เล่มที่ 24 เล่มที่ 24 ตอนที่ 715 ชายาที่รักลองเดาดูเองเถิด

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ร่างกายของซูจิ่นซีสั่นเทาอย่างรุนแรง

นางใช้หลังฝ่ามือลอบโจมตีไปที่หน้าอกของเยี่ยโยวเหยา ทว่ากลับถูกเยี่ยโยวเหยาคว้ามือไว้ได้พอดี

จากนั้นนางจึงใช้เท้าเตะเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาก็จับเท้าของนางด้วยมืออีกข้างได้อีก

ซูจิ่นซีร้อนใจและขมวดคิ้วมุ่น นางกระโดดขึ้น ก่อนจะพลิกตัวให้หลุดพ้นจากการควบคุมของเยี่ยโยวเหยา อย่างไรก็ตาม คาดไม่ถึงว่านางยังไม่ทันหลุดพ้น เยี่ยโยวเหยาก็คว้าข้อเท้าทั้งสองของนาง และดึงนางกลับมาแผ่วเบา

ซูจิ่นซีลงมือต่อต้านเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง เยี่ยโยวเหยาเองก็ไม่ออมมือ ส่งผลให้พวกเขาทั้งสองต่อสู้พัวพันกันในห้องนอน

แม่นมฮวากับลวี่หลี รวมถึงเหล่าองครักษ์เงาที่อยู่ด้านนอกไม่รู้ว่าภายในห้องเกิดอันใดขึ้น พวกเขาได้ยินเพียงเสียงตึงตังเท่านั้น

แม่นมฮวารู้สึกเบิกบานใจ จนไม่อาจปิดซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าได้ ทว่านางแสร้งยกมือก่ายหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะดึงตัวลวี่หลีและเดินจากไป

“โอ้ ท่านอ๋องเรานี่จริงๆ เลย เล่นใหญ่ถึงเพียงนี้ พระชายาจะทนไหวได้อย่างไร? ”

ใบหน้าของลวี่หลีปรากฏความกังวล และยิ่งกังวลมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของแม่นมฮวา “อ๋า เช่นนั้นจะทำอย่างไร? ไม่ได้ ข้าต้องไปดู! ”

แม่นมฮวารั้งลี่หลีไว้ รอยยิ้มบนใบหน้าลดลงเล็กน้อย นางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เจ้าจะไปดูอันใด? นางหนู เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถดูได้ทุกเรื่องหรือ? ”

“เอ่อ… แต่ว่า”

“แต่อันใด ไปกับข้า! ”

แม่นมฮวาพูดพลางฉุดมือลวีหลีให้เดินไปด้วยกัน เมื่อสมดั่งใจแล้ว นางยังไม่ลืมหันไปบอกองครักษ์เงาของเยี่ยโยวเหยา

“พวกเจ้าก็เหมือนกัน ไป ไป ไป ทุกคนออกไปให้หมด! อย่ายืนบื้ออยู่ตรงนี้! ”

องครักษ์เงามีหัวหน้าคือจิ้นหนานเฟิง หากไม่ได้รับคำสั่งจากเยี่ยโยวเหยา พวกเขาจะไปได้อย่างไร?

แม่นมฮวามองจิ้นหนานเฟิงด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “จิ้นหนานเฟิง ที่นี่ไม่ใช่เมืองเหยาเฉิงหรือเมืองหลวงแคว้นจงหนิง เจ้าจะปล่อยให้คนเหล่านี้ยืนฟังอยู่ที่นี่ได้หรือ? ”

เรือนหลังเล็กกลางป่าปกปิดเสียงได้ไม่ดีนัก เทียบไม่ได้กับตำหนักในสวนตี้เหมยเมืองเหยาเฉิง และตำหนักฝูอวิ๋นในเมืองหลวง

อย่างไรก็ตาม จิ้นหนานเฟิงยังคงยืนกรานว่าเขาจะไม่จากไปที่ใด

“ในฐานะที่เป็นองครักษ์เงา หน้าที่ของพวกเราคือคุ้มครองความปลอดภัยของนายท่าน เรื่องอื่น… เราไม่ได้ยินอันใดทั้งสิ้น”

แม่นมฮวาเดินไปข้างหน้าและดึงใบหูของจิ้นหนานเฟิง

“เจ้าบอกว่าไม่ได้ยินก็ไม่ได้ยินหรือ? ด้วยฝีมือระดับปลายแถวของเจ้า หากนายท่านทั้งสองตกอยู่ในอันตรายจริง ยังไม่แน่ว่าใครจะปกป้องใคร! ไป ไป ไปกันทุกคน! ”

เหล่าองครักษ์ที่เหลือต่างมองด้วยความตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นลูกพี่ใหญ่จิ้นถูกผู้อื่นดึงหูราวกับกำลังสั่งสอนเด็กเล็ก

ยิ่งไปกว่านั้น ยังดุด่าพวกเขาว่าเป็นพวกฝีมือปลายแถวอีกด้วย

พวกเขาคือยอดฝีมือของวิหารวิญญาณ องครักษ์เงาทุกคนล้วนมีวรยุทธ์สูงส่ง!

คนในวิหารวิญญาณที่สามารถติดตามใกล้ชิดท่านอ๋องได้ ฝีมือย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน ผู้อื่นต่างพากันอิจฉาพวกเขาด้วยซ้ำ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่นมฮวา พวกเขากลับกลายเป็นพวกฝีมือปลายแถว

แน่นอนว่าสิ่งที่แม่นมฮวากล่าวมานั้นไม่ผิดเพี้ยน

องครักษ์เงาเหล่านี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาที่วรยุทธ์รุดหน้าไปอีกระดับขั้นแล้ว ก็นับเป็นเพียงองครักษ์ฝีมือปลายแถวจริงๆ

ภายในห้อง ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาต่อสู้กันหลายสิบกระบวนท่า จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีผู้ใดเพลี่ยงพล้ำ

เยี่ยโยวเหยาคว้าตัวซูจิ่นซีได้ จากนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘แควก’ เสื้อผ้าบนร่างของซูจิ่นซีขาดวิ่น นางรีบเหาะไปยังข้างเตียงอย่างรวดเร็ว และดึงผ้าม่านออกมาพันรอบตัว พลางขมวดคิ้วด้วยความโมโหสุดขีด

“บุรุษเหม็นเน่า ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ ไร้ซึ่งความละอายใจ! ”

เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วอย่างดุดัน ดวงตาดำขลับลึกซึ้งของเขาปรากฏความเย็นชา โกรธเคือง ราคะ ทั้งยังอดกลั้นต่อความปรารถนา อารมณ์ที่แสดงออกมาช่างซับซ้อนอย่างมาก

เขาเหลือบมองเสื้อผ้าบนร่างของตนที่ถูกซูจิ่นซีใช้กรงเล็บฉีกขาด และดูรอยแผลบนหลังมือของตน

“สตรีไร้ยางอาย บ้าคลั่ง หยาบคาย ไร้มารยาท! ”

ความเดือดดาลของซูจิ่นซีพลันปะทุ นางกำลังโกรธจัด

“เยี่ยโยวเหยา ท่านเรียกใครว่าสตรีบ้า ใครกันแน่ที่ไร้ยางอาย? ”

“ซูจิ่นซี ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย มานี่! ไม่เช่นนั้น… ”

บรรยากาศรอบตัวเยี่ยโยวเหยาพลันเย็นยะเยือก เขายื่นมือไปทางซูจิ่นซี แม้เขาจะไม่ได้พูดประโยคสุดท้าย ทว่าบรรยากาศอันตรายกลับชัดเจนอย่างมาก ทั้งยังเป็นคำเตือนที่ดุดันยิ่งนัก

กล่าวตามตรง หัวใจของซูจิ่นซีสั่นเทาเล็กน้อย ทว่าใบหน้ากลับแสดงออกอย่างไม่หวาดกลัว นางเม้มริมฝีปาก พลางเชิดหน้าด้วยความภาคภูมิใจ

“ไม่เช่นนั้นอันใด? เยี่ยโยวเหยา ท่านเป็นบุรุษไร้ยางอาย หากข้าไม่ยอมหลับนอนกับท่าน ท่านคิดจะฆ่าแกงกันเลยหรือ? ”

ดวงตาดำขลับลึกซึ้งของเยี่ยโยวเหยาทวีความเย็นยะเยือก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจต่อ ‘ความเย่อหยิ่งอวดดี’ ในตอนนี้ของซูจิ่นซีอย่างมาก

“ซูจิ่นซี เจ้าเป็นสตรีของข้า ข้ารักและเอ็นดูเจ้ายิ่งนัก จะสังหารเจ้าได้อย่างไร หากเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของข้า อย่างมากที่สุด ข้าก็จะ… ”

เมื่อกล่าวมาถึงประโยคสุดท้าย เยี่ยโยวเหยาก็จงใจหยุดและไม่พูดอันใดต่อ แววตาเฉียบคมของเขามองร่างกายของซูจิ่นซีขึ้นลงด้วยสีหน้าจริงจัง

เห็นได้ชัดว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ทำอันใด ทว่าซูจิ่นซีรู้สึกราวกับเยี่ยโยวเหยากำลังมองทะลุร่างกายของนาง นางหดตัวอย่างไม่สบายใจ พลางเม้มริมฝีปากแน่น และพยายามควบคุมน้ำเสียงของตนเองให้สงบนิ่งเมื่อพูดกับเยี่ยโยวเหยา

“เยี่ยโยวเหยา ท่านจะทำอันใดข้า? ”

เยี่ยโยวเหยาพูดต่อท้ายประโยคก่อนหน้า “ข้าคงจะสังหารเจ้าไม่ลง ทว่าข้าจะฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ แทะกินกระดูกและผิวหนังของเจ้า! ”

ซูจิ่นซีรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว ทว่าเวลานี้ นางไม่อาจแสดงความหวาดกลัวได้

ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงได้หวาดกลัว ตอนที่อยู่ในโลกเขตแดน อวิ๋นอี้เคยบอกกับนางว่าวรยุทธ์ของนางในตอนนี้ถึงระดับเทพยุทธแล้ว ทั้งยังเหนือกว่าเยี่ยโยวเหยาอยู่สองขั้น

ตามหลักการแล้ว เยี่ยโยวเหยาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง

อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีที่ไม่เคยหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งใด กลับรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับเยี่ยโยวเหยา

แต่ถึงกระนั้น ไม่ว่าภายในใจจะหวาดกลัวเพียงใด นางก็ยังแสร้งทำเป็นไม่กลัว

“หึ เยี่ยโยวเหยา ตอนนี้ท่านจับข้าได้หรือไม่ยังไม่แน่! ยังเร็วไปที่จะพูดเช่นนั้น”

“โอ้? ใช่หรือ? ” เยี่ยโยวเหยาเลิกคิ้ว บรรยากาศยิ่งอึมครึมมากขึ้น “ตอนนี้วรยุทธ์ของชายาที่รักก้าวหน้าไปมาก ข้าคงไม่อยู่ในสายตาของชายาที่รักแล้วกระมัง ดูเหมือนว่าข้าต้องแสดงฝีมือให้เจ้าเห็นบ้างแล้ว! ”

ตอนที่พูดคำว่า ‘แสดงฝีมือ’ เยี่ยโยวเหยาเอ่ยเน้นคำนี้อย่างหนักแน่น ซูจิ่นซียังไม่รู้ความหมายแฝงในคำนี้ แต่นางรู้สึกว่ามีเงาดำทะมึนปรากฏผ่านหน้า ซึ่งรวดเร็วมาก รวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ซูจิ่นซีหลบไม่ทัน และไม่มีเวลาให้รับมือ ทำได้เพียงถอยหนีอย่างต่อเนื่อง

‘ตูม’ ร่างของนางกระแทกขอบเตียงและล้มลงบนที่นอน

หลังจากนั้น สิ่งที่อยู่บนเตียงก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และกระจัดกระจายไปรอบทิศทาง ขวางทางหนีทั้งหมดของนาง

ซูจิ่นซีต้องการดิ้นรนให้หลุดพ้น นางตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทว่าผ้าม่านสองสามผืนที่เหลือกลับตกลงมาบดบังสายตาของนาง

“หนีหรือ? ชายาที่รักคิดจะหนีไปที่ใด? ”

น้ำเสียงเย็นชาและน่ากลัวของเยี่ยโยวเหยา ดังเข้ามาในหูของซูจิ่นซี เขากดทับซูจิ่นซีไว้บนเตียงอย่างแน่นหนา จนนางไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

ซูจิ่นซีต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าทันทีที่นางอ้าปาก เยี่ยโยวเหยาก็ประกบริมฝีปากของนาง ไม่ให้โอกาสนางได้เอ่ยปากแม้แต่น้อย

จากนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘แควก’ เสื้อผ้าผืนบางบนร่างของนาง ถูกฉีกขาดจนไม่เหลือชิ้นดีภายใต้เงื้อมมือที่โหดร้ายของเยี่ยโยวเหยา

ซูจิ่นซีอยากจะร้องไห้… ออกมาจริงๆ

คนโกหก คนหลอกลวง คนจากแดนสวรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนโกหกทั้งสิ้น

โดยเฉพาะเจ้าอวิ๋นอี้ เขาบอกว่าวรยุทธ์ของนางถึงขั้นเทพยุทธแล้วไม่ใช่หรือ?

แม้แต่เยี่ยโยวเหยาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางไม่ใช่หรือ?

แล้วนี่มันเกิดอันใดขึ้น?

ดูเหมือนเยี่ยโยวเหยาจะคาดเดาได้ถึงสิ่งที่ซูจิ่นซีครุ่นคิดอยู่ในใจ เขายกยิ้มมุมปากชั่วร้าย ทั้งยังกระซิบข้างใบหูของซูจิ่นซีด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยไฟราคะ

“ชายาที่รักอย่าได้คิดมาก วรยุทธ์ของชายาที่รักถึงขั้นเทพยุทธแล้ว ชายาที่รักคงคิดว่าวิชายุทธจิ่วเซียวของข้าถึงขั้นที่เจ็ดเท่านั้น ในขณะที่พลังภายในของชายาที่รักแข็งแกร่งทรงพลัง วรยุทธ์ก้าวไปถึงขั้นเทพยุทธ ทว่าเหตุถึงไม่สามารถรับมือข้าได้ ใช่หรือไม่? ”

อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซียังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม เยี่ยโยวเหยาก็กล่าวต่อว่า

“คิดว่าชายาที่รักคงต้องการทราบสาเหตุ มิสู้ให้ชายาที่รักลองเดาดูว่าเป็นเพราะเหตุใด? ”