ร่างกายของซูจิ่นซีสั่นเทาอย่างรุนแรง
นางใช้หลังฝ่ามือลอบโจมตีไปที่หน้าอกของเยี่ยโยวเหยา ทว่ากลับถูกเยี่ยโยวเหยาคว้ามือไว้ได้พอดี
จากนั้นนางจึงใช้เท้าเตะเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาก็จับเท้าของนางด้วยมืออีกข้างได้อีก
ซูจิ่นซีร้อนใจและขมวดคิ้วมุ่น นางกระโดดขึ้น ก่อนจะพลิกตัวให้หลุดพ้นจากการควบคุมของเยี่ยโยวเหยา อย่างไรก็ตาม คาดไม่ถึงว่านางยังไม่ทันหลุดพ้น เยี่ยโยวเหยาก็คว้าข้อเท้าทั้งสองของนาง และดึงนางกลับมาแผ่วเบา
ซูจิ่นซีลงมือต่อต้านเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง เยี่ยโยวเหยาเองก็ไม่ออมมือ ส่งผลให้พวกเขาทั้งสองต่อสู้พัวพันกันในห้องนอน
แม่นมฮวากับลวี่หลี รวมถึงเหล่าองครักษ์เงาที่อยู่ด้านนอกไม่รู้ว่าภายในห้องเกิดอันใดขึ้น พวกเขาได้ยินเพียงเสียงตึงตังเท่านั้น
แม่นมฮวารู้สึกเบิกบานใจ จนไม่อาจปิดซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าได้ ทว่านางแสร้งยกมือก่ายหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะดึงตัวลวี่หลีและเดินจากไป
“โอ้ ท่านอ๋องเรานี่จริงๆ เลย เล่นใหญ่ถึงเพียงนี้ พระชายาจะทนไหวได้อย่างไร? ”
ใบหน้าของลวี่หลีปรากฏความกังวล และยิ่งกังวลมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของแม่นมฮวา “อ๋า เช่นนั้นจะทำอย่างไร? ไม่ได้ ข้าต้องไปดู! ”
แม่นมฮวารั้งลี่หลีไว้ รอยยิ้มบนใบหน้าลดลงเล็กน้อย นางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เจ้าจะไปดูอันใด? นางหนู เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถดูได้ทุกเรื่องหรือ? ”
“เอ่อ… แต่ว่า”
“แต่อันใด ไปกับข้า! ”
แม่นมฮวาพูดพลางฉุดมือลวีหลีให้เดินไปด้วยกัน เมื่อสมดั่งใจแล้ว นางยังไม่ลืมหันไปบอกองครักษ์เงาของเยี่ยโยวเหยา
“พวกเจ้าก็เหมือนกัน ไป ไป ไป ทุกคนออกไปให้หมด! อย่ายืนบื้ออยู่ตรงนี้! ”
องครักษ์เงามีหัวหน้าคือจิ้นหนานเฟิง หากไม่ได้รับคำสั่งจากเยี่ยโยวเหยา พวกเขาจะไปได้อย่างไร?
แม่นมฮวามองจิ้นหนานเฟิงด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “จิ้นหนานเฟิง ที่นี่ไม่ใช่เมืองเหยาเฉิงหรือเมืองหลวงแคว้นจงหนิง เจ้าจะปล่อยให้คนเหล่านี้ยืนฟังอยู่ที่นี่ได้หรือ? ”
เรือนหลังเล็กกลางป่าปกปิดเสียงได้ไม่ดีนัก เทียบไม่ได้กับตำหนักในสวนตี้เหมยเมืองเหยาเฉิง และตำหนักฝูอวิ๋นในเมืองหลวง
อย่างไรก็ตาม จิ้นหนานเฟิงยังคงยืนกรานว่าเขาจะไม่จากไปที่ใด
“ในฐานะที่เป็นองครักษ์เงา หน้าที่ของพวกเราคือคุ้มครองความปลอดภัยของนายท่าน เรื่องอื่น… เราไม่ได้ยินอันใดทั้งสิ้น”
แม่นมฮวาเดินไปข้างหน้าและดึงใบหูของจิ้นหนานเฟิง
“เจ้าบอกว่าไม่ได้ยินก็ไม่ได้ยินหรือ? ด้วยฝีมือระดับปลายแถวของเจ้า หากนายท่านทั้งสองตกอยู่ในอันตรายจริง ยังไม่แน่ว่าใครจะปกป้องใคร! ไป ไป ไปกันทุกคน! ”
เหล่าองครักษ์ที่เหลือต่างมองด้วยความตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นลูกพี่ใหญ่จิ้นถูกผู้อื่นดึงหูราวกับกำลังสั่งสอนเด็กเล็ก
ยิ่งไปกว่านั้น ยังดุด่าพวกเขาว่าเป็นพวกฝีมือปลายแถวอีกด้วย
พวกเขาคือยอดฝีมือของวิหารวิญญาณ องครักษ์เงาทุกคนล้วนมีวรยุทธ์สูงส่ง!
คนในวิหารวิญญาณที่สามารถติดตามใกล้ชิดท่านอ๋องได้ ฝีมือย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน ผู้อื่นต่างพากันอิจฉาพวกเขาด้วยซ้ำ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่นมฮวา พวกเขากลับกลายเป็นพวกฝีมือปลายแถว
แน่นอนว่าสิ่งที่แม่นมฮวากล่าวมานั้นไม่ผิดเพี้ยน
องครักษ์เงาเหล่านี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาที่วรยุทธ์รุดหน้าไปอีกระดับขั้นแล้ว ก็นับเป็นเพียงองครักษ์ฝีมือปลายแถวจริงๆ
ภายในห้อง ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาต่อสู้กันหลายสิบกระบวนท่า จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีผู้ใดเพลี่ยงพล้ำ
เยี่ยโยวเหยาคว้าตัวซูจิ่นซีได้ จากนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘แควก’ เสื้อผ้าบนร่างของซูจิ่นซีขาดวิ่น นางรีบเหาะไปยังข้างเตียงอย่างรวดเร็ว และดึงผ้าม่านออกมาพันรอบตัว พลางขมวดคิ้วด้วยความโมโหสุดขีด
“บุรุษเหม็นเน่า ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ ไร้ซึ่งความละอายใจ! ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วอย่างดุดัน ดวงตาดำขลับลึกซึ้งของเขาปรากฏความเย็นชา โกรธเคือง ราคะ ทั้งยังอดกลั้นต่อความปรารถนา อารมณ์ที่แสดงออกมาช่างซับซ้อนอย่างมาก
เขาเหลือบมองเสื้อผ้าบนร่างของตนที่ถูกซูจิ่นซีใช้กรงเล็บฉีกขาด และดูรอยแผลบนหลังมือของตน
“สตรีไร้ยางอาย บ้าคลั่ง หยาบคาย ไร้มารยาท! ”
ความเดือดดาลของซูจิ่นซีพลันปะทุ นางกำลังโกรธจัด
“เยี่ยโยวเหยา ท่านเรียกใครว่าสตรีบ้า ใครกันแน่ที่ไร้ยางอาย? ”
“ซูจิ่นซี ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย มานี่! ไม่เช่นนั้น… ”
บรรยากาศรอบตัวเยี่ยโยวเหยาพลันเย็นยะเยือก เขายื่นมือไปทางซูจิ่นซี แม้เขาจะไม่ได้พูดประโยคสุดท้าย ทว่าบรรยากาศอันตรายกลับชัดเจนอย่างมาก ทั้งยังเป็นคำเตือนที่ดุดันยิ่งนัก
กล่าวตามตรง หัวใจของซูจิ่นซีสั่นเทาเล็กน้อย ทว่าใบหน้ากลับแสดงออกอย่างไม่หวาดกลัว นางเม้มริมฝีปาก พลางเชิดหน้าด้วยความภาคภูมิใจ
“ไม่เช่นนั้นอันใด? เยี่ยโยวเหยา ท่านเป็นบุรุษไร้ยางอาย หากข้าไม่ยอมหลับนอนกับท่าน ท่านคิดจะฆ่าแกงกันเลยหรือ? ”
ดวงตาดำขลับลึกซึ้งของเยี่ยโยวเหยาทวีความเย็นยะเยือก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจต่อ ‘ความเย่อหยิ่งอวดดี’ ในตอนนี้ของซูจิ่นซีอย่างมาก
“ซูจิ่นซี เจ้าเป็นสตรีของข้า ข้ารักและเอ็นดูเจ้ายิ่งนัก จะสังหารเจ้าได้อย่างไร หากเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของข้า อย่างมากที่สุด ข้าก็จะ… ”
เมื่อกล่าวมาถึงประโยคสุดท้าย เยี่ยโยวเหยาก็จงใจหยุดและไม่พูดอันใดต่อ แววตาเฉียบคมของเขามองร่างกายของซูจิ่นซีขึ้นลงด้วยสีหน้าจริงจัง
เห็นได้ชัดว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ทำอันใด ทว่าซูจิ่นซีรู้สึกราวกับเยี่ยโยวเหยากำลังมองทะลุร่างกายของนาง นางหดตัวอย่างไม่สบายใจ พลางเม้มริมฝีปากแน่น และพยายามควบคุมน้ำเสียงของตนเองให้สงบนิ่งเมื่อพูดกับเยี่ยโยวเหยา
“เยี่ยโยวเหยา ท่านจะทำอันใดข้า? ”
เยี่ยโยวเหยาพูดต่อท้ายประโยคก่อนหน้า “ข้าคงจะสังหารเจ้าไม่ลง ทว่าข้าจะฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ แทะกินกระดูกและผิวหนังของเจ้า! ”
ซูจิ่นซีรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว ทว่าเวลานี้ นางไม่อาจแสดงความหวาดกลัวได้
ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงได้หวาดกลัว ตอนที่อยู่ในโลกเขตแดน อวิ๋นอี้เคยบอกกับนางว่าวรยุทธ์ของนางในตอนนี้ถึงระดับเทพยุทธแล้ว ทั้งยังเหนือกว่าเยี่ยโยวเหยาอยู่สองขั้น
ตามหลักการแล้ว เยี่ยโยวเหยาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีที่ไม่เคยหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งใด กลับรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับเยี่ยโยวเหยา
แต่ถึงกระนั้น ไม่ว่าภายในใจจะหวาดกลัวเพียงใด นางก็ยังแสร้งทำเป็นไม่กลัว
“หึ เยี่ยโยวเหยา ตอนนี้ท่านจับข้าได้หรือไม่ยังไม่แน่! ยังเร็วไปที่จะพูดเช่นนั้น”
“โอ้? ใช่หรือ? ” เยี่ยโยวเหยาเลิกคิ้ว บรรยากาศยิ่งอึมครึมมากขึ้น “ตอนนี้วรยุทธ์ของชายาที่รักก้าวหน้าไปมาก ข้าคงไม่อยู่ในสายตาของชายาที่รักแล้วกระมัง ดูเหมือนว่าข้าต้องแสดงฝีมือให้เจ้าเห็นบ้างแล้ว! ”
ตอนที่พูดคำว่า ‘แสดงฝีมือ’ เยี่ยโยวเหยาเอ่ยเน้นคำนี้อย่างหนักแน่น ซูจิ่นซียังไม่รู้ความหมายแฝงในคำนี้ แต่นางรู้สึกว่ามีเงาดำทะมึนปรากฏผ่านหน้า ซึ่งรวดเร็วมาก รวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ซูจิ่นซีหลบไม่ทัน และไม่มีเวลาให้รับมือ ทำได้เพียงถอยหนีอย่างต่อเนื่อง
‘ตูม’ ร่างของนางกระแทกขอบเตียงและล้มลงบนที่นอน
หลังจากนั้น สิ่งที่อยู่บนเตียงก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และกระจัดกระจายไปรอบทิศทาง ขวางทางหนีทั้งหมดของนาง
ซูจิ่นซีต้องการดิ้นรนให้หลุดพ้น นางตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทว่าผ้าม่านสองสามผืนที่เหลือกลับตกลงมาบดบังสายตาของนาง
“หนีหรือ? ชายาที่รักคิดจะหนีไปที่ใด? ”
น้ำเสียงเย็นชาและน่ากลัวของเยี่ยโยวเหยา ดังเข้ามาในหูของซูจิ่นซี เขากดทับซูจิ่นซีไว้บนเตียงอย่างแน่นหนา จนนางไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
ซูจิ่นซีต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าทันทีที่นางอ้าปาก เยี่ยโยวเหยาก็ประกบริมฝีปากของนาง ไม่ให้โอกาสนางได้เอ่ยปากแม้แต่น้อย
จากนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘แควก’ เสื้อผ้าผืนบางบนร่างของนาง ถูกฉีกขาดจนไม่เหลือชิ้นดีภายใต้เงื้อมมือที่โหดร้ายของเยี่ยโยวเหยา
ซูจิ่นซีอยากจะร้องไห้… ออกมาจริงๆ
คนโกหก คนหลอกลวง คนจากแดนสวรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนโกหกทั้งสิ้น
โดยเฉพาะเจ้าอวิ๋นอี้ เขาบอกว่าวรยุทธ์ของนางถึงขั้นเทพยุทธแล้วไม่ใช่หรือ?
แม้แต่เยี่ยโยวเหยาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางไม่ใช่หรือ?
แล้วนี่มันเกิดอันใดขึ้น?
ดูเหมือนเยี่ยโยวเหยาจะคาดเดาได้ถึงสิ่งที่ซูจิ่นซีครุ่นคิดอยู่ในใจ เขายกยิ้มมุมปากชั่วร้าย ทั้งยังกระซิบข้างใบหูของซูจิ่นซีด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยไฟราคะ
“ชายาที่รักอย่าได้คิดมาก วรยุทธ์ของชายาที่รักถึงขั้นเทพยุทธแล้ว ชายาที่รักคงคิดว่าวิชายุทธจิ่วเซียวของข้าถึงขั้นที่เจ็ดเท่านั้น ในขณะที่พลังภายในของชายาที่รักแข็งแกร่งทรงพลัง วรยุทธ์ก้าวไปถึงขั้นเทพยุทธ ทว่าเหตุถึงไม่สามารถรับมือข้าได้ ใช่หรือไม่? ”
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซียังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม เยี่ยโยวเหยาก็กล่าวต่อว่า
“คิดว่าชายาที่รักคงต้องการทราบสาเหตุ มิสู้ให้ชายาที่รักลองเดาดูว่าเป็นเพราะเหตุใด? ”