ทันทีที่เฉียวเปียวได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนก็ถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง จากนั้นจึงได้ร้องถามหลิงหยุนออกไปว่า
“ธุระอะไรกัน!นี่เจ้ายังพูดไม่จบอีกรึ? เจ้ายังมีเรื่องอะไรต้องพูดกับข้าอีก?”
เฉียวเปียวโมโหจนแทบกระอักออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง..
“ฮ่า..ฮ่า..”
หลิงหยุนมองเฉียวเปียวด้วยแววตาเหยียดหยันพร้อมกับหัวเราะออกมาแล้วจึงอธิบายให้เฉียวเปียวฟังว่า
“จะธุระอะไรกันอีกเล่าข้าก็กำลังจะแก้ปัญหาความบาดหมางของพวกเราทุกคนที่นี่ยังไงเล่า?”
หลิงหยุนยิ้มให้เฉียวเปียวพร้อมกับถามขึ้นว่า“นี่เจ้าลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาตระกูลหลิงคืนนี้แล้วรึ!” ระหว่างที่พูดหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางคุกใต้ดินตระกูลหลิงพร้อมกับพูดต่อว่า “พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยตี๋ยั่วถังไม่ใช่รึ เวลานี้เขาอยู่ในคุกใต้ดินตระกูลหลิง.. พวกเจ้ายังอยากจะช่วยเขาอีกหรือไม่?”
เฉียวเปียวแทบอยากจะกรีดร้องออกมาในเมื่อพวกเขาพ่ายแพ้ยับเยินเช่นนี้ ยังจะคิดเรื่องช่วยคนอะไรกันอีกเล่า!
แต่ปากก็ตอบหลิงหยุนไปว่า“ไม่! เจ้าอยากจะทำอะไรกับเขาก็แล้วแต่เจ้า พวกเราไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว!”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี!”หลิงหยุนพยักหน้า และจงใจพูดย้ำว่า “”แต่ครั้งนี้เจ้าไม่ต้องทวนซ้ำให้ข้าฟังอีกแล้ว..”
เฉียวเปียวถูกหลิงหยุนยั่วโมโหจนแทบคลั่งและแทบอยากจะตายๆไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พัก เสียงของหลิงหยุนก็ดังก้องในหูของเฉียวเปียว..
“ถ้าเช่นนั้นก็ถึงเวลาคุยเรื่องสำคัญที่สุดแล้ว..” หลิงหยุนจงใจย้ำอีกครั้ง“เรื่องสำคัญที่สุดจริงๆ!”
สีหน้าของเฉียวเปียวเวลานี้เต็มไปด้วยความเดือดดาลและจ้องมองหลิงหยุนราวกับหมูไม่กลัวน้ำร้อน..
แต่หลิงหยุนไม่สนใจและยังคงพูดต่อ “พวกเจ้าทั้งสิบสี่คนบุกมาหาเรื่องตระกูลหลิงกลางดึกเช่นนี้ ไม่เพียงทำลายทรัพย์สิน แต่ยังทำให้ผู้คนในบ้านตกใจอีกด้วย เจ้าคิดจะตกลงเรื่องนี้กับข้าเป็นการส่วนตัว หรือต้องการจะตกลงในนามของหน่วยนภา!”
หลิงเสี่ยวเริ่มกังวลใจว่าหลิงหยุนข่มเหงเฉียวเปียวมากเกินไปเช่นนี้เกรงว่าในวันข้างหน้าจะไม่เป็นผลดีต่อหลิงหยุน จึงคิดที่จะออกไปห้ามปราม..
–น้องสาม!-
แต่หลิงเย่วที่ยืนอยู่ข้างๆได้ห้ามไว้เสียก่อนเขาส่ายหน้า และบอกกับหลิงเสี่ยวผ่านทางกระแสจิต.. –เจ้าอย่าได้กังวลใจไปหลิงหยุนรู้ย่อมดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่!-
ส่วนหลิงเลี่วยยังคงอัดคลิปวีดีโอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม..เพราะการตบหน้าอาวุโสแห่งหน่วยนภาเช่นนี้ มีผู้ใดบ้างในปักกิ่งที่กล้าทำ!
เห็นจะมีก็แต่หลิงหยุนคนเดียวเท่านั้นล่ะ!
เฉียวเปียวถึงกับตะลึง..และได้แต่คิดในใจว่าหากเขาตอบว่าในนามของหน่วยนภา เรื่องนี้คงมีเพียงบุคคลอันดับหนึ่งในประเทศเท่านั้นที่จะจัดการได้!
“ว่ายังไงเจ้าหมีเฒ่า!”หลิงหยุนถามย้ำ..
ความจริงแล้วหลี่เจิ้งเฟิงนั้นได้รู้สึกตัวตั้งนานแล้วแต่เมื่อเห็นเฉียวเปียวถูกหลิงหยุนข่มเหงเช่นนั้น เขาจึงปิดประสาทการรับรู้ทั้งห้าของตนเอง และแสร้งหมดสติต่อทันที
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เฉียวเปียวนึกถึงข่าวลือที่ได้ยินมาผู้คนในยุทธภพต่างพากันเล่าว่าใครก็ตามที่กล้าหาเรื่องกับหลิงหยุนนั้น หากพ่ายแพ้ให้กับเขาแล้ว ยากนักที่จะได้กลับไปโดยไม่สูญเสียสิ่งใด จึงรีบตอบหลิงหยุนกลับไปทันที
“ส่วนตัว..”
หลิงหยุนเอื้อมมือออกไปตบบ่าเฉียวเปียวพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ดีมาก..”
“เอาล่ะ..ในฐานะที่เจ้าเป็นถึงอาวุโสแห่งหน่วยนภา เจ้ารู้ความหมายของคำว่า ‘ส่วนตัว’ ที่ข้าบอกไปหรือไม่”
เฉียวเปียวตอบกลับไปโดยแทบไม่ต้องคิด“หมายถึงการชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินไม่ใช่รึ!”
หลิงหยุนพยักหน้าทันทีพร้อมกับบอกไปว่า“ถูกต้อง!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางกำแพงบ้านที่พังทลาย“เจ้าเห็นหรือไม่ว่าพวกเจ้าได้ทำกำแพงบ้านของข้าพัง และข้าก็ต้องใช้เงินในการซ่อมแซม..”
“เฮ้อ..แต่สำหรับผู้บ่มเพาะพลังเช่นเรา เงินทองไหนเลยจะสำคัญ! ข้ารู้มาว่าสมาชิกของหน่วยนภาล้วนได้รับประโยชน์กันมากมายแทบทุกคนไม่ใช่รึ!”
“เจ้าพอจะเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่!”
และในที่สุดหางสุนัขจิ้งจอกของหลิงหยุนก็งอกจนได้!
เฉียวเปียวถึงกับถามออกมาด้วยความตกใจ“นี่เจ้าหมายความเช่นใดกันแน่!”
หลิงหยุนค่อยๆลุกขึ้นยืน แล้วก้มลงกวาดสายตามองไปยังร่างของเหล่าสมาชิกหน่วยนภาที่นอนเรียงรายอยู่กับพื้น ก่อนจะตอบไปว่า
“ข้าก็ไม่ได้ต้องการอะไรมาก..ในเมื่อพวกเจ้าเป็นฝ่ายเข้ามาหาเรื่องข้าถึงที่นี่ หากพวกเจ้ายอมมอบผลประโยชน์ของพวกเจ้าทุกคนให้ข้าเป็นเวลาหนึ่งปี ข้าก็จะปล่อยพวกเจ้ากลับไป หาไม่แล้วจุดจบของพวกเจ้าคงไม่ต่างจากตี๋ยั่วถัง!”
เหล่าสมาชิกของหน่วยนภาทั้งสิบสี่คนต่างก็นิ่งเงียบไปนั่นเพราะทรัพยากรสำหรับการบ่มเพาะพลังของยอดฝีมือทั้งสิบสี่คนรวมกันทั้งปีนั้น สามารถสร้างยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียนให้เข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นเซียงเทียนได้พร้อมกันถึงหนึ่งร้อยคนทีเดียว
หรือสามารถสร้างยอดฝีมือในด่านสุดท้ายขั้นเซียงเทียนให้สามารถเข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติได้ถึงยี่สิบคนพร้อมกันก็ได้..
อย่าว่าแต่เหล่าสมาชิกของหน่วยนภาจะตกตะลึงเพราะแม้แต่เหล่าสมาชิกของตระกูลหลิงก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปเช่นกัน!
“หลิงหยุน..เจ้าไม่คิดว่าตนเองทำเกินไปหน่อยรึ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเรียกร้องทรัพยากรการฝึกฝนจากพวกเราทั้งสิบสี่คนตลอดทั้งปีนั้น จะส่งผลเช่นใดบ้าง?”
เฉียวเปียวร้องตะโกนออกมาอย่างคับแค้นใจ..แม้แต่กระต่ายน้อยหากหมดหนทางสู้ มันก็หันมากัดเช่นกัน มีหรือที่เฉียวเปียวจะยินยอมอย่างง่ายดาย
แต่หลิงหยุนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใยดีนัก“ข้าก็แค่เสนอทางเลือกให้กับพวกเจ้า หากพวกเจ้าไม่ตกลง ข้าก็จะทำลายวรยุทธของพวกเจ้าทั้งหมดทิ้งซะ!”
จากนั้นหลิงหยุนก็พูดต่อว่า..“และหากพวกเจ้าเลือกวิธีนี้.. พวกเจ้าก็บอกลาหน่วยนภาตั้งแต่คืนนี้ได้เลย เพราะในเมื่อพวกเจ้าไร้วรยุทธแล้ว ก็ย่อมไม่ได้ทรัพยากรในการฝึกฝนจากหน่วยนภาเช่นกัน !”
“นี่เจ้า..”
เฉียวเปียวถึงกับพูดไม่ออก..และสมาชิกคนอื่นๆของหน่วยนภาก็เช่นกัน!
คำอธิบายของหลิงหยุนนั้นชัดเจน..จะเลือกระหว่างยอมสูญเสียทรัพยากรในการฝึกฝนหนึ่งปี หรือจะยอมกลายเป็นคนไร้วรยุทธ และคงจะมีเพียงแค่คนโง่เท่านั้นที่ไม่สามารถตัดสินใจเลือกได้ถูก!
“ได้..พวกเราตกลง!”
ระหว่างที่เฉียวเปียวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นจู่ๆ หลี่เจิ้งเฟิงก็ลืมตาขึ้นมา และกัดฟันลุกขึ้นมานั่ง แล้วร้องตะโกนตอบหลิงหยุนไป..
“อาวุโสหลี่..นี่ท่าน..” เฉียวเปียวถึงกับพูดอะไรไม่ออก
หลี่จิ้งเฟิงยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วจึงร้องบอกเฉียวเปียวว่า “เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว! พวกเราต่างก็พ่ายแพ้จนมีสภาพเช่นนี้ เจ้ายังมีทางเลือกอื่นอีกงั้นรึ!”
จากนั้นหลี่เจิ้งเฟิงจึงหันไปทางหลิงหยุนพร้อมกับพูดต่อว่า“ขอบคุณที่ชี้แนะ.. ตอนนี้พวกเรากลับได้แล้วใช่หรือไม่!”
ในเมื่ออีกฝ่ายรับปากเช่นนี้เท่ากับหลิงหยุนได้บรรลุเป้าหมายแล้ว หลิงหยุนจึงไม่คิดที่จะสร้างความอัปยศให้กับพวกเขาอีก แต่ก็พูดขึ้นว่า
“ช้าก่อน..ข้ายังต้องการการยืนยัน!”
พูดจบหลิงหยุนก็ได้ติดต่อไปหาโจวเหวินอี้ทันทีและเมื่อโจวเหวินอี้เห็นว่าเป็นหลิงหยุนติดต่อมา เขาก็ได้แต่พึมพำออกมาว่า
“เฉียวเปียวกับหลี่ยี่เฟิงคงถูกหลิงหยุนจัดการแล้วสินะ!”
แต่หลังจากที่ได้ยินคำบอกเล่าของหลิงหยุนโจวเหวินอี้ก็ถึงกับร้องถามออกไปเสียงดัง “ห๊ะ! เจ้าว่าอะไรนะ?!”
“หากอาวุโสไม่เชื่อข้าจะให้อาวุโสคุยกับเขาเอง”
จากนั้นหลิงหยุนก็เให้เฉียวเปียวเป็นฝ่ายยืนยันกับโจวเหวินอี้ด้วยตัวเองสำหรับทรัพยากรในการฝึกของสมาชิกหน่วยนภาทั้งสิบสี่คนตลอดหนึ่งปีนั้น ย่อมเพียงพอสำหรับตระกูลหลิงอย่างแน่นอน!
ทั้งเฉียวเปียวและหลี่เจิ้งเฟิงต่างก็ได้ยืนยันกับโจวเหวินอี้ด้วยตัวเองเช่นนี้ จึงยากที่จะกลับกลอกในคราวหลังได้..
“ได้ทรัพยากรในการฝึกไปมากมายเช่นนี้อีกหนึ่งปีให้หลังคงไม่มีผู้ใดในยุทธภพจะสามารถเทียบตระกูหลิงได้แน่!”
โจวเหวินอี้ถึงกับพึมพำออกมา..
ในขณะที่ฝั่งหลิงหยุนยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านั้นเขาบอกกับเหล่าสมาชิกทั้งสิบสี่คนว่า “ส่วนค่าเสียหายที่จะต้องจ่ายเป็นเงินนั้น ข้าไม่ต้องการมากนัก พวกเจ้าทั้งสิบสี่คนจ่ายให้ข้าคนละหนึ่งร้อยล้านหยวนก็เพียงพอแล้ว..”
“แต่เพื่อให้เป็นตัวเลขที่จำได้ง่ายๆพวกเจ้าก็จ่ายยอดรวมมาสองพันล้านเลยก็แล้วกัน!”
หลี่จิ้งเฟิงรีบพยักหน้าตกลงทันทีหลิงหยุนจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะซื้อชีวิต เจ้าย่อมมีชีวิตกลับไปหาสิ่งเหล่านี้ได้ใหม่!”
คำพูดของหลิงหยุนนั้นนับว่าถูกต้องที่สุด!
…..
จากนั้นหลิงหยุนจึงสั่งให้เหล่านักรบตระกูลหลิงช่วยกันลากร่างของยอดฝีมือจากหน่วยนภาออกไปกองที่หน้าประตูบ้าน..
ระหว่างที่เหล่านักรบตระกูลหลิงช่วยกันโยนร่างของสมาชิกหน่วยนภาออกไปนั้นหลิงหยุนก็ได้ใช้จิตหยั่งรู้ของตนสำรวจดู และพบว่าหลังจากที่ได้ทำการชำระล้างไขกระดูไปครึ่งเดือนนั้น เหล่านักรบตระกูลหลิงต่างก็ต่างก็ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว เวลานี้ทั้งหมดอยู่ในระหว่างขั้นเซียงเทียน-2 ไปจนถึงขั้นเซียงเทียน-3
และเหตุผลสำคัญก็คือสภาพแวดล้อมภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงนั่นเองซึ่งมีทั้งค่ายกลหลุมพลัง พลังชีวิตธาตุไม้จากหลิวเทวะวิญญาณ และพลังชีวิตจากเหล่าสมุนไพรล้ำค่าในสวนชั้นที่ห้า
ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงเวลานี้จึงเสมือนดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ หากผู้ใดได้ฝึกวิชาในสถานที่แห่งนี้ ก็จะสามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าฝึกในสถานที่อื่นถึงสิบเท่า..
แม้เหล่านักรบตระกูลหลิงจะสามารถฝึกฝนได้ก้าวหน้ารวดเร็วแล้วแต่เหล่าสมาชิกตระกูลหลิงกลับก้าวหน้าได้เร็วยิ่งกว่า เพราะสายเลือดตระกูลหลิงต่างก็ฝึกด้วยปราณเสวียนหวง ซึ่งปลดปล่อยจากต้นหลิวเทวะวิญญาณ..
หลิงหยุนพยักหน้าด้วยความพอใจและเวลานี้เขาก็ยิ่งมั่นใจในอนาคตของตระกูลหลิง!
แต่ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้นหลิงหยุนก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น เขาสังเกตว่ารอบตัวเขานั้นเงียบจนน่าประหลาดใจ จึงได้หันไปมองรอบตัว และในที่สุดก็พูดขึ้นว่า..
“นี่..ทุกคนพากันจ้องหน้าข้าเช่นนี้ทำไมกัน!”
หลิงหยุนสังเกตเห็นว่าเวลานี้สมาชิกตระกูลหลิงต่างก็พากันยืนจ้องมองตนเองด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน..
หลิงหยุนเข้าใจดีว่าทุกคนต่างก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถทำร้ายคนของหน่วยนภาจนบาดเจ็บสาหัสได้ถึงเพียงนี้มิหนำซ้ำยังทำให้อาวุโสอย่างเฉียวเปียวอับอายขายหน้าอย่างมากด้วย ไม่เพียงเท่านั้น.. หลิงหยุนยังรีดไถทั้งทรัพยากรในการฝึก และเงินทองจากพวกเขาด้วย.. แม้ว่าเหล่าสมาชิกตระกูลหลิงจะเคยได้ยินเรื่องอุปนิสัยเช่นนี้ของหลิงหยุนมาก่อนแล้วแต่คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะกล้านำมาใช้กับเจ้าหน้าที่ของหน่วยนภาเช่นนี้!
โจวเหวินอี้เพิ่งจะเสนอให้ตระกูลหลิงเข้าร่วมเป็นสมาชิกของหน่วยนภาได้ถึงหกคนยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะได้ส่งคนเข้าร่วม เขาก็ทำร้าย และข่มเหงอาวุโสของหน่วยนภาทั้งสองคนเช่นนี้!
“นี่เจ้าเด็กตัวแสบ!”
หลิงซิ่วเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาหลิงหยุนคนแรกพร้อมกับมองหลิงหยุนตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ตลอดสิบแปดปีมานี้เจ้าทำนิสัยเช่นนี้มาตลอดเลยงั้นรึ!”
“เอ่อ..”
หลิงหยุนยกมือขึ้นถูจมูกตัวเองก่อนจะตอบกลับไปว่า “ไม่ใช่.. คืออาจารย์รับข้าเป็นศิษย์ตั้งแต่แปดขวบก็จริง แต่ก็ไม่ได้สนใจสั่งสอนข้านัก ปล่อยให้ข้าฝึกฝนอย่างหนักเพียงลำพัง จนกระทั่งปีนี้ที่ข้าเริ่มก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว นิสัยก็เลยเปลี่ยนไปบ้าง..”
หลิงหยุนตอบหลิงซิ่วด้วยน้ำเสียงจริงจัง..
แต่หลังจากที่หลิงหยุนพูดออกไปเช่นนั้นบรรดาสมาชิกตระกูลหลิงต่างก็พากันหัวเราะออกมา รวมทั้งหลิงเสี่ยวด้วย แล้วบรรยากาศที่อึมครึมเมื่อครู่ก็เริ่มผ่อนคลาย เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ..
“นั่นสิ..ขืนเจ้ามีนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ยังมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้ ก็นับว่าปาฏิหารย์มากทีเดียว!”
หลิงเสี่ยวได้ฟังคำพูดของและเห็นท่าทางของหลิงซิ่วก็ถึงกับหัวเราะออกมา นางยกมือขึ้นหยิกแก้มหลิงหยุนอย่างเอ็นดู พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“แต่เจ้าก็ทำได้ดีมากทีเดียว!ข้าชอบ!”
หลิงหยุนในฐานะผู้นำตระกูลแต่กลับถูกหลิงซิ่วหยิกแก้มเช่นนี้ จึงได้แต่ร้องโวยวายออกมา
“พี่หลิงซิ่ว..ต่อหน้าทุกคนเจ้าต้องไว้หน้าข้าบ้างสิ!”
จากนั้นโม่วู๋เตาก็เดินเข้ามาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ท่านพี่หยุน.. ข้าเองก็อยากจะชื่นชมเจ้าบ้างได้หรือไม่”
หลิงหยุนรีบยกเท้าขึ้นใส่โม่วู๋เตาพร้อมกับตะโกนไล่“เจ้าออกไปให้ไกลๆข้าเดี๋ยวนี้!”