หวงฝู่อวี้เบิกตาโพลง ทำท่าทีเหมือนไม่เชื่อ แต่ก็เหมือนดีใจเกินเหตุ จนผ่านไปนาน กว่าเขาจะตั้งสติได้ เขากุมมือของหลินหันเยียนไว้แน่น รู้สึกดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง “เยียนเอ๋อร์ เจ้าได้ยินหรือยัง เจ้าตั้งครรภ์ลูกของเราแล้ว”

 

 

หลินหันเยียนพยักหน้าอย่างตื่นเต้น น้ำตาคลอเบ้า “พี่อวี้ ดีจังเลย พี่จะเป็นพ่อแล้วนะเจ้าคะ”

 

 

หวงฝู่อวี้ก็ตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก พยักหน้าหงึกๆ “ใช่ เจ้าก็จะเป็นแม่แล้วนะ”

 

 

มุมปากเมิ่งเชี่ยนโยวกระตุกเบาๆ พูดขัดจังหวะขึ้นว่า “ทักษะการแพทย์ของข้ายังตื้นเขินนัก อาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ เชิญหมอหลวงเจียงมาดูดีกว่านะ”

 

 

น้ำเสียงหวงฝู่อวี้เต็มไปด้วยความดีใจอย่างปิดบังไว้ไม่อยู่ “ไม่ต้อง เราเชื่อในวิชาแพทย์ของพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้บอกว่าใช่ก็คือใช่ ข้าจะส่งคนไปรายงานข่าวดีแก่เสด็จแม่เดี๋ยวนี้แหละ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เขา พูดอย่างมีนัยยะว่า “น้องรองแน่ใจแล้วหรือว่าจะบอกเสด็จแม่”

 

 

หวงฝู่อวี้ชะงัก พูดด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจว่า “พี่สะใภ้ใหญ่หมายความว่าอย่างไรขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย “ไม่มีอะไร ข้าแค่เตือนให้เจ้าคิดดีๆ เรื่องบางเรื่องหากทำไปแล้ว จะกลับมาแก้ไขไม่ได้แล้วนะ”

 

 

หวงฝู่อวี้กำลังจะพูดอะไรต่อ หลินหันเยียนคว้ามือเขาไว้ “พี่อวี้ ฟังซื่อจื่อเฟยเถอะ รอมั่นใจแล้วค่อยบอกเสด็จแม่”

 

 

หวงฝู่อวี้ไม่เห็นด้วย ตบมือนางเบาๆ “เยียนเอ๋อร์ เสด็จแม่ชอบเด็กที่สุดเลยนะ หากรู้ว่าเจ้ามีครรภ์แล้ว ต้องดีใจมากแน่ๆ”

 

 

“ถ้าอย่างนั้น น้องรองเชิญหมอหลวงเจียงมาตรวจเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อนเถอะ จะได้ไม่ทำให้เสด็จแม่หลงดีใจ ข้าเหนื่อยแล้ว ขอกลับไปพักก่อน คุณหนูหลินดูแลตัวเองดีๆ นะ”

 

 

พูดจบ ก็ลุกขึ้นยืน

 

 

ชิงหลวนและจูหลีรีบเดินขึ้นไปประกบทั้งสองข้างของนาง

 

 

นายหญิงและคนใช้ทั้งสามคนเดินออกไป

 

 

“พี่สะใภ้…” เมื่อหวงฝู่อวี้เห็นท่าทางเทอะทะของนาง คำพูดที่เขาจะพูดก็ถูกกลืนกลับไปหมด

 

 

หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากเรือนของหวงฝู่อวี้แล้ว นางก็ถอนหายใจดังเฮือกหนึ่ง

 

 

เสียงของหวงฝู่อวี้ดังขึ้นตามหลังมา “เฮ่ออี นำป้ายหยกของข้าไปเชิญหมอหลวงเจียงมา”

 

 

เฮ่ออีขานรับ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปที่เรือนของตนด้วยความรู้สึกซับซ้อน หวงฝู่อี้เซวียนรอจนร้อนใจ เมื่อเห็นนางกลับมา ก็รีบเดินไปหา “ทำไมไปนานจัง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหอบหายใจ ยิ้มพูดว่า “ร่างกายคุณหนูหลินค่อนข้างพิเศษ ข้าก็เลยใช้เวลาจับชีพจรนานหน่อย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสัมผัสได้ถึงความหมายแฝงในคำพูด เขาจึงเปลี่ยนท่าที น้ำเสียงขรึมลงกว่าเดิม สั่งชิงหลวนว่า “ต่อไปไม่ต้องมารายงานเรื่องของคุณชายรองแล้ว ปล่อยตามใจพวกเขาเถิด”

 

 

ชิงหลวนคอยรับใช้อยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยวตลอด เห็นอารมณ์และสีหน้าของนางเปลี่ยนไปกับตาตนเอง จึงพอจะคาดเดาในใจได้ นางขานรับอย่างนอบน้อมว่า “บ่าวรับทราบเจ้าค่ะ”

 

 

ทั้งสองเดินเข้าห้องไป เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้ หยิบแก้วชาขึ้นมารินน้ำใส่แก้ว เงยศีรษะขึ้นกระดกน้ำลงไป แล้วจึงยิ้มพูดว่า “ทักษะการแพทย์ของข้าถดถอยไปบ้าง อวี้เอ๋อร์สั่งคนไปเชิญหมอหลวงเจียงมาแล้ว จะจริงหรือเท็จเดี๋ยวก็รู้กัน ขอให้ไม่เป็นอย่างที่ข้าคิดก็พอ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว สีหน้าเงียบขรึม “อวี้เอ๋อร์ก็ไม่เด็กแล้ว ควรจะแยกเขาไปอยู่อีกจวนหนึ่งได้แล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักเล็กน้อย หุบสีหน้ายิ้มแย้ม “รอดูก่อนเถอะ อย่างไรพวกเจ้าก็เป็นพี่น้องกัน หากแยกพวกเขาออกไป ความสัมพันธ์พี่น้องระหว่างพวกเจ้าก็คงถึงจุดจบ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากเห็น”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเงียบไม่พูดอะไร

 

 

ทั้งห้องเงียบสนิท

 

 

ไม่รู้ว่าหมอหลวงเจียงตรวจวินิจฉัยอย่างไร หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม พระชายาฉีก็สั่งคนมาเรียกหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไปหา สีหน้านางดีใจอย่างปิดบังไว้ไม่อยู่ “เยียนเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์แล้ว ปีหน้าจวนอ๋องของเราก็จะมีเด็กน้อยสามคนแล้ว แค่คิดแม่ก็ดีใจมากแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้ม พูดสำทับว่า “ใช่เจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้อวี้เอ๋อร์ก็รีบมาเรียกข้าไปจับชีพจรให้คุณหนูหลิน ข้าไม่มั่นใจ จึงให้เขาเรียกหมอหลวงเจียงมา คุณหนูหลินมีครรภ์แล้วจริงๆ สินะ เป็นข่าวดีมากเลยนะเจ้าคะ”

 

 

เมื่อมีข่าวดีติดต่อกันเช่นนี้ พระชายาฉีก็ดีใจจนยิ้มไม่หุบ “นั่นน่ะสิ หมอหลวงเจียงยังไม่ไป ก็สั่งคนมาเชิญข้าไป เมื่อได้ยินว่าเยียนเอ๋อร์มีครรภ์ ข้านั้นดีใจเหลือเกิน เพียงแต่สงสารเยียนเอ๋อร์นัก อาการแพ้ท้องนางรุนแรงมาก ทรมานจนแทบจะไม่เหลือสภาพความเป็นคนแล้ว วันที่เหลือต่อจากนี้คงต้องอดทนมากเลยล่ะ ข้าสั่งให้หมอหลวงเจียงสั่งยาบำรุงครรภ์ให้แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้หรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนสบตากันครู่หนึ่ง ยิ้มพูดกับพระชายาฉีว่า “มีอวี้เอ๋อร์ที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด คุณหนูหลินต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ เสด็จแม่อย่ากังวลมากไปเลยเจ้าค่ะ”

 

 

สีหน้ามีความสุขของพระชายาฉีหายไป แล้วถอนหายใจใหญ่แทน “ข้าไม่ได้เป็นห่วงร่างกายของเยียนเอ๋อร์หรอก ข้าเป็นห่วงว่าเยียนเอ๋อร์จะคิดไม่ตกมากกว่า เพราะว่านี่ก็เป็นลูกคนแรกของนาง แต่สถานะนางยังเป็นเช่นนี้ ลูกยังไม่คลอดก็ถูกตราหน้าว่าเป็นลูกอนุเสียแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนนิ่งเงียบ

 

 

พระชายาฉีถาม “เซวียนเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์ จุดประสงค์ที่เสด็จแม่เรียกพวกเจ้ามาที่นี่ คืออยากถามว่าพวกเจ้ามีวิธีอะไรดีๆ ไหม ที่ทำให้ไทเฮาเปลี่ยนใจ ยกเลิกราชโองการและให้อวี้เอ๋อร์และเยียนเอ๋อร์ได้แต่งงานกันอย่างเปิดเผย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน

 

 

พระชายาฉีก็มองไปที่เขา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่ายศีรษะ “เสด็จแม่ คุณหนูหลินออกอุบายทำร้ายอวี้เอ๋อร์ เสด็จย่าไม่ได้ลงโทษนางหนักก็ถือว่าไว้หน้าจวนอ๋องและเสด็จลุงมากแล้ว ลูกคิดวิธีที่ทำให้ท่านเปลี่ยนใจไม่ได้จริงๆ ขอรับ”

 

 

พระชายาฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เรื่องพวกนี้แม่ทราบดี แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นลูกคนแรกของอวี้เอ๋อร์ อย่างไรก็ไม่สมควรให้ลูกถูกตราหน้าว่าเป็นลูกอนุตั้งแต่ออกมาจากท้องนะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไรอีก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวปริปาก “เสด็จแม่ ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดไม่ใช่ลูก แต่คือเรื่องงานแต่งอย่างเป็นทางการของคุณหนูหลินและอวี้เอ๋อร์ ไม่เช่นนั้นหากเด็กคนนี้คลอดออกมาแล้ว จะไม่ได้เป็นแม้แต่ลูกอนุนะเจ้าคะ”

 

 

พระชายาฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง

 

 

ทั้งสามไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งห้องก็เงียบสนิท

 

 

หลังจากวันนั้น พระชายาฉีก็วิ่งวุ่นไปมาที่เรือนหวงฝู่อวี้ คอยดูแลกำชับหลินหันเยียน แต่เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่สนใจข่าวคราวของทั้งสองอีกเลย

 

 

ถึงเวลาเก็บเกี่ยวมันฝรั่งแล้ว คนในบ้านต่างไปเก็บมันฝรั่งกันหมด เมิ่งซื่อก็ตามไปช่วยงานที่หมู่บ้านนอกเมือง ไม่มีเวลาว่างมาจวนอ๋อง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็พาเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่นั่นเป็นบางครั้งบางคราว หลังจากที่นางร้องขอให้พาไป

 

 

เมิ่งซื่อทำความสะอาดห้องด้วยตนเอง เตรียมของทั้งหมดไว้เรียบร้อย หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวกินมื้อเช้าเสร็จแล้วก็ตามไปที่นั่น นางอยู่จนพลบค่ำจึงกลับจวนอ๋อง เมื่อได้เห็นมันฝรั่งที่ขึ้นเต็มพื้น ก็รู้สึกพึงพอใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สิ่งเดียวที่ไม่พอใจคือขนาดท้องที่โตขึ้นทุกวัน จนทำให้เคลื่อนไหวยิ่งเทอะทะ รูปร่างไม่ได้เพรียวบางเหมือนเมื่อก่อน ด้วยเหตุนี้เอง หวงฝู่อี้เซวียนจึงได้เห็นสีหน้าไม่สู้ดีนักของนางบ่อยครั้ง ทุกครั้งที่เห็น หวงฝู่อี้เซวียนก็จะร่าเริง พยายามกอดแข้งกอดขา คอยปรนนิบัติ และหยอกเล่นให้นางสนุกสนาน

 

 

วันเวลาแบบนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากหนึ่งเดือน มันฝรั่งก็เก็บเกี่ยวหมดแล้ว ปุถุชนทั่วไปในเป่ยเฉิงก็ได้รับค่าจ้างที่พึงพอใจ สิ้นสุดช่วงฤดูความวุ่นวายแห่งปี แต่ก็มีบางคนที่ขยันไปรองานทำข้างถนน หลายคนได้หลายอีแปะ ทำให้ชีวิตคนในครอบครัวได้อยู่อย่างสุขสบายขึ้น ส่วนพวกที่ขี้เกียจ ก็กลับบ้านไปอยู่กับเมียและลูก ยังไงที่บ้านตนก็มีคนวัยแรงงานเยอะ เงินที่หามาได้ตลอดทั้งปีก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งบ้านอยู่อย่างสบายได้หลายเดือนแล้ว

 

 

ส่วนคนงานในโรงงานกุนเชียงนั้นก็ดีใจยิ่งนัก เพราะว่านายหญิงบอกว่ารอให้เก็บเกี่ยวมันฝรั่งกลับมาแล้ว พวกเขาก็ไปแต่งงานได้แล้ว

 

 

เมิ่งอี้อยู่ข้างนอกมาสองเดือนกว่าแล้ว คอยกำกับดูแลร้านบะหมี่มันฝรั่งกว่าสิบร้านด้วยตนเอง

 

 

เหวินหย่วนก็พาทุกคนตั้งสำนักคุ้มภัยเวยหย่วน แต่ช่วงนี้ไม่มีคนมาหาเลย ทุกคนต่างกังวล เมิ่งเชี่ยนโยวจึงสั่งคนเรียกเหวินเปียวมา นางส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ “ในนี้คือที่อยู่ร้านบะหมี่มันฝรั่งสิบกว่าร้าน เจ้าให้คนในสำนักคุ้มภัยทุกคนส่งเส้นบะหมี่มันฝรั่งไปให้ตามที่อยู่นี้นะ”

 

 

ไม่ว่าจะได้ค่าแรงหรือไม่ แต่คนในสำนักคุ้มภัยมีงานทำแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ได้นั่งถอนหายใจทั้งวัน เหวินเปียวดีใจมาก กล่าวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยว “ขอบคุณนายหญิงขอรับ ขอบคุณนายหญิงขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มโบกมือ “เหวินเส้าจู่ ควรเปลี่ยนชื่อเรียกแล้วนะ ต่อไปเรียกข้าว่าซื่อจื่อเฟยเถอะ”

 

 

เหวินเปียวชะงัก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงคิดขึ้นได้ “ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางเหลือบมองชิงหลวนที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดว่า “รอให้สำนักคุ้มภัยของพวกเจ้าคุ้มกันคนกลับไปหมดแล้ว เรื่องงานแต่งของเหวินซงและเหวินเหลียนก็ควรจะกำหนดได้แล้ว”

 

 

ครอบครัวเหวินเปียวเคยเร่งให้เหวินเปียวมาหาเมิ่งเชี่ยนโยวเพื่อปรึกษาเรื่องงานแต่งของเด็กสองคนนี้แล้ว แต่สำนักคุ้มภัยเพิ่งก่อตั้ง ใช้เงินทองไปจำนวนมาก แม้หลายคนจะนั่งกินนอนกินไม่ทำอะไร และถึงแม้จะมีเงินทองที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้ เหวินเปียวก็รู้สึกละอายแก่ใจมากพอแล้ว ถ้าลูกชายและลูกสาวแต่งงาน ก็ต้องใช้จ่ายอีก เขาจึงไม่กล้ามาหานาง เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดดังนั้น ก็รีบขานรับ “ซื่อจื่อเฟยวางใจเถอะขอรับ รอพวกเราคุ้มกันคนรอบนี้กลับมา เราจะให้แม่สื่อไปสู่ขอขอรับ”

 

 

ทุกวันผ่านไปอย่างราบเรียบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ไปถามหวงฝู่อวี้และหลินหันเยียน แค่ได้ยินจากพระชายาฉีบ้างเป็นครั้งคราว อาการแพ้ท้องของหลินหันเยียนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สภาพก็ซูบผอมจนจะไม่เหมือนคนอยู่แล้ว นางเชิญหมอหลวงเจียงมาดู หมอหลวงเจียงบอกว่าป่วยทางใจ ไม่มียารักษาได้ มีแค่ตนเองว่าจะคิดได้ไหมเท่านั้น เขาชี้แนะหลินหันเยียนว่า ‘หากหลินหันเยียนยังเป็นแบบนี้ต่อไป ลูกในท้องก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้นะขอรับ แม้จะทานยาบำรุงครรภ์มากแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์’

 

 

หลินหันเยียนร้องไห้หนักกว่าเดิม หวงฝู่อวี้ปวดใจยิ่งนัก คอยเฝ้าดูแลนางทั้งวันทั้งคืน จนไม่สนใจกิจการของจวนเลย

 

 

พระชายาฉีก็วิ่งไปมาในเรือนของพวกเขา คอยปลอบประโลมนาง จนเมิ่งซื่อที่มาหาก็ไม่มีคนคุยด้วย เมิ่งซื่อจึงมาเฝ้าเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งวัน เวลาที่อยู่กับเมิ่งเชี่ยนโยวสองต่อสองของหวงฝู่อี้เซวียนก็น้อยลง ความไม่พอใจต่อหลินหันเยียนจึงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย

 

 

วันนี้เมิ่งซื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวคุยกันในห้อง เซิ่งเอ๋อร์เล่นอยู่ข้างๆ “การงานเหรินเอ๋อร์มั่นคงแล้ว สองสามวันนี้มาปรึกษาข้าว่าจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ข้าถามแล้ว พวกเขาไม่ได้มีเงินทองมากมายนัก ซื้อบ้านไม่ไหว ทำได้แค่เช่าบ้านสักหลัง ข้าก็สงสารจึงไม่ได้ตอบตกลงไป”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ราคาบ้านในเมืองหลวงนั้นแพงมาก แค่เงินเก็บของพี่เมิ่งเหรินและพี่สะใภ้อิงจื่อนั้นซื้อไม่ไหวแน่นอน แต่ตอนนี้สถานะของพี่เมิ่งเหรินไม่เหมือนเดิมแล้ว อาศัยอยู่ในจวนของเรา หากข่าวแพร่สะพัดออกไปจะถูกคนนอกดูถูกเปล่าๆ เจ้าค่ะ เอาเช่นนี้ ท่านกลับไปบอกพวกเขา ให้พวกเขาไปดูบ้านไว้ เสร็จแล้วข้าจะให้พวกเขายืมเงินไปซื้อเจ้าค่ะ”

 

 

สำนักราชบัณฑิตเป็นที่ทำการปกครองเขตชิงสุ่ย เงินเดือนของเมิ่งเหรินก็ไม่ได้มีมากหรอก หากพูดอย่างตรงไปตรงมา แม้เขาจะนำเงินเดือนที่สะสมทั้งชีวิตมาซื้อก็อาจซื้อบ้านในเมืองหลวงไม่ได้สักหลังด้วยซ้ำ เมิ่งเชี่ยนโยวปรึกษากับหวงฝู่อี้เซวียนไว้นานแล้ว ว่าจะซื้อบ้านให้เขาหลังหนึ่ง แต่ก็กลัวว่าเมิ่งเหรินจะไม่ยอมรับไว้ จึงบอกเมิ่งซื่อว่าจะให้เขายืมเงินแทน

 

 

เมิ่งซื่อพยักหน้า “แม่กลับไปแล้วจะไปบอกพี่สะใภ้อิงจื่อของเจ้า ดูว่าพวกเขาคิดเห็นอย่างไร พรุ่งนี้ข้ามาบอกเจ้านะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเซิ่งเอ๋อร์เล่นอย่างไม่มีความสุขนัก ก็ถามขึ้นว่า “เย่ว์เอ๋อร์ล่ะเจ้าคะ เย่ว์เอ๋อร์ทำไมไม่มา”

 

 

“เย่ว์เอ๋อร์อายุถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว เหรินเอ๋อร์ส่งเขาไปเรียนแล้วล่ะ”

 

 

แม่ลูกสองคนคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่ครู่หนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนนั่งเม้มปากอยู่ข้างๆ อ่านหนังสือวิชาแพทย์ที่อยู่ในมือ

 

 

เสียงโจวอันดังขึ้นจากข้างนอก “นายท่าน คนที่คอยเฝ้าสังเกตจวนหลินกลับมาแล้ว บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะรายงานขอรับ”

 

 

เมิ่งซื่อลุกขึ้น โบกมือให้เซิ่งเอ๋อร์ “เซิ่งเอ๋อร์ มานี่สิ ไปเล่นข้างนอกกับย่านะ”

 

 

“ท่านแม่ ไม่เป็นไรขอรับ ท่านอยู่กับโยวเอ๋อร์เถอะ ข้าจะออกไปเอง” หวงฝู่อี้เซวียนพูด

 

 

เมิ่งซื่อนั่งกลับไปที่เดิม

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนออกจากห้องไป

 

 

องครักษ์ลับนายหนึ่งยืนนอบน้อมอยู่กลางลานบ้าน เมื่อเห็นเขาออกมา ก็โค้งตัวคารวะ “ซื่อจื่อ”

 

 

“ว่ามา!”

 

 

“หลินฉงเหวินอ้างว่าร่างกายไม่สบาย ขอลาพักครึ่งเดือน หลังจากพักที่บ้านไปห้าวัน วันนี้ก็รวบรวมคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในจวน เป็นคนฝีมือดีทั้งนั้นขอรับ”

 

 

หลินฉงเหวินแอบทนได้นานขนาดนี้ ก็เป็นสิ่งที่หวงฝู่อี้เซวียนคาดไม่ถึงแล้ว

 

 

“พวกเขายังอยู่ในจวนหลินไหม”

 

 

“ตอนที่ข้าน้อยมายังอยู่ขอรับ”

 

 

“โจวอัน”

 

 

“ขอรับนายท่าน”

 

 

“นำองครักษ์ลับจำนวนหนึ่งร้อยนายไปล้อมจวนหลินไว้ แม้แต่นกตัวเดียวก็อย่าให้บินออกไปได้”