หลังจากที่เฉียวเปียวพ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุนแล้วเขาก็เอาแต่นอนหลับตานิ่ง และไม่ยอมลืมตาอีกเลย สาเหตุนั้นก็มาจากความรู้สึกอับอายไม่กล้าสู้หน้า และความหวาดกลัวที่มีต่อหลิงหยุนนั่นเอง..
แต่ถึงแม้เฉียวเปียวจะหลับตานิ่งแต่จิตหยั่งรู้ของเขาก็ยังคงเปิดอยู่ และเมื่อสังเกตเห็นว่าหลิงหยุนกำลังเดินตรงมาหาตนเอง เฉียวเปียวถึงกับใจสั่นขึ้นมาทันที และเลือดในกายเริ่มพุ่งพล่าน..
เมื่อหลิงหยุนเดินมาถึงเขาก็ก้มลงมองเฉียวเปียวพร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าหมีเฒ่า”
‘เจ้าบ้าเอ๊ย..!’
เฉียวเปียวได้แต่นึกสบถอยู่ในใจและแทบอยากจะร้องไห้ออกมา เพราะในหน่วยนภานั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่พบเห็นตน ก็ต้องแสดงออกอย่างมีมารยาท อีกทั้งยังต้องเรียกตนว่าอาวุโสด้วย!
แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นเจ้าหมีเฒ่าไปแล้ว!
“นี่!”
หลิงหยุนเห็นเฉียวเปียวยังแสร้งทำเป็นนิ่งเงียบและไม่ยอมลืมตาขึ้นมาคุยกับตนเอง จึงใช้เท้าเตะไปที่แขนของเฉียวเปียวพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
“เจ้าหมีเฒ่า..ลุกขึ้น! หยุดแสร้งทำเป็นตายได้แล้ว..”
เฉียวเปียวหมดหนทางจะหลีกเลี่ยงอีกต่อไปจึงได้แต่ลืมตาขึ้นพร้อมกับหันใบหน้าที่แดงก่ำของตนเองไปทางหลิงหยุน แล้วถามขึ้นด้วยความรู้สึกอับอาย และอดสูยิ่งนัก
“หลิงหยุน..อย่าได้เหยียดหยันผู้อื่นนัก! เราต่างก็เป็นคนเหมือนกัน อีกทั้งพวกเราหน่วยนภาต่างก็ยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว เจ้ายังต้องการอะไรอีก”
ใบหน้าของเฉียวเปียวนั้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดและเวลานี้ก็ไม่เหลือร่องรอยของความอวดดีอวดเก่งอีกเลยแม้แต่น้อย..
เมื่อเดินชนหลังคา..สิ่งที่ควรทำคือต้องก้มศรีษะของตนลง เพื่อให้สามารถเดินไปข้างหน้าต่อไปได้..
“ข้ายังต้องการอะไรอีกงั้นรึ!”
หลิงหยุนแสร้งทำเสียงตกใจอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเฉียวเปียวไม่รู้และพูดต่อว่า “พวกเจ้าเป็นฝ่ายบุกมาหาเรื่องข้าถึงที่บ้าน ยังมีหน้ามาถามว่าข้าต้องการอะไรอีกงั้นรึ!”
หลิงหยุนเขยิบเข้าไปใกล้เฉียวเปียวอีกหนึ่งก้าวและเวลานี้เท้าของหลิงหยุนก็อยู่ต่ำกว่าใบหน้าของเฉียวเปียวลงมาเพียงแค่ยี่สิบเซ็นติเมตรเท่านั้น..
หลิงหยุนก้มหน้าลงและสายตาของคนทั้งคู่ก็สบกันเข้าพอดี..
เฉียวเปียวไม่สามารถทนมองสายตาของหลิงหยุนได้อีกต่อไปจึงได้แต่เมินหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อซ่อนความโกรธในใจ หลิงหยุนค่อยๆย่อตัวหลังแล้วจึงยื่นมือออกไปตบที่ใบหน้าของเฉียวเปียวหนึ่งฉาด และที่ศรีษะอีกหนึ่งฉาด จากนั้นจึงร้องสั่งเสียงเข้ม
“ข้ายังพูดไม่จบใครใช้ให้เจ้าหันหน้าหนีเช่นนั้น รู้สึกอับอายขึ้นมางั้นรึ”
เฉียวเปียวหมดความอดทนจึงได้แต่ถุยน้ำลายออกมา พร้อมกับร้องตะโกนใส่หน้าหลิงหยุนว่า “ถุย.. นักรบเฆ่าได้ แต่หยามไม่ได้!”
“โอ้..ไม่ต้องกังวลใจไป!”
หลิงหยุนหันหน้าหลบน้ำลายของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “เจ้าหมีเฒ่า.. ข้าไม่ได้มีเจตนาจะเหยียดหยามเจ้า แต่เจ้าหันหน้าหนีไปเช่นนั้น ทั้งที่พวกเรายังเจรจากันไม่จบ กิริยาของเจ้าจึงนับว่าไร้มารยาทเช่นกันไม่ใช่รึ”
“และหากเจ้าหันหน้าหนีไปเช่นนั้นพวกเราจะเจรจาสื่อสารกันได้อย่างไรเล่า การเจรจากันที่ถูกต้องนั้น ทั้งสองฝ่ายควรต้องมีการสื่อสารผ่านทางสายตา มารยาทขั้นพื้นฐานเช่นนี้เจ้ายังไม่รู้อีกรึ?!”
ห่างจากทั้งสองคนไปไม่ไกลนัก..เหล่าสมาชิกตระกูลหลิงต่างก็ยืนดูเหตุการณ์ และทุกคนล้วนก็แล้วแต่กำลังอ้าปากค้าง เพราะหลิงหยุนไม่เพียงสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนในระหว่างการต่อสู้ แต่เวลานี้ยังมีวิธีสร้างความอัปยศให้กับอีกฝ่ายได้อย่างน่าเหลือเชื่อ!
หลิงลี่ที่ยืนดูอยู่นั้นถึงกับเป่าลมออกจากปากด้วยความรู้สึกหลายอย่างและไม่สามารถทนดูต่อไปได้อีก จึงรีบหันหน้าหนีไปทางอื่นทันที..
ส่วนหลิงเสี่ยวนั้นถึงกับแสร้งยกมือขึ้นลูบหน้าผากตนเองและไม่กล้าที่จะมองสิ่งที่ลูกชายสุดที่รักของตนทำแบบตรงๆ
แต่ดูเหมือนเพื่อนๆของหลิงหยุนที่มาจากจิงฉูนั้นไม่ว่าจะเป็นโม่วู๋เตา หรือว่าตี้เสี่ยวอู๋ ต่างก็ดูเหมือนไม่ประหลาดใจ และตกใจกับการกระทำของหลิงหยุน ทั้งคู่ยืนจ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความสนอกสนใจ..
ในขณะที่เหล่าสมาชิกของหน่วยนภานั้นไม่ว่าจะเป็นหลี่เจิ้งเฟิง หรือคนอื่นๆที่เพิ่งรู้สึกตัว ทันทีที่ได้เห็นภาพของเฉียวเปียว ทุกคนต่างก็แทบอยากจะเป็นลมหมดสติไปอีกครั้ง..
ความอับอายและความอัปยศที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ได้สร้างความเสื่อมเสียไปถึงตระกูลของตนเองเลยทีเดียว แต่เฉียวเปียวก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมาอย่างเจ็บปวด และเสียใจเท่านั้น เพราะเขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรไปได้มากกว่านี้..
เฉียวเปียวรู้ว่าความพ่ายแพ้และความอับอายที่หลิงหยุนสร้างให้กับตนเองในคืนนี้ จะกลายเป็นปีศาจหลอกหลอนตัวเขาเองไปตลอดชีวิต และเส้นทางบ่มเพาะพลังของตน ก็คงต้องสิ้นสุดอยู่เพียงเท่านี้ หรืออย่างดีที่สุดก็คงอยู่เพียงแค่ระดับหกขั้นพลังเหนือธรรมชาติเท่านั้น..
เฉียวเปียวได้แต่ใช้จิตหยั่งรู้ของตนสำรวจดูหลี่เจิ้งเฟิงซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนักและพบว่าหลี่เจิ้งเฟิงนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เฉียวเปียวกลับนึกอิจฉา และหากเป็นไปได้เขาอยากจะเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเองสียมากกว่า
“เจ้ามีอะไรอยากจะพูดก็พูดมา..”
ในที่สุดเฉียวเปียวก็หันไปมองหน้าหลิงหยุนผู้กุมชัยชนะเขาอยากรีบๆ เจรจาให้จบๆ และออกไปจากบ้านตระกูลหลิงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และได้แต่ตั้งปฏิญาณว่าตลอดชีวิตที่เหลือของตน จะไม่มาเหยียบถนนเส้นนี้อีก!
“อืมม..ต้องให้ได้แบบนี้สิ ข้าค่อยรู้สึกว่าเจ้าอยากจะเจรจากับข้าขึ้นมาบ้าง!”
หลิงหยุนเอ่ยชมท่าทีที่เปลี่ยนไปของเฉียวเปียวแล้วจึงพูดต่อว่า “ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอกเจ้าหมีเฒ่า..”
“ข้าก็แค่อยากให้เจ้าทวนคำพูดของเจ้าอีกครั้งเท่านั้นเอง!”
“คำพูดอะไร!” ไม่รู้ว่าเฉียวเปียวนั้นลืมไปแล้วจริงๆหรือแสร้งทำเป็นโง่กันแน่!
หลิงหยุนยิ้มกว้างก่อนจะตอบไปว่า“เจ้าหมีเฒ่า.. เจ้าอย่าแสร้งทำเป็นโง่ไปหน่อยเลย! ก่อนที่เจ้าจะเริ่มประมือกับข้านั้น เจ้าพูดว่าหากเจ้ายังอยู่ในหน่วยนภา ข้าจะไม่มีทางได้เข้าเป็นสมาชิกของหน่วยนภา อะไรทำนองนี้..”
“ทวนให้ข้าฟังอีกครั้งซิ!”หลิงหยุนย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เอ่อ..”
เฉียวเปียวแทบกระอักออกมาเป็นเลือดอีกครั้งเขาโมโหจนแทบคลั่ง และได้แต่คิดในใจว่า ‘เจ้าชนะ.. เจ้าตบหน้าข้า.. แต่เจ้าจะทำอะไรมากเกินกว่านี้ไม่ได้!’
“ข้าสั่งให้เจ้าทวนให้ข้าฟังไงเล่า!”
หลิงหยุนเงื้อมือขึ้นสูงพร้อมกับร้องตะโกนสั่งเฉียวเปียวและย้ำด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดอีกครั้ง “ข้าหวังว่าเจ้าจะยอมทวนคำพูดให้ข้าฟังอีกครั้งนะ..”
เฉียวเปียวไม่ต้องการถูกหลิงหยุนตบหน้าให้ได้รับความอับอายอีกจึงได้แต่ถอนหายใจ และทวนคำพูดประโยคนั้นซ้ำอีกครั้ง..
แต่หลังจากที่ได้ฟัง..หลิงหยุนก็ร้องตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ “ความหมายคล้ายกัน แต่คำพูดไม่ตรงกับที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ทั้งหมด มิหนำซ้ำน้ำเสียงยังไม่แข็งกร้าว แล้วก็ยะโสโอหังเหมือนครั้งแรกด้วย!”
เฉียวเปียวแทบอยากจะร้องไห้ออกมาและได้แต่คิดในใจว่า ‘ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่ได้พ่ายแพ้ให้แก่เจ้า แล้วก็ไม่ได้ถูกเจ้าข่มเหงเช่นนี้นี่! น้ำเสียงที่ใช้พูดจะเหมือนกันได้อย่างไรกันเล่า!’
หลิงหยุนยิ้มออกมาแล้วจึงพูดต่อว่า “เอาล่ะ.. ข้ามัวแต่ตะโกนใส่เจ้าจนเกือบลืมเล่าเหตุการณ์ในคืนวันประลองให้เจ้าฟัง เจ้าตั้งใจฟังให้ดีล่ะ!”
“ฟังแล้วก็จดจำให้ดีด้วย..ในวันข้างหน้าหากมีผู้ใดถามเจ้าถึงเรื่องนี้ เจ้าจะได้ตอบพวกเขาได้ถูกต้อง!”
“ในคืนที่ตระกูลหลิงของข้าประลองกับตระกูลซันและตระกูลเฉินนั้นหน่วยนภาของเจ้าเป็นผู้ส่งยอดฝีมือทั้งห้าไปช่วยตระกูลซันกับตระกูลเฉิน ข้าสังหารยอดฝีมือของหน่วยนภาทั้งสี่คน จับตัวตี๋ยั่วถัง อีกทั้งยังขับไล่หลวงจีนหลุ่หมิงฉู่ ทั้งหมดที่ข้าทำนั้นก็เพื่อฉีกหน้าสมาชิกทั้งห้าของหน่วยนภาที่อ้างตัวว่าเป็นคนดี..”
ดวงตาคมกริบของหลิงหยุนจ้องมองเฉียวเปียวพร้อมกับยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของเขาไปมา ก่อนจะถามย้ำว่า
“เจ้าเข้าใจหรือไม่”
เฉียวเปียวที่ถูกกระทำให้ได้รับความอับอายทำได้เพียงแค่พยักหน้าอย่างหมดสิ้นหนทาง..
“เอาล่ะ..ทวนซ้ำให้ข้าฟังอีกครั้ง!”
ในที่สุดเฉียวเปียวก็หมดความอดทนและร้องคำรามออกมาด้วยความโมโห “นี่เจ้าจะพอได้หรือยัง!”
หลิงหยุนปรายตามองเฉียวเปียวอีกครั้งทำให้เฉียวเปียวได้สติ และคิดว่าหากตนยังขืนพูดอะไรมากกว่านี้ คงต้องถูกหลิงหยุนตบหน้าให้ได้รับความอับอายอีกครั้งเป็นแน่ หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว เฉียวเปียวจึงรีบทวนคำพูดของหลิงหยุนอีกครั้งตามที่เขาต้องการ..
“ดีมาก!”
หลิงหยุนพยักหน้าด้วยความพอใจจากนั้นจึงถามขึ้นว่า “เอาล่ะ.. คราวนี้เจ้าก็ตอบถามของข้าบ้าง”
“ตอบข้ามาว่าสิ่งที่ข้าทำลงไปกับสมาชิกของหน่วยนภาทั้งห้านั้นเป็นเรื่องที่ควรหรือไม่”
เฉียวเปียวพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“ควรแล้ว!”
แต่ในใจของเฉียวเปียวนั้นได้แต่คิดว่าต่อให้เข้าคิดว่าไม่ควร เขาก็ไม่กล้าพูดออกไปอยู่ดี! แม้หลิงหยุนจะสามารถคาดเดาได้อย่างถูกต้องว่าเฉียวเปียวกำลังคิดอะไรอยู่แต่เขาก็ไม่สนใจ และพูดต่อว่า
“เรื่องที่ข้าจะทำให้เส้าหลินบาดหมางสร้างความขุ่นเคืองใจให้สำนักเขาหลงหู่ หรือจงใจเป็นปรปักษ์กับสำนักกระบี่คุนหลุน และสำนักกระบี่เทียนซาน หรือข้าจะมีศัตรูมากมายเท่าไหร่นั้น ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของข้า ไม่ใช่เรื่องของเจ้า เจ้าเข้าใจหรือไม่”
เฉียวเปียวถึงกับพูดไม่ออกหลิงหยุนจึงต้องย้ำเสียงเข้ม “เจ้าเข้าใจหรือไม่! พูด..”
“เข้าใจ..ข้าเข้าใจ!”
เฉียวเปียวรีบร้องตอบกลับไปทันทีและเวลานี้เขาก็ไม่มีหน้าที่จะไปพบปะผู้ใดได้อีกแล้ว แต่ก็นับว่ายังโชคดีที่ครั้งนี้หลิงหยุนไม่ได้สั่งให้เขาทวนซ้ำอีกครั้ง..
หลิงหยุนยิ้มออกมาจนเห็นฟันขาวอีกครั้งก่อนจะพูดต่อว่า “เอาล่ะ.. เรื่องสุดท้ายที่ข้าจะพูดกับเจ้าก็คือเรื่องการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของหน่วยนภา!”
“ข้าไม่ได้เป็นผู้เสนอตัวขอเข้าร่วมหน่วยนภาแต่เป็นหัวหน้าอาวุโสโจวเหวินอี้ต่างหากที่เชื้อเชิญข้าให้เข้าร่วม ข้าไม่สามารถปฏิเสธคำขอของเขาได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดประโยคสุดท้ายของหลิงหยุนเฉียวเปียวจึงรีบพยักหน้า และตอบกลับไปทันที
“ข้าเข้าใจ!”
ตอนนี้เฉียวเปียวเข้าใจแล้วว่า..เหตุใดโจวเหวินอี้จึงได้อนุญาตให้หลิงหยุนเข้าร่วมเป็นสมาชิกของหน่วยนภา และเป็นความโง่เขลาของตนกับหลี่เจิ้งเฟิงที่ไม่ยอมฟังคำพูดของโจวเหวินอี้
ไม่เช่นนั้นคืนนี้อาวุโสของหน่วยนภาถึงสองคนคนหนึ่งคงไม่ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติเช่นนี้ ส่วนอีกคนก็คงไม่ได้รับความอัปยศอดสูถึงเพียงนี้เช่นกัน!
หลิงหยุนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้..ยังต้องอาศัยหน่วยนภาสร้างฐานะ และความน่าเชื่อถืออะไรให้อีกเล่า!
หลิงหยุนพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับถามเฉียวเปียวไปว่า“เอาล่ะ.. ในเมื่อเจ้าเข้าใจดีแล้วก็ตอบข้ามาว่าข้า ข้าและคนตระกูลหลิงจะสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกของหน่วยนภาได้หรือไม่”
เฉียวเปียวรีบพยักหน้าทันทีพร้อมกับตอบไปว่า“ย่อมได้แน่นอน! และข้าก็ไม่คัดค้าน..’
“เจ้าไม่คัดค้านจริงงั้นรึ!”
“ไม่คัดค้าน!”
“อ่อ..แล้วหลี่เจิ้งเฟิงเล่า เขาจะคัดค้านหรือไม่?”
“เขาย่อมไม่คัดค้านแน่นอน!”
หลิงหยุนยกมือขึ้นผายออกแล้วพูดกับเหล่าสมาชิกของหน่วยนภาทุกคนว่า “พวกเจ้าเห็นหรือไม่.. ปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไข้ได้ไม่ยาก เหตุใดจึงต้องเข่นฆ่าเอาชีวิตกันด้วยเล่า หากพวกเจ้ามาเจรจากับข้าดีๆเช่นนี้ คงไม่ต้องเสียเวลาเสียแรงมากมายถึงเพียงนี้..”
ระหว่างที่หลิงหยุนพูดนั้นเหล่าสมาชิกของหน่วยนภารวมทั้งเฉียวเปียว ต่างก็พากันพยักหน้าหงึกๆ ทั้งหมดล้วนใบหน้าแดงก่ำ แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว..
โม่วู๋เตาและคนอื่นๆที่ยืนดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบนั้น ได้แต่คิดในใจว่าหลิงหยุนน่าจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับการตบหน้าคนอย่างไรให้หวาดกลัว..
ไกลออกไปนั้น..หลิงเลี่วยกำลังอัดคลิปวีดีโอตั้งแต่หลิงหยุนมาถึงตระกูลหลิงจนกระทั่งถึงตอนนี้ และเวลานี้แขนของเขาก็ล้าไปหมด แต่ก็ไม่สามารถหยุดถ่ายคลิปได้ เพราะเหตุการณ์ระหว่างตระกูลหลิงกับหน่วยนภาในคืนนี้ นับเป็นเรื่องที่ควรต้องบันทึกไว้อย่างยิ่ง..
และหลิงเย่วเองก็ไม่คิดที่จะห้ามหลิงเลี่วยด้วย.. “เอาล่ะ..นี่จะเป็นคำถามสุดท้ายของข้าในคืนนี้!”
หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับถามขึ้นว่า“หากข้ากับคนตระกูลหลิงเข้าร่วมหน่วยนภาแล้ว เจ้ากับหลี่เจิ้งเฟิงจะแอบลงมือจัดการกับพวกเราลับหลังหรือไม่”
เฉียวเปียวฟังคำถามจบจึงรีบส่ายหน้าไปมาทันทีพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า “ไม่.. เจ้ามั่นใจได้ว่าจะไม่มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!”
แต่ในใจนั้นเฉียวเปียวกลับคิดว่า‘ใช่ว่าข้าไม่อยากจัดการกับพวกเจ้า แต่ข้าไม่กล้าแล้วต่างห่างเล่า!’
หลิงหยุนยกมือขึ้นตบบ่าเฉียวเปียวพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ดีมาก.. ถ้าเช่นนั้นเรามาพูดธุระของเราต่อได้แล้ว!”
เฉียวเปียว..“