เฉินตงเยว่เป็นพ่อของเฉินเหล่ย ได้ยินเฉินตงหวาชื่นชมลูกชายของตนเองก็รู้สึกภูมิใจเล็กน้อย

“เฉินเหล่ย เด็กคนนี้จิตใจชั่งยากจะหยั่งถึง บางเวลาแม้แต่ฉันที่เป็นพ่อของเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่”

เฉินกั๋วเหลียงมองมาที่เฉินเหล่ย ไม่ได้พูดอะไร แต่ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย

เย่เจิ้งฉีเหลือบตามองเฉินเหล่ย จากนั้นก็หันมามองเฉินกั๋วเหลียง หัวเราะและพูดออกมาว่า “คุณเฉิน เฉินเหล่ย เด็กคนนี้สุภาพเหลือเกิน กฎเกณฑ์ของตระกูลเฉินสมคำร่ำลือ !”

เฉินกั๋วเหลียงยิ้มออกมา พูดอย่างถ่อมตัว “คุณเย่ก็ชมเกินไป !”

พูดจบ คิ้วของเฉินกั๋วเหลียงก็ขมวดแน่นกว่าเดิม ความหมายของเย่เจิ้งฉีนั้นชัดเจนในตัว เขาหวังว่าเฉินกั๋วเหลียงจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง

และเดิมทีเฉินกั๋วเหลียงก็ไม่มีความคิดที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่งอยู่แล้ว เนื่องจากเฉินเหล่ยเป็นคนรุ่นที่สาม หากเขายื่นมือเข้าไปช่วยเฉินจิงเย่ แบบนั้นมันก็อาจจะดูไร้เหตุผลไปหน่อย ดังนั้นเรื่องนี้คงต้องให้เฉินจิงเย่แก้ไขด้วยตัวเอง

เฉินเหล่ยมีไหวพริบในการทำสิ่งต่าง ๆ เขารู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร รู้จังหวะของการกระทำ ดังนั้นจึงทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยคและถอยกลับไป “ลุงเฉินใจกว้างเหลือเกิน หลายชายผู้นี้ขอขอบพระคุณ !”

เฉินจิงเย่พยักหน้า “ไม่เป็นไร”

เฉินเหล่ยโค้งคำนับเพื่อทำความเคารพ จากนั้นก็จากไป และก่อนจากไปก็ไม่ลืมหันไปยิ้มให้เฉินโม่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเฉินโม่ รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความภูมิใจ

แม้เฉินเหล่ยไม่ได้พูดอะไร แต่รอยยิ้มนั้น ในสายตาของผู้อื่นมันคือการดูถูกโดยแท้จริง มันเหมือนกับรอยยิ้มที่ผู้ชนะมีต่อผู้พ่ายแพ้

แขนข้างหนึ่งของเฉินเหล่ยโอบไปที่เอวของเย่เฟยเออร์ เดินกลับมายังตำแหน่งของตนเองราวกับไม่มีใครอยู่รอบข้าง ดูเหมือนกำลังส่งสัญญาณยั่วยุบางอย่าง

เห็นเฉินเหล่ยเดินกลับมา พวกของเฉินควางต่างยกนิ้วชื่นชม ประจบประแจงเหมือนกระแสน้ำ

“พี่เหล่ย สุดยอดไปเลย ! ฉันไม่เคยยอมใครมาก่อน แต่ต้องมายอมให้พี่ !”

ใบหน้าของเฉินควางเต็มไปด้วยความชื่นชม พูดออกมาว่า “รุกโดยการใช้ความอ่อนน้อมถ่อมตน มันไม่ได้ดูเสียมารยาทเลยแม้แต่น้อย เฉินเหล่ยสุดยอดอย่างที่คิด !”

เฉินเหล่ยยิ้มออกมา “มันก็ไม่ได้ขนาดนั้น พวกนายอย่ามายกย่องอะไรฉันมากมาย ฉันก็แค่เดินไปขอโทษเท่านั้น”

แม้คำพูดจะดูถ่อมตน แต่แววตาของเฉินเหล่ยนั้นกลับเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง

เย่เฟยเออร์เองก็มองไปที่เฉินเหล่ยด้วยใบหน้าเคารพ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความชื่นชม “พี่เหล่ย เมื่อสักครู่พี่ทำได้ดีมาก !”

เฉินเหล่ยยิ้มออกมา “ได้รับคำชมจากเฟยเออร์ ถือว่าเป็นโชคดีของฉัน !”

ความเกลียดชังแวบวาบขึ้นในดวงตาของเฉินควาง เขายิ้มอย่างเยือกเย็น “หลังจากนี้มาดูกันว่าเจ้าสวะเฉินโม่จะสู้ต่อไปอย่างไร !”

อีกด้านหนึ่ง เฉินธงที่เป็นที่หนึ่งแห่งยุคนี้ของตระกูลเฉินก็รู้สึกอิจฉาเล็กน้อยเช่นกัน

“เฉินเหล่ย เจ้านี่ช่างโชคดีเหลือเกิน ดอกไม้แห่งหนานซู ทั้งหนานซูก็มีแค่เธอเพียงคนเดียว หากไม่มีเธออยู่ การยั่วยุแบบนี้ก็คงเป็นได้แค่เรื่องตลก !

เฉินหลี้มองมาที่เฉินเหล่ย ความเย่อหยิ่งบนใบหน้าของเขาจางหายไป “เฉินเหล่ยเข้าใจดีว่าเขาไม่สามารถเอาชนะเฉินโม่ในเรื่องอื่นได้ แต่เขามีดอกไม้งามแห่งหนานซูอยู่ในมือ เขารู้จักวิธีใช้จุดแข็งของตนเองโจมตีจุดอ่อนของอีกฝ่าย ทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ ดูเหมือนฉันจะอาฆาตไปเอง !”

เฉินจิงเย่รู้สึกโกรธเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าคนรุ่นหลังจะกล้าทำกับเขาแบบนี้ แต่เฉินจิงเย่นอกจากจะอดทนยอมรับอย่างเงียบ ๆ เขาก็ไม่มีการตอบโต้แต่อย่างใด

เฉินโม่หันมามองเฉินเหล่ย ความเยือกเย็นปรากฏขึ้นในแววตาของเขา ท้าทายเขาไม่เป็นไร แต่อย่ามายุ่งกับพ่อของเขา สิ่งนี้มันได้ทำลายขีดความอดทนทั้งหมดของเฉินโม่

ในตอนที่เฉินโม่กำลังคิดว่าควรจะจัดการกับเฉินเหล่ยอย่างไร เสียงรายงานก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกประตูอีกครั้ง “ตระกูลเอียน เอียนหม่านชวนแห่งยานจิงมาถึงแล้ว !”

“ตระกูลเอียนแห่งยานจิง เอียนหม่านชวน ! นี่มันผู้นำตระกูลชวน !”

ในตอนที่คนส่วนใหญ่ของตระกูลเฉินกำลังครุ่นคิดว่าเอียนหม่านชวนผู้นี้เป็นใคร เฉินธงก็อุทานออกมาดังลั่น

ทุกคนในตระกูลเฉินตกใจ ลุกขึ้นยืนทันที