บทที่ 1234 จัดการเฉียวเปียว

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

ยังไม่ทันที่เสียงพูดของหลิงหยุนจะดังจบประโยคดีร่างของเขาที่ยังคงมีเพียงมือเปล่านั้น ก็ได้ไปยืนอยู่ตรงหน้าของเฉียวเปียวแล้ว!
  และทันทีที่ไปถึง..หลิงหยุนก็จัดการชกหมัดตรงเข้าใส่ใบหน้าของเฉียวเปียวอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็ใช้พลังจิตควบคุมกระบี่กังฉีให้พุ่งเข้าจู่โจมเฉียวเปียวจากด้านหลังด้วย วินาทีนั้นเป็นช่วงเวลาที่เฉียวเปียวเองก็ต้องสาละวนอยู่กับการป้องกันหมัดของหลิงหยุนที่พุ่งเข้ามาทางด้านหน้า..
  “ห๊ะ!”
  เฉียวเปียวถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตระหนกตกใจในขณะเดียวกันก็ต้องกัดฟันเหวี่ยงแขนซ้ายออกไปรับหมัดของหลิงหยุน ในขณะที่แขนขวาเหวี่ยงขวานด้ามใหญ่ไปทางด้านหลังของตนเอง..
  เคร้ง..  เสียงคล้ายโลหะกระทบกันดังขึ้นและขวานด้ามใหญ่ของเฉียวเปียวก็สามารถต้านกระบี่ฉีกังของหลิงหยุนไว้ได้อีกครั้ง..
  ในเวลาเดียวกันนั้น..พลังปราณที่พุ่งออกจากหมัดของหลิงหยุน ก็ได้กระแทกเข้ากับขวานใหญ่ในมือของเฉียวเปียวอย่างรุนแรงเช่นกัน และในจังหวะนั้นหลิงหยุนก็ได้โคจรดาราคุ้มกายในระดับสิบสี่ของตนปกป้องร่างกายไว้ด้วย จึงกล้าที่จะชกหมัดเข้ากับขวานที่แข็งแกร่งของเฉียวเปียวเช่นนั้น..
  “ห๊ะ!หมอนั่นเป็นบ้าไปแล้วหรือยังไง?!”
  โม่วู๋เตาที่นั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้อยู่ทางด้านหลังของหลิงหยุนนั้นถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นหลิงหยุนใช้กำปั้นชกเข้าใส่ขวานเหล็กที่แข็งแกร่ง และทรงพลังเช่นนั้น..
  ขวานด้ามใหญ่ที่เฉียวเปียวฟันใส่หลิงหยุนนั้นไม่เพียงทำจากโลหะที่แข็งแกร่ง แต่ยังมีพลังปราณที่รุนแรงแรงในระดับห้าขั้นพลังเหนือธรรมชาติพวยพุ่งออกมาด้วย จะมีผู้ใดบ้างที่บ้าดีเดือดจนกล้าใช้มือเปล่าปะทะเช่นนั้น เห็นจะมีก็เพียงแค่หลิงหยุนผู้เดียวเท่านั้น!
  ปัง!
  พลังปราณจากหมัดอันทรงพลังปะทะเข้ากับพลังปราณของคมขวานด้ามใหญ่อย่างรุนแรงจนเกิดเป็นพายุหมุนลูกใหญ่ขึ้นในทันที..
  ร่างของยอดฝีมือทั้งสิบเอ็ดคนที่นอนเรียงรายอยู่กับพื้นนั้นได้ถูกแรงลมของพายุหมุนซึ่งเกิดจากพลังปราณรุนแรงของทั้งสองฝ่าย พัดหอบเอาร่างให้ลอยเคว้งขึ้นไปกลางอากาศ บ้างก็ปลิวไปกระแทกกำแพง บ้างก็ปลิวกระแทกกันเอง จนเกิดเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทั้งขึ้นทั่วทั้งบริเวณอีกครั้ง!
  “อ๊าก!”
  เสียงกรีดร้องของเฉียวเปียวดังออกมาด้วยความเจ็บปวดเวลานี้มือซ้ายที่ถือขวานใหญ่นั้นได้มีเลือดไหลออกมา เฉียวเปียวก็รู้สึกปวดร้าวที่แขนซ้ายจนแทบอยากจะปล่อยขวานในมือทิ้งไป และร่างใหญ่ยักษ์ของเขาก็ได้ลอยละลิ่วถอยหลังออกไปทันที..
  ปัง!
  เสียงร่างใหญ่ยักษ์ของเฉียวเปียวกระแทกเข้ากับกำแพงภายในสวนอย่างแรงก่อนจะทะลุและลอยละลิ่วออกไปยังสวนชั้นที่เจ็ดจนแทบจะยืนทรงตัวไว้ไม่ได้..
  “หึ..ข้าควรจุถามเจ้ามากกว่าไปกินดีหมีดีมังกรมาจากที่ใด จึงได้กล้าบุกมาตระกูลหลิงเช่นนี้?!”
  น้ำเสียงเย็นชาของหลิงหยุนดังขึ้นอีกครั้ง..ในขณะเดียวกันนั้นก็ได้ใช้พลังจิตควบคุมกระบี่กังฉีให้บินกลับมาหาตนเอง แทนที่จะให้พุ่งตามร่างของเฉียวเปียวไป!
  การที่หลิงหยุนรวบรวมพลังทั้งหมดของตนส่งหมัดเข้าใส่ร่างของเฉียวเปียวนั้นก็เพื่อต้องการทดสอบพลังที่แท้จริงของตนเองในเวลานี้นั่นเอง..
  การประลองกับตระกูลซันและตระกูลเฉินในคืนนั้นถือเป็นการต่อสู้ที่รุนแรง และดุเดือดที่สุดของหลิงหยุนนับตั้งแต่เริ่มฝึกบ่มเพาะพลังบนโลกใบนี้มา เวลานี้เขาได้บ่มเพาะตนจนสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่ได้แล้ว อีกทั้งยังรู้สึกว่าพลังจิตของตนยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย..
  ไม่กี่วันมานี้หลิงหยุนเองก็เพิ่งจะดูดซับเอาปราณราชามังกรซึ่งเก็บสะสมไว้ในพระราชวังต้องห้ามมานานกว่าห้าร้อยปีเข้าไปมากมาย จนกระทั่งปราณราชามังกรจำนวนมากเหล่านั้นได้หลอมรวม และอัดแน่นกลายเป็นกระบี่จักรพรรดิมังกร..
  ในขณะที่ปราณราชามังกรที่เหลือก็ได้กระจายไปทั่วร่างกายของเขาเข้าไปช่วยเสริมสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ ผิวหนัง อวัยวะภายใน เส้นลมปราณ และจุดฝังเข็มทั่วร่าง แม้จะไม่สามารถทำให้ขั้นของเขาพัฒนาได้ในทันที แต่ก็ได้สร้างร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์ให้กับเขา..
  หลิงหยุนสัมผัสได้อย่างชัดเจนตั้งแต่วินาทีแรกว่า..หลังจากที่ได้รับปราณราชามังกรภายในพระราชวังต้องห้ามเข้าไปมากมายนั้น ร่างกายของเขาได้เปลี่ยนไปมาก และแข็งแกร่งขึ้นมากด้วย..
  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกผิวหนัง เนื้อ และเลือดของหลิงหยุนนั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด และเวลานี้ไม่เพียงกระดูกสันหลังของหลิงหยุนที่กลายเป็นสีทอง แม้แต่กระดูกส่วนมือของเขา ก็เริ่มกลายเป็นสีทองจางๆแล้วด้วยเช่นกัน
  หากเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของร่างกายหลิงหยุนเวลานี้กับเมื่อครั้งที่เขาได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นปรับร่างกาย-9 นั้น เวลานี้ร่างกายของหลิงหยุนนับว่าแข็งแกร่งกว่าครั้งนั้นอย่างน้อยถึงสองเท่าเลยทีเดียว!
  และนี่คือเหตุผลที่เมื่อตอนกลางวันหลิงหยุนกล้าใช้กระบี่ลมปราณกว่าร้อยเล่มทำการทดสอบหัวหน้าอาวุโสแห่งหน่วยนภา – โจวเหวินอิง!
  ไม่เพียงเท่านั้น..ก่อนหน้านี้หลิงหยุนก็เพิ่งจะดูดซับเอาพลังอมตะสีม่วงเข้าไปมากมาย ทำให้ร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าที่ควรจะเป็นอีก!
  และในระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่นั้นหนึ่งนาทีจะสามารถกลั่นเสินหยวนได้สามหยด เวลานี้หลิงหยุนจึงมีเสินหยวนอยู่กว่าหนึ่งหมื่นหยด เรียกได้ว่ากึ่งกลางหว่างคิ้วของเขาเวลานี้แทบจะกลายเป็นทะเลสาบเสินหยวนไปแล้ว..
  ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ทำให้ความสามารถในการาจู่โจมคู่ต้องสู้ และความสามารถในการป้องกันตัวเองของหลิงหยุนนั้น พุ่งขึ้นจนน่ากลัว!
  หลิงหยุนเองก็กำลังต้องการที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของตนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายนี้กับยอดฝีมือที่เก่งกาจสักคนและหลี่เจิ้งเฟิงกับเฉียวเปียวก็เข้ามาได้ในเวลาที่เหมาะเจาะยิ่งนัก!
  แต่หากจะพูดให้ถูกก็ต้องพูดว่า..ทั้งสองคนล้วนแล้วแต่แกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง!   นอกเหนือจากต้องการใช้อาวุโสแห่งหน่วยนภาทั้งสองคนทดสอบความแข็งแกร่งแล้วอีกไม่นานหลิงหยุนจะต้องเดินทางออกจากปักกิ่ง เพื่อไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธที่กำลังจะจัดขึ้น เขาจึงไม่ต้องการปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้เรื้อรัง จนกลายเป็นปัญหาให้กับตระกูลหลิง หลิงหยุนจึงได้ตัดสินใจที่จะสะสางให้จบสิ้นไปในคืนนี้!
  และอย่างน้อย..ก็เพื่อให้อีกหลายฝ่ายในปักกิ่งที่กำลังคิดจะบีบคั้น หรือหาเรื่องกับตระกูลหลิง ต้องหยุดชั่งใจ และประเมินตัวเองให้ดีเสียก่อน หรือไม่อย่างน้อยก็ต้องคำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาด้วย!
  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..ตระกูลหลงที่กำลังคิดจะเล่นงานตระกูลหลิงอยู่!
  จากการประมือกับเฉียวเปียวก่อนหน้านี้สองสามหมัดนั้นทำให้หลิงหยุนสามารถประเมินความแข็งแกร่งของเฉียวเปียวได้อย่างแม่นยำว่า ไม่น่าจะเกินกว่าระดับห้าขั้นพลังเหนือธรรมชาติ แต่ก็นับว่าแข็งแกร่งกว่าเฉินจิ้งเฉวียนเมื่อครั้งที่กลายร่างเป็นปีศาจ และในครั้งนั้นหลิงหยุนยังอยู่เพียงแค่ระดับเริ่มต้นขั้นซานฉางชี่ แต่ก็สามารถสังหารปีศาจเฉินจิ้งเฉวียนได้..
  แต่ในเวลานี้หลิงหยุนเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานเฉิงชี่แล้วมีหรือที่คนอย่างเฉียวเปียวจะสามารถต้านทานเขาได้!
  และผลก็ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน..หลิงหยุนใช้เพียงแค่หมัดชกเข้ากับขวานยักษ์ของเฉียวเปียว ร่างของเฉียวเปียวก็ถึงกับกระเด็นลอยละลิ่วทะลุกำแพงออกไป ในขณะที่หลิงหยุนนั้นไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน..
  แม้ในคืนนี้ศักยภาพและความแข็งแกร่งที่หลิงหยุนแสดงออกมานั้น จะเหนือความคาดหมายของผู้อื่นมาก แต่กลับไม่ได้เหนือความคาดหมายของหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย เขามั่นใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะสามารถควบคุมเหตุการณ์ในคืนนี้ได้..
  “เป็นไปไม่ได้!”
  หลังจากที่เฉียวเปียวยืนทรงตัวได้มั่นคงแล้วเขาก็หันไปมองทางด้านซ้ายมือของตนเอง และพบว่าคมของขวานขนาดใหญ่ในมือนั้น ได้ถูกพลังปราณจากหมัดของหลิงหยุนซัดเข้าอย่างรุนแรง จนกลายเป็นรอยหมัดปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน..
  จากข้อมูลลับที่เฉียวเปียวได้รับมาจากตระกูลหลิงนั้นความแข็งแกร่งของหลิงหยุนอยู่ในระดับสี่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติ แต่ตอนนี้กลับเห็นได้ชัดว่า ความแข็งแกร่งที่หลิงหยุนได้แสดงผ่านหมัดของเขานั้น น่าจะอยู่ในระดับหกขั้นพลังเหนือธรรมชาติเสียมากกว่า!
  “ฮ่า..ฮ่า..”
  หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาและได้แต่คิดในใจว่า ‘พวกเจ้าคิดว่าสายตาของโจวเหวินอี้ฝ้าฟางมากหรืออย่างไรกัน! จึงไม่เชื่อคำเตือนของเขา..’
  หลิงหยุนยกหมัดของตนเองขึ้นสำรวจและพบว่าเวลานี้ผิวหนังในบริเวณนั้นของตน ได้กลายเป็นสีทองจางๆ และดูเหมือนจะมีพลังอมตะสีม่วงเจืออยู่เล็กน้อยด้วย หลิงหยุนแสยะยิ้มออกมาพร้อมกับพูดเสียงเหี้ยม..
  “เฉียวเปียว..เจ้าอย่าเพิ่งคร่ำครวญไปนัก!”
  ระหว่างที่พูดออกไปนั้น..หลิงหยุนก็ได้ใช้วิชาเงาลวงตาไปปรากฏร่างขึ้นตรงหน้าเฉียวเปียวราวกับหายตัวได้ และซัดกำปั้นออกไปอีกสองหมัด!
  เวลานี้..เฉียวเปียวนับว่าหวาดกลัวหลิงหยุนขึ้นมาก และไม่ต้องการที่จะอยู่ประมือกับหลิงหยุนต่อไป เขากำลังมองหาหนทางที่จะหลบหนีออกจากตระกูลหลิง แต่มีหรือที่หลิงหยุนจะเปิดโอกาสให้เฉียวเปียวได้หนีไปง่ายๆ
  และเมื่อหมัดคู่ของหลิงหยุนพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วเช่นนั้นเฉียวเปียวจึงทำได้เพียงแค่ตั้งรับเท่านั้น..
  แต่ก็ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว..เพราะพลังปราณจากหมัดของหลิงหยุนนั้น ได้กระแทกเข้ากับหน้าอกของเฉียวเปียวอย่างแม่นยำ!   กร๊อบ..
  เสียงกระดูกหน้าอกของเฉียวเปียวแตกละเอียดทันทีหลังจากที่ถูกหมัดของหลิงหยุนกระแทกเข้าไปอย่างจัง!
  ไม่เพียงเท่านั้น..เฉียวเปียวยังกระอักเลือดออกมาทั้งทางปาก และทางจมูกพร้อมกันอีกด้วย สภาพของเฉียวเปียวเวลานี้ช่างน่าสมเพชเวทนายิ่งนัก
  ในบรรดาเหล่าสมาชิกกว่าร้อยคนของหน่วยนภานั้นทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือในขั้นพลังเหนือธรรมชาติขึ้นไปแล้วทั้งสิ้น แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะกล้าประลองกับเฉียวเปียวตัวต่อตัว..
  แต่ถึงกระนั้น..ก็ไม่มีสักคนที่กล้าประลองกับเฉียวเปียวด้วยมือเปล่าเช่นนี้มาก่อน!
  นั่นเพราะเฉียวเปียวเกิดมาพร้อมกับพลังที่แข็งแกร่งอีกทั้งยังฝึกฝนและมีการปรับสภาพร่างกายของตนมาตั้งแต่เด็ก ความถนัดของเฉียวเปียวในการต่อสู้ก็คือการเข้าประชิดตัวคู่ต่อสู้ จากนั้นจึงใช้พลังที่แข็งแกร่ง และร่างกายที่แข็งแรงของตนจู่โจมคู่ต่อสู้จนได้รับความพ่ายแพ้ไปในที่สุด..
  ด้วยเหตุนี้..เฉียวเปียวจึงไม่คิดไม่ฝันว่า จะมีผู้ใดกล้าต่อสู้กับตนด้วยมือเปล่าเช่นนี้ อีกทั้งยังสามารถเอาชนะเขาได้ด้วย ทำให้ความภาคภูมิใจทั้งหมดที่เคยมีได้มลายหายไปในทันที!
  และการที่กระดูกหน้าอกของเฉียวเปียวหักนั้นยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าหมัดของหลิงหยุนทรงพลังมากเพียงใด จึงได้สามารถทำลายพลังปราณอันแข็งแกร่งที่ปกป้องร่างกายของตนไว้ได้!
  เวลานี้เฉียวเปียวมีเพียงแค่ความตื่นตระหนกตกใจอย่างมากเท่านั้นเพราะไม่เพียงเลือดที่กำลังไหลทะลักออกจากจมูกและปากพร้อมๆกัน แต่ความเจ็บปวดได้เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างของเขา และความรู้สึกเช่นนี้ก็เป็นความรู้สึกที่เฉียวเปียวไม่เคยได้พานพบมานานหลายปีมากแล้ว..
  นอกเหนือจากความเจ็บปวดทั้งหมดก็คือความอัปยศอดสูที่เฉียวเปียวได้รับ!
  “อ๊าก..”
  เฉียวเปียวร้องตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดและความโกรธแค้น ในขณะที่ดวงตานั้นจ้องมองหลิงหยุนที่ยืนสงบนิ่งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ..
  หลิงหยุนทำเสียงเย้ยหยัน“หึ.. ฝีมือของเจ้ามีแค่นี้เองรึ!”
  ฟิ้ว..
  ในระหว่างที่พูดนั้น..หลิงหยุนก็ได้ใช้พลังจิตควบคุมกระบี่กังฉีให้พุ่งเข้าใส่ร่างของเฉียวเปียวอย่างรวดเร็ว..
  ในระหว่างที่ร่างใหญ่ของเฉียวเปียวกำลังพยายามยืดตัวขึ้นตรงอย่างช้าๆนั้นผู้คนที่ยืนดูการต่อสู้ของคนทั้งคู่อยู่ ต่างก็กำลังลุ้นระทึกกับกระบี่กังฉีที่พุ่งเข้าใส่ร่างของเฉียวเปียว ราวกับว่าตนเองคือผู้ที่กำลังรับกระบี่เล่มนั้นเสียเอง..
  เฉียวเปียวรับรู้ถึงความคมของกระบี่กังฉีได้ดีเขาจึงกัดฟันพร้อมกับเหวี่ยงขวานด้ามยักษ์ในมือซ้ายตรงเข้าใส่กระบี่กังฉีที่กำลังพุ่งเข้ามาทันที..
  ในขณะเดียวกันนั้นก็รีบรวบรวมลมปราณทั้งหมดในร่างกายขึ้นมาครอบคลุมทั่วทั้งร่างของตนไว้แล้วจึงลุกขึ้นยืนตรง และเตรียมที่จะกระโดดถอยหลังหลบให้เร็วที่สุด..
  แต่ถึงกระนั้นกระบี่กังฉีของหลิงหยุนก็เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วมากและขวานยักษ์ในมือของเฉียวเปียวก็ฟันเข้าใส่กระบี่กังฉีของหลิงหยุนจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวอีกครั้ง!
  ความยอดเยี่ยมของกระบี่กังฉีนั้นไม่ได้อาศัยพละกำลังในการเอาชนะ แต่เป็นการอาศัยความรวดเร็วในการเคลื่อนที่ ความยืดหยุ่น และความคมของกระบี่ในการเอาชนะคู่ต่อสู้..
  แต่ถึงกระนั้น..หลิงหยุนก็ไม่คิดว่าตนจะสามารถใช้กระบี่กังฉีทำร้ายเฉียวเปียวให้บาดเจ็บได้ แต่มันคือการหลอกล่อเท่านั้น..   “เตรียมตัวตายได้แล้ว!”
  ในระหว่างที่เฉียวเปียวรับมืออยู่กับกระบี่กังฉีนั้นกระบี่ยาวสีดำก็ปรากฏขึ้นในมือของหลิงหยุนทันที แล้วร่างของเขาก็พุ่งขึ้นไปกลางอากาศตรงเข้าหาเฉียวเปียวอย่างรวดเร็ว!
  กระบี่สีดำถูกกวัดแกว่งอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นม่านสีดำครอบคลุมร่างของเฉียวเปียวไว้เฉียวเปียวรับรู้ได้ถึงอันตราย และหนทางเดียวที่ทำได้คือรีบยกขวานคู่ในมือทั้งสองข้างขึ้นต้านกระบี่โลหิตแดนใต้ของหลิงหยุนไว้ทันที!
  แต่ภาพที่ทุกคนเห็นพร้อมๆกันก็คือกระบี่โลหิตแดนใต้ของหลิงหยุนนั้น ฟันขวานด้ามใหญ่ของเฉียวเปียวขาดราวกับตัดเต้าหู้ จากนั้นปลายกระบี่ก็พุ่งเข้าฟันใส่หน้าอกของเฉียวเปียวทันที..
  “อ๊าก!”
  เฉียวเปียวกรีดร้องออกมาหลังจากที่ขวานด้ามใหญ่ถูกฟันขาดและรู้สึกเย็นวาบขึ้นที่หน้าอก..
  กระบี่ของหลิงหยุนฟันเข้าไปในร่างของเฉียวเปียวครึ่งหนึ่งแล้วเมื่อเห็นว่าขวานในมือไม่สามารถต้านทานไว้ได้แล้ว เฉียวเปียวจึงรีบงอตัวกระโดดถอยหลังออกไปก่อนที่จะเสียชีวิต
  แต่ถึงกระนั้น..กระบี่ของหลิงหยุนก็ได้ฟันเข้าใส่ร่างของเฉียวเปียวตั้งแต่หัวไหล่ไปจนถึงซี่โครงแล้ว และเวลานี้เลือดสดๆ ก็กำลังไหลท่วมตัวของเขา!
  ร่างใหญ่โตของเฉียวเปียวที่กระโดดถอยออกมานั้นได้กระแทกลงกับพื้นอย่างแรง และเลือดสีแดงก็ไหลท่วมพื้นทันที..
  “อ๊าก!”
  เฉียวเปียวกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเขากัดฟันหยิบโอสถสีทองออกมาจากถุงผ้าพร้อมกับยันต์อีกสองสามแผ่น จากนั้นจึงปิดยันต์ลงบนหน้าอก แล้วบาดแผลของเขาก็ค่อยๆดีขึ้น..