หลังจากที่ถูกหลิงหยุนทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เฉียวเปียวสูญสิ้นความกล้า เหลือเพียงแค่ความหวาดกลัวที่มีต่อหลิงหยุน และอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!
‘อ่อ..นี่เป็นการรักษาชีวิตของเหล่าอาวุโสในหน่วยนภาหรอกรึ!’
หลิงหยุนยืนมองเฉียวเปียวที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองด้วยแววตาเฉยชา..
ความจริงหลิงหยุนไม่ได้ต้องการที่จะเอาชีวิตของเฉียวเปียวหรือโหยหาชัยชนะแต่อย่างใด ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ต้องควบคุมกระบี่ฉีกังเข้าใส่เฉียวเปียวมากมายหลายครั้งถึงเพียงนี้ และคงสามารถสังหารเฉียวเปียวไปได้ตั้งนานแล้ว..
“เฉียวเปียว..ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
“แต่หากเจ้ายังกล้าลงมืออีกครั้งข้าจะสังหารเจ้าทิ้งทันที!” เฉียวเปียวนั่งนิ่งเมื่อได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนและได้แต่หันไปมองหลี่เจิ้งเฟิงตาปริบๆ เพราะหลังจากที่หลิงหยุนบอกเฉียวเปียวแล้ว เขาก็กระโดดเข้าไปหาหลี่เจิ้งเฟิงที่กำลังรับมือกับกระบี่ธาราทั้งสิบสองเล่มของหนิงหลิงยู่ และกระบี่เหินเงาธนูของเขาทันที..
หลี่เจิ้งเฟิงนั้นเหนือกว่าเฉียวเปียว..เวลานี้เขาได้เข้าสู่ระดับหกขั้นพลังเหนือธรรมชาติแล้ว..
ครั้งนี้หนิงหลิงยู่ไม่เชื่อฟังหลิงหยุน..อาจเป็นเพราะนางเพิ่งเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ จึงมีความมั่นอกมั่นใจในตนเองมาก หรืออาจเพราะต้องการอาศัยโอกาสนี้ฝึกฝนตนเอง เมื่อได้ลงมือต่อสู้กับหลี่เจิ้งเฟิงแล้ว จึงไม่ยอมหยุดตามที่หลิงหยุนสั่ง!
เวลานี้หนิงหลิงยู่เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นขั้นซื่อเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-4) แล้ว จิตหยั่งรู้จึงมีรัศมีครอบคลุมถึงสี่พันเมตร และพลังจิตของนางก็แข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าหลิงหยุนเลย ที่แตกต่างกันก็มีเพียงแค่ประสบการณ์ในการต่อสู้จริงเท่านั้น ทำให้ความสามารถในการควบคุมพลังจิตด้อยกว่าหลิงหยุน..
แต่ถึงกระนั้น..กระบี่ธาราทั้งสิบสองเล่มของหนิงหลิงยู่ ก็ได้สร้างความกดดันให้กับหลี่เจิ้งเฟิงไม่น้อย เพราะร่างกายของเขานั้นไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเฉียวเปียว และหากพลังปราณที่ปกคลุมร่างกายของหลี่เจิ้งเฟิงสลายไป เขาจะถูกกระบี่ธาราของหนิงหลิงยู่แทงเข้าทันที!
นอกจากนั้นยังมีกระบี่เหินเงาธนูของหลิงหยุนด้วยเวลานี้กระบี่เหินเงาธนูของหลิงหยุนยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวหลี่เจิ้งเฟิง เมื่อใดก็ตามที่เขาประมาท กระบี่เหินเงาธนูของหลิงหยุนก็จะพุ่งตรงเข้าใส่ร่างของเขาได้ทันทีเช่นกัน!
ในเมื่อหลี่เจิ้งเฟิงเองก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้มีหรือที่เขาจะสามารถช่วยเหลืออะไรเฉียวเปียวก่อนหน้านี้ได้!
หลี่เจิ้งเฟิงรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นหลิงหยุนเปลี่ยนเป้าหมายมาหาตนเอง! หลิงหยุนหันไปยิ้มให้กับหลี่เจิ้งเฟิงพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เอาล่ะ.. ถึงคราวของเจ้าแล้ว!”
ระหว่างที่พูดนั้น..กระบี่เหินเงาธนูของหลิงหยุนก็เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสองเท่า!
และนั่นทำให้หลี่เจิ้งเฟิงยิ่งกดดันมากขึ้นเวลานี้หน้าผากของหลี่เจิ้งเฟิงมีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มไปหมด เพราะเวลานี้กระบี่เหินเงาธนูพุ่งเข้าจู่โจมใส่ร่างของเขาไม่หยุดเช่นกัน..
หลิงหยุนและหนิงหลิงยู่ร่วมมือกันอย่างสบายๆ ไม่รีบร้อน ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็พูดกับหลี่เจิ้งเฟิงว่า
“เจ้าโอหังมากที่กล้าบุกมาตระกูลหลิงเช่นนี้!”
จากนั้นจึงหันไปบอกหนิงหลิงยู่ว่า“บางครั้งกระบี่เพียงเล่มเดียว ก็อาจจะแข็งแกร่งกว่ากระบี่สิบสองเล่มไม่ใช่รึ!”
หลี่เจิ้งเฟิงยังไม่ทันได้มีโอกาสหายใจหนิงหลิงยู่ก็ควบคุมกระบี่ธาราทั้งสิบสองเล่มให้ผนึกรวมกันเป็นกระบี่ธาราเล่มใหญ่ และพุ่งทะลวงเข้าใส่เกราะป้องกันของหลี่เจิ้งเฟิงทันที!
ในที่สุด..กระบี่ธาราเล่มใหญ่ของหนิงหลิงยู่ก็สามารถทะลุเข้าไปในเกราะป้องกันหลี่เจิ้งเฟิงได้สำเร็จ และนั่นเป็นการบ่งบอกว่าหนิงหลิงยู่สามารถเข้าใจในคำพูดของหลิงหยุนเมื่อครู่ได้ทันที..
หลี่เจิ้งเฟิงรีบซัดฝ่ามือเข้าใส่กระบี่ธาราเล่มใหญ่ของหนิงหลิงยู่จนกระบี่ธาราสั่นสะท้านอย่างรุนแรง!
ใบหน้างดงามแต่เย็นชาของหนิงหลิงยู่นั้นย่นเข้าหากันเล็กน้อยจากนั้นจึงยกนิ้วมือสองนิ้วขึ้นบังคับกระบี่ธาราเล่มใหญ่ให้ถอยกลับมา แล้วพุ่งกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง..
หลี่เจิ้งเฟิงรีบกระโดดถอยหลังหลบไปแม้เขาจะสัมผัสได้ว่ากระบี่เหินเงาธนูของหลิงหยุนนั้นจะลดความรุนแรงลง แต่ก็ยังคงหาโอกาสที่จะจู่โจมตนเอง ทำให้หลี่เจิ้งเฟิงไม่มีโอกาสที่จะลงมือกับหนิงหลิงยู่ได้เต็มที่นัก ที่หลิงหยุนทำเช่นนี้ก็เพื่อให้หนิงหลิงยู่ได้มีโอกาสฝึกฝนการต่อสู้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง และประสบการณ์ให้กับตนเอง อีกทั้งเวลานี้หน่วยนภาก็เหลือหลี่เจิ้งเฟิงเพียงคนเดียวเท่านั้น ถึงอย่างไรตระกูลหลิงก็ย่อมเป็นฝ่ายชนะ เพียงแต่จะช้าหน่อยเท่านั้น..
แต่หลี่เจิ้งเฟิงซึ่งเป็นถึงอาวุโสในหน่วยนภาผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาแล้วมากมาย อีกทั้งยังอยู่ในขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับหกแล้ว จึงค่อนข้างได้เปรียบหนิงหลิงยู่มาก
หลังจากที่ประมือกับหลี่เจิ้งเฟิงอยู่ครู่ใหญ่หนิงหลิงยู่ก็เริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้าเช่นกัน..
“เอาล่ะ..หมดเวลาแล้ว!”
หลิงหยุนร้องตะโกนบอกพร้อมกับใช้พลังจิตควบคุมกระบี่เหินเงาธนูให้พุ่งเข้าจู่โจมหลี่เจิ้งเฟิงอย่างรุนแรง และรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็ควบคุมกระบี่กังฉีให้จู่โจมเข้าใส่ร่างของเขาพร้อมกันด้วย! “โอ๊ะ!”
หลี่เจิ้งเฟิงร้องอุทานออกมาเมื่อพบว่ากระบี่กังฉีของหลิงหยุนเกือบจะพุ่งโดนร่างของตน แต่ในที่สุดก็สามารถหลบได้อย่างหวุดหวิด เพราะมัวแต่ระวังกระบี่ธาราเล่มใหญ่ และกระบี่เหินเงาธนู
หลังจากกระโดดถอยหลังหลบไปได้หลี่เจิ้งเฟิงจึงร้องตะโกนออกมาว่า “หลิงหยุน.. เจ้าหยุดก่อน! ข้ายอมพาคนของหน่วยนภากลับแล้ว!”
หลังจากที่ใคร่ครวญดีแล้วว่าหากยังฝืนต่อสู้ต่อไป จุดจบของตนเองคงไม่ต่างจากเฉียวเปียวแน่ จึงรีบร้องตะโกนบอกหลิงหยุนไปเช่นนั้น
“เสียใจด้วย!”
“ตระกูลหลิงของข้าไม่ใช่สถานที่ที่พวกเจ้าจะมาเดินเพ่นพ่านเล่นได้คิดอยากจะมาก็มา คิดอยากจะกลับก็กลับอย่างนั้นรึ!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูดของหลิงหยุนด้วยซ้ำไปร่างของเขาก็ไปปรากฏตรงหน้าของหลี่เจิ้งเฟิงแล้ว..
ตูม!
เสียงหมัดของหลิงหยุนกระทบเข้ากับพลังปราณที่ปกคลุมร่างของหลี่เจิ้งเฟิงจนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบริเวณ และเพียงแค่หมัดเดียวของหลิงหยุน พลังปราณที่ปกคลุมร่างของหลี่เจิ้งเฟิงก็ถึงกับแตกสลายทันที!
ปัง!
หลิงหยุนเดินตรงเข้าหาหลี่เจิ้งเฟิงด้วยท่าทีไม่รีบร้อนจากนั้นจึงชกหมัดตรงเข้าใส่ที่หน้าอกของหลี่เจิ้งเฟิงอีกหนึ่งหมัดทันที!
เนื่องจากร่างกายของหลี่เจิ้งเฟิงนั้นหากไม่มีพลังปราณปกป้องไว้ย่อมแข็งแกร่งน้อยกว่าร่างกายของเฉียวเปียว จึงถึงกับกระดูกหน้าอกแตก ร่างลอยละลิ่วออกไปไกล พร้อมกับกระอักเลือดออกมาทันที..
ปัง!
ร่างของหลี่เจิ้งเฟิงลอยละลิ่วออกไปกระแทกกับกำแพงบ้านก่อนจะทะลุออกไปยังสวนชั้นที่เจ็ดของตระกูลหลิง..
เป็นหรือตายไม่อาจรู้ได้เพราะเวลานี้หลี่เจิ้งเฟิงถึงกับหมดสติไปในทันที!
…..
คืนนี้สมาชิกของหน่วยนภาทั้งสิบสี่คนและสองในนั้นเป็นถึงสมาชิกอาวุโสของหน่วยนภา ล้วนถูกหลิงหยุนจัดการจนลงไปนอนกองอยู่กับพื้นกันหมด..
แต่จะเรียกว่านอนกองกับพื้นทั้งหมดก็ไม่ถูกนักเพราะเวลานี้เฉียวเปียวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนหน้านี้ ได้ใช้ยันต์รักษาอาการบาดเจ็บจากการถูกแทง และชกเข้าที่หน้าอกจนเริ่มดีขึ้นแล้ว และได้มีเวลาเดินลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บภายในจนทุเลาลงบ้าง จึงเป็นผู้เดียวในเวลานี้ที่สามารถลุกขึ้นนั่งได้..
แต่เมื่อเห็นสายตาของหลิงหยุนที่เหลือบมองมานั้นเฉียวเปียวก็รีบล้มตัวลงนอนกับพื้นดังเดิมทันที! เพราะหลังจากที่ได้ประมือกับหลิงหยุนนั้นเฉียวเปียวก็มีอาการหวาดกลัวหลิงหยุนเป็นอย่างมาก..
มาถึงตอนนี้เฉียวเปียวเพิ่งจะรู้ว่า..คำพูดของโจวเหวินอี้เมื่อตอนกลางวันที่แนะนำเขาว่าทางที่ดีเขาอย่าได้ไปตระกูลหลิงเลยนั้น แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของหน่วยนภา และไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตระกูลหลิงเลย แต่เพื่อประโยชน์ของตัวเขาเองต่างหาก!
“เจ้าเด็กนี่..”หลิงลี่ถึงกับพึมพำออกมาด้วยความตกใจ!
เพราะก่อนที่หลิงหยุนจะมาถึงนั้น..หลิงลี่ยังแอบกังวลใจว่า คืนนี้คงจะต้องเป็นคืนการต่อสู้ที่หนักหน่วงของตระกูลหลิงอีกครั้งแน่!
แต่ใช่ว่าหลิงลี่จะหวาดกลัวคนเหล่านี้เขาพร้อมที่จะต่อสู้.. เพียงแต่อีกฝ่ายมียอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติถึงสิบสี่คน อีกทั้งสองในนั้นยังเป็นถึงระดับอาวุโสของหน่วยนภา หากปะทะกันขึ้นจริงๆ ตระกูลหลิงย่อมต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้นแน่.. หากไม่นับหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่แล้วตระกูลหลิงก็มียอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติเพียงแค่สามคนเท่านั้นคือหลิงลี่ หลิงเสี่ยว และจินเหยียว..
สามต่อสิบสี่..มีหรือที่จะสามารถรับมือได้!
ด้วยเหตุนี้..ในระหว่างทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันอยู่นั้น หลิงลี่จึงได้แอบสั่งคนตระกูลหลิงให้เตรียมไพ่ในมือของตนเองทั้งหมดออกมาเตรียมพร้อมไว้ ไม่ว่าจะเป็นยันต์ หรือว่าโอสถชนิดต่างๆที่หลิงหยุนได้เคยมอบให้
แต่หากต่อสู้อย่างเต็มที่แล้วยังไม่สามารถสู้ได้ทุกคนก็จะเข้าไปยังสวนชั้นที่เก้า จากนั้นหลิงลี่จะได้ทำการเปิดค่ายกลวราหก และค่ายกลนวสังหารทันที!
มาถึงตอนนี้..หลิงลี่เพิ่งจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงต้องวางค่ายกลไว้ภายในตระกูลหลิงเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วอาจเกิดเหตุการณ์เหมือนเมื่อครั้งที่ตระกูลเฉินส่งคนมาบุกตระกูลหลิงเมื่อหลายเดือนก่อน..
หลิงลี่คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะกลับมาเร็วเช่นนี้และสามารถจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้!
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
จู่ๆโม่วู๋เตาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขากระโดดเข้าไปยืนข้างหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านพี่หยุน.. เจ้าจะจัดการกับขยะพวกนี้ยังไงต่อดี”
หลิงหยุนเข้าใจดีว่าเหตุใดโม่วู๋เตาจึงเรียกเขาว่า‘ท่านพี่หยุน’ เพราะนั่นเป็นการแสดงความชื่นชมในแบบของโม่วู๋เตา..
“จัดการเก็บกวาดก่อน!”หลิงหยุนตอบเสียงเรียบ
ความจริงแล้วหลิงหยุนมั่นใจตั้งแต่แรกแล้วว่าตนเองจะสามารถเอาชนะยอดฝีมือจากหน่วยนภาทั้งหมดได้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะรวดเร็ว และง่ายดายเช่นนี้!
เพราะอีกฝ่ายนั้นหนึ่งในสองอยู่ในระดับห้าและหกของขั้นพลังเหนือธรรมชาติ อีกทั้งยังไม่ได้ใช้ยันต์ หรือโอสถชนิดใดๆเลยแม้แต่น้อย..
เพียงแค่กระบี่เหินกระบี่กังฉี และหมัดของเขา ก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งหมดได้แล้ว!
‘ไม่ใช่ว่าศัตรูอ่อนแอ..แต่เป็นเพราะข้าแข็งแกร่งมากเกินไปต่างหาก!’
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดอยู่ในใจ..เพราะเวลานี้เขามั่นใจแล้วว่าพลังจิต และความแข็งแกร่งของตนเองเวลานี้นั้น เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมากถึงสามเท่า!
‘ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ!’
หลิงหยุนรำพึงรำพันอยู่ในใจและยิ้มออกมาด้วยความสุขใจ แต่แล้วจู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นกลางจุดซือไห่ของเขา
“พ่อหนุ่ม..อย่าได้ดีอกดีใจไป เจ้ายังห่างไกลนัก!”
และจะเป็นเสียงของผู้ใดไปไม่ได้นอกจากดวงจิตในพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์..
“ไม่อยากจะเชื่องั้นรึ!”
“เหตุใดเจ้าจึงประหลาดใจนัก..เจ้าลืมแล้วรึว่าผู้ใดอยู่กลางจุดซือไห่ของเจ้า และผู้ใดอยู่ในจุดตันเถียนของเจ้า!”
“ไม่ใช่ข้ากับตาเฒ่าหรอกรึเจ้าจึงได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้!”
“ฮ่า..ฮ่า.. ขอบคุณอาวุโสทั้งสองยิ่งนัก!”
หลิงหยุนเอ่ยขอบคุณพู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิด้วยความซาบซึ้งใจ และทั้งสองก็สื่อสารกันผ่านทางพลังจิต..
หลิงหยุนเชื่อว่าพลังอมตะสีม่วงในร่างกายของเขานั้นจะช่วยให้เข้าข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์รูปแบบต่างๆที่จะต้องเผชิญในวันข้างหน้าได้..
เพราะเวลานี้..หลิงหยุนได้เห็นแล้วว่าหมัดทั้งสองข้างของเขานั้น เวลานี้กระดูกที่อยู่ใต้ผิวหนังได้กลายเป็นสีทองจางๆแล้ว และตามกระดูกข้อต่อต่างๆ ก็เริ่มมีประกายสีม่วง และนั่นทำให้หมัดของเขามีพลังอย่างน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้!
ไม่เพียงแค่หมัดเท่านั้น..แต่ไม่ว่าจะเป็นจุดตันเถียน เส้นลมปราณ อวัยวะภายใน กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นลมปราณ หรือแม้แต่จุดฝังเข็มต่างๆ ก็เริ่มปกคลุมไปด้วยพลังอมตะสีม่วงแล้ว จึงไม่แปลกที่คืนนี้พลังในการต่อสู้ของหลิงหยุนนั้นรุนแรงจนน่ากลัว..
แต่นั่นเป็นพลังอมตะสีม่วงเพียงส่วนน้อยเท่านั้นเพราะส่วนใหญ่เกือบเก้าเปอร์เซ็นต์เวลานี้ ได้หมุนเวียนอยู่ในจุดตันเถียนของหลิงหยุน และตอนนี้พลังอมตะสีม่วง และพลังอมตะสีทองก็ได้เปล่งประกายม่วงทองอย่างสวยงามอยู่ด้านใน..
หลิงหยุนยังสังเกตเห็นว่า..เวลานี้พลังอมตะสีม่วงนั้นได้เริ่มที่จะไหลเวียนออกจากจุดตันเถียนไปตามเส้นลมปราณ เข้าจุดซือไห่กลางหว่างคิ้วของเขา ทำให้ความเร็วในการกลั่นหยดเสินหยวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว.. “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า!เจ้าคือผู้ที่ต้องรับทัณฑ์สวรรค์ เช่นนั้นแล้วเป็นหน้าที่ของเจ้าที่จะต้องเร่งฝึกฝนบ่มเพาะตนให้แข็งแกร่งยิ่งๆขึ้นไปให้ได้โดยเร็วที่สุด!”
หลังจากที่เอ่ยประโยคนี้ออกมาพู่กันจักรพรรดิจึงนิ่งเงียบไป และหยุดการสื่อสารกับหลิงหยุนทันที..
หลิงหยุนเริ่มนึกถึงคำบอกเล่าโบร่ำโบราณที่ได้ฟังมาและอยากจะถามว่าเขาคือ ‘คนผู้นั้น’ ตามคำบอกเล่าหรือไม่ และยังมีคำถามอีกมากมายที่ต้องการถาม แต่เมื่อคิดได้ว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม หลิงหยุนจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบไป..
หลังจากที่โม่วู๋เตาจัดการยึดอาวุธทั้งหมดของสมาชิกหน่วยนภามาแล้วก็ได้ลากร่างของพวกเขาไปกองรวมกัน และกำลังนอนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดอยู่..
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่ส่ายหัวพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เก็บกวาดของข้าหมายถึงค้นตัวทุกคน เพื่อดูว่ามีโอสถ หรือว่ายันต์บ้างหรือไม่! ถ้ามีก็ยึดขึ้นมา..”
หลิงหยุนจ้องมองโม่วู๋เตาด้วยสายตาเหยียดหยันพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่เจ้าอยู่กับข้ามาตั้งนาน ยังไม่รู้จักนิสัยของข้าอีกงั้นรึ!”
“เข้าใจแล้วพี่หยุน!”
โม่วู๋เตาร้องตอบด้วยด้วยแววตาเป็นประกาย..จากนั้นไม่เพียงโม่วู๋เตา แม้แต่หลิงเฟิง หลิงเลี่วย และคนอื่นๆ ต่างก็พากันไปช่วยค้นตัวสมาชิกของหน่วยนภา
“นี่ล่ะ..จึงจะเรียกว่าเก็บกวาดสนามรบอย่างแท้จริง!”
ส่วนหลิงหยุนนั้นเดินยิ้มและตรงเข้าไปหาเฉียวเปียว..