิ่นซีอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร นางถามกลับไปว่า “เมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว ท่านพูดว่า ท่านต้องการแกะสลักชื่อของเราสองคนลงบนศิลาสามชาติสามภพ และกำหนดชะตาของท่านและข้าในชาติภพหน้า หลังจากดวงวิญญาณของท่านหายไปในกงล้อนพคุณหลิงหลง ท่านเคยไปที่ศิลาสามชาติสามภพหรือไม่? ”
“เจ้าลองเดาดูสิ? ”
“ข้าเดาไม่ออก!”
“ซูจิ่นซี ข้าจะใช้เวลาทั้งชีวิตในการตอบคำถามของเจ้า เจ้าพร้อมจะฟังหรือไม่? ”
แม้ซูจิ่นซีจะไม่ตอบอันใด ทว่านางกลับเม้มริมฝีปากและแย้มยิ้ม
นางรู้ดี ไม่ว่าเยี่ยโยวเหยาจะเคยผ่านศิลาสามชาติสามภพหรือไม่ ทว่าชะตาชีวิตของพวกเขาในชาตินี้ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
เพราะเขาไม่ได้เป็นเพียงรัชทายาทเสวียนเยี่ยที่กลับชาติมาเกิด นางไม่ได้เป็นเพียงเทพธิดาที่กลับชาติมาเกิด
ทว่าพวกเขาคือเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซี เป็นเพียงเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี
นอกจากนั้น นางยังนำความทรงจำก่อนที่ตนจะทะลุมิติมาอีกด้วย นั่นคือความทรงจำในอนาคตสามพันปีข้างหน้า
ไม่ว่าอดีตชาติจะเกิดอันใดขึ้น ทว่าชาตินี้ นางครองคู่กับเยี่ยโยวเหยา นั่นคือพรหมลิขิตในชีวิตนี้ของนาง
“เยี่ยโยวเหยา ท่านยังจำได้หรือไม่ แท้จริงแล้ว เมื่อห้าร้อยปีก่อน ท่านคือเจ้าของอาคมกำไลปี่อั้น ท่านจำได้หรือไม่ว่ามันทำมาจากวัสดุอันใด จากการทดลองเมื่อครู่ ข้าต้องการทราบวัสดุที่สร้างอาคมกำไลปี่อั้น เพราะมันเป็นประโยชน์ต่อการไขความลับของอั้นหรานเซียวหุน”
หลังจากพูดจบ ซูจิ่นซีก็พูดเสริมอีกครั้งว่า “ก่อนต้นฤดูหนาว พวกเราต้องไขความลับของอั้นหรานเซียวหุน และไปที่สำนักแพทย์เทียนอีเพื่อเปิดสุสานจิ่นอีโหว”
แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดนั้นเพื่ออันใด ทว่าซูจิ่นซีรู้สึกมาตลอดว่า มีความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกระหว่างดวงวิญญาณทั้งสามของนาง อั้นหรานเซียวหุน สำนักแพทย์เทียนอี และสุสานของจิ่นอีโหว
แววตาดำขลับลึกซึ้งของเยี่ยโยวเหยามองเข้าไปในดวงตาสดใสของซูจิ่นซี เขากอดซูจิ่นซีไว้ในอ้อมแขนแน่น
“ซีเอ๋อร์ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ในชีวิตนี้และชาตินี้ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นอันใด ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะอยู่กับเจ้าจนแก่เฒ่า จะทำให้เจ้ามีความสุขที่สุด”
เรื่องนี้ ซูจิ่นซีไม่มีข้อสงสัย ทั้งนางยังตั้งใจทำเพื่อเป้าหมายนี้
“พูดกันมาตั้งนาน ท่านยังไม่ได้บอกข้าว่าอาคมกำไลปี่อั้นมาจากที่ใด และทำจากวัสดุใด! ”
“ข้าไม่รู้ว่าอาคมกำไลปี่อั้นทำมาจากวัสดุใด ตอนที่ข้าอายุได้หกชันษา เสด็จพ่อทรงให้ช่างฝีมือชื่อดังในเมืองทำขึ้นเพื่อประทานเป็นของขวัญวันคล้ายวันพระราชสมภพหกชันษาของข้า ตอนนั้น ข้าคิดว่ามันเป็นเพียงกำไลปี่อั้นธรรมดา ทว่าเนื่องจากเสด็จพ่อประทานให้ ข้าจึงนำติดตัวไว้ตลอด”
“ท่านอ๋องจำได้หรือไม่ ช่างฝีมือผู้นั้นมีชื่อว่าอันใด? ”
ก่อนที่ซูจิ่นซีจะถามคำถามนี้ เยี่ยโยวเหยาก็ได้คิดคำตอบเอาไว้แล้ว “ช่างฝีมือในตอนนั้นแซ่ต้วน เขาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงของต้าฉิน ปัจจุบันคือเมืองหลวงของแคว้นจงหนิง”
“เยี่ยโยวเหยา ดูเหมือนว่าพวกเราต้องแยกทางกันอีกแล้ว”
ซูจิ่นซีเล่าให้เยี่ยโยวเหยาฟังเรื่องที่หญิงชราในห้องลับสกุลจงบอกกับนาง
“แม้ข้าจะได้หญ้าเสินเซียนมาแล้ว แต่ข้าต้องการไขความลับของสุสานจิ่นอีโหว และเดินทางไปยังสำนักแพทย์เทียนอี ดังนั้น ก่อนต้นฤดูหนาว ข้าจำเป็นต้องไขความลับของอั้นหรานเซียวหุนให้ได้ ทั้งยังต้องค้นหาตำแหน่งและวิธีเข้าไปในสุสานจิ่นอีโหว”
เพราะฉะนั้น ครั้งนี้ นางต้องเดินทางไปเยือนเมืองหลวงแคว้นจงหนิง
“ข้าจะไปพร้อมกับเจ้า! ”
“เยี่ยโยวเหยา แคว้นจงหนิงยังอยู่ในระหว่างการทำสงครามกับแคว้นหนานหลี”
แววตาของเยี่ยโยวเหยาพลันทอประกายชั่วร้าย “ข้าบอกไว้แล้ว หากการเจรจาเรื่องสำคัญทางการทหารกับฉางอันกงจู่เป็นไปอย่างราบรื่น ข้าให้สัญญาว่าจะสงบศึกกับแคว้นหนานหลีชั่วคราวเป็นเวลาสี่เดือน รอจนถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าค่อยเริ่มทำศึกกันอีกครั้ง”
ซูจิ่นซีเลิกคิ้วเล็กน้อย “เยี่ยโยวเหยา ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร? ”
ขณะที่พูดเช่นนั้น มือของเขาก็เริ่มอยู่ไม่สุขอีกครั้ง
“เยี่ยโยวเหยา นี่คือเรื่องสำคัญทางการทหารที่ท่านพูดถึงหรือ? ”
“เจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร? ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ผลักซูจิ่นซีนอนลงบนเตียง
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากแน่น ท่าทางของนางจริงจังอย่างมาก “โยวอ๋อง หากเสด็จพ่อและเสด็จพี่มู่หรงฉี รวมถึงกองทัพสกุลหลานรู้ว่า ‘เรื่องสำคัญทางทหาร’ ของท่านคือสิ่งใด พวกเขาต้องโกรธท่านมากแน่นอน! ”
ในตอนนี้ น้ำเสียงของเยี่ยโยวเหยาอัดอั้นไปด้วยไฟแห่งความปรารถนา
“เพราะฉะนั้น พระชายาผู้สูงศักดิ์ของข้า เพื่อความสงบสุขชั่วคราวระหว่างสองแคว้น เจ้าคงต้องทำงานหนักสักหน่อย”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ไม่ให้โอกาสซูจิ่นซีได้พูดอันใดอีก และประกบริมฝีปากจุมพิตนางอย่างดูดดื่ม
ซูจิ่นซีเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง นางต้องการดุด่าเยี่ยโยวเหยา ทว่าไม่มีโอกาสเสียแล้ว
นางสาบานว่า ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่ทำท่าทางจริงจังได้ไร้ยางอายยิ่งกว่าเยี่ยโยวเหยาอีกแล้ว
ภารกิจที่หนักหน่วงนั้นกินเวลาตลอดทั้งคืน จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มปรากฏแสงแห่งรุ่งอรุณ เยี่ยโยวเหยาจึงปล่อยซูจิ่นซี ก่อนจะนอนกอดนางและหลับใหลด้วยความเหน็ดเหนื่อย
เมื่อซูจิ่นซีตื่นขึ้นมาก็เป็นช่วงบ่ายของวันถัดไป ทันทีที่นางตื่น ก็มีคนผลักประตูเข้ามา “พระชายา ตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ”
“คุณหนู! ”
“แม่นมฮวา ลวี่หลี”
ซูจิ่นซีมีท่าทางตกใจเล็กน้อย “พวกเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? ”
แม่นมฮวาอธิบายว่า “ทูลพระชายา ตั้งแต่ออกจากเมืองเย่หลินครั้งก่อน ท่านอ๋องก็รับสั่งให้บ่าวทั้งสองอยู่รับใช้ข้างกาย ท่านอ๋องกล่าวว่าไม่ช้าก็เร็ว พระชายาจะกลับมาหาพวกเราอีกครั้ง สักวันหนึ่ง พระชายาคงต้องการให้เราทั้งสองคอยรับใช้”
แม่นมพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ท่านอ๋องคาดการณ์ได้แม่นยำยิ่งนัก ไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึงเร็วเพียงนี้ ”
เห็นได้ชัดว่าแม่นมฮวามีความสุข ทว่าเมื่อนางพูดถึงเรื่องนี้ น้ำเสียงของนางก็ราวกับมีบางอย่างอัดอั้นอยู่ในลำคอ น้ำตาของนางไหลรินลงมาอย่างควบคุมไม่ได้
ใบหน้าของซูจิ่นซีปรากฏความสงสัย “ร้องไห้ทำไม? พวกเราพบกันอีกครั้ง นับเป็นเรื่องน่ายินดีมิใช่หรือ? ”
ลวี่หลีร่ำไห้พลางรีบวิ่งเข้ามา นางแนบศีรษะลงบนตักของซูจิ่นซี “คุณหนู ท่านรู้หรือไม่ ฐานะของท่านอ๋องแพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักรเทียนเหอ เรื่องราวความแค้นฆ่าล้างตระกูลระหว่างจักรวรรดิต้าฉินกับสกุลมู่หรงถูกเปิดเผย พวกเราหวาดกลัวอย่างมาก บ่าวกลัวมากจริงๆ!
บ่าวกลัวว่าชาตินี้ บ่าวจะไม่ได้พบพระชายาอีกแล้ว! ”
“ไม่มีทาง! ”
“คุณหนู ท่านรู้หรือไม่ หลายเดือนมานี้ ตั้งแต่ข่าวแพร่สะพัดออกไป ท่านอ๋องลำบากมากเพียงใด บ่าวไม่เคยเห็นท่านอ๋องเศร้าโศกมากถึงเพียงนี้”
ในความคิดของลวี่หลี ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เยี่ยโยวเหยาไม่สามารถแก้ไขได้ เรื่องที่ทำให้ท่านอ๋องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ นางคิดว่าคงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากที่สุด
มือของซูจิ่นซีที่ลูบไล้เส้นผมของลวี่หลีสั่นเทาเล็กน้อย “ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น! “