คงเป็นเรื่องแปลก หากเยี่ยโยวเหยาให้โอกาสซูจิ่นซีได้คาดเดา
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจสุดหฤหรรษ์ ซูจิ่นซีหวังว่าชั่วชีวิตนี้ นางจะไม่เคยรู้จักเยี่ยโยวเหยา นางถูกทรมานจนไม่รู้ว่าตนเองหมดสติไปตั้งแต่เมื่อไร พอตื่นขึ้นมาก็เป็นเช้าของวันรุ่งขึ้นแล้ว
ทันทีที่ลืมตา ซูจิ่นซีก็ได้กลิ่นที่คุ้นเคย
แม่นมฮวาแย้มยิ้ม ใบหน้าของนางเบิกบานสุขใจดั่งพระจันทร์เต็มดวง
“แหะ แหะ พระชายา ตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว พลางมองไปยังสำรับอาหารบนโต๊ะ “นั่นคืออันใด? ”
แม่นมฮวามีความสุข ทว่านางยังคงหวาดกลัวเล็กน้อย “แหะ แหะ พระชายา บ่าวจำคำพูดก่อนหน้านี้ของพระองค์ได้! ทว่า… ทว่าครั้งนี้ บ่าวหาได้ทำเองโดยพลการ ท่านอ๋อง เป็นท่านอ๋องที่ให้บ่าวทำน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมเพื่อบำรุงพระวรกายของพระชายาเพคะ”
เมื่อได้ยินว่าเป็นน้ำแกงไก่ตุ๋นโสม ซูจิ่นซีพลันสำลัก นางนอนคว่ำลงที่ขอบเตียงและอาเจียนออกมาอย่างหนัก ผ่านไปสักครู่ อาการจึงกลับมาดีขึ้นอย่างยากลำบาก
เมื่อเงยหน้าขึ้น นางก็เห็นเยี่ยโยวเหยายืนอยู่หน้าประตู จึงคว้าหมอนและเขวี้ยงออกไป
“เยี่ยโยวเหยา ท่านมันบุรุษชั่วร้าย! ”
เยี่ยโยวเหยารับหมอนและส่งสัญญาณให้แม่นมฮวาออกไปก่อน จากนั้นจึงเดินไปหาซูจิ่นซีทีละก้าวและนั่งลงข้างเตียง
“ตอนนี้ร่างกายของเจ้าเสียหายอย่างหนัก หากไม่รีบบำรุงโดยเร็ว เช่นนั้นเมื่อไรจะเดินทางถึงแคว้นจงหนิง? ข้าเองไม่ได้ใส่ใจนัก ทว่าหากต้องการหาวัสดุที่ทำคมกำไลปี่อั้นให้ได้ก่อนต้นฤดูหนาว เกรงว่าคงไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้น”
ซูจิ่นซีขบฟันกรอด นางกำหมัดทุบลงไปที่กลางอกของเยี่ยโยวเหยา
“เยี่ยโยวเหยา ท่านมันคนใจดำอำมหิต ร่างกายของข้าเสียหายอย่างหนักหรือ? ข้าเป็นเช่นนี้ควรโทษผู้ใด? ”
เยี่ยโยวเหยาคว้ามือซูจิ่นซีไว้ได้ทัน พลางขมวดคิ้วเล็กน้อยมองซูจิ่นซี “โทษข้า! ”
แก้มของซูจิ่นซีเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ทว่านางยังคงกัดริมฝีปากตนเองแน่น “เยี่ยโยวเหยา ท่าน… ท่านมันบุรุษหน้าไม่อาย ท่านยังมีหน้ามาพูดอีกหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย และดึงร่างของซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมแขนโดยไม่พูดสิ่งใด
ซูจิ่นซีทุบมืออีกข้างลงบนหน้าอกของเยี่ยโยวเหยา “เสแสร้ง เยี่ยโยวเหยา ท่านมันจอมเสแสร้ง อย่าคิดว่าไม่พูดแล้วข้าจะให้อภัยท่าน! ”
เยี่ยโยวเหยายกยิ้มกว้างมากขึ้น “ชายาที่รักเป็นหนี้ข้าห้าร้อยยี่สิบล้านตำลึง หากไม่พยายาม แล้วเมื่อไรจะชดใช้หมด? ชายาที่รัก ข้าคิดเผื่อเจ้า ทั้งยังหวังดีต่อเจ้า! ”
เยี่ยโยวเหยาพูดพลางขมวดคิ้วมุ่น แสดงท่าทางราวกับเสียเปรียบอย่างมาก ทว่ากลับมีท่าทีไม่ทุกข์ร้อน
“หากชายาที่รักรู้สึกไม่ยุติธรรม เช่นนั้น หลังจากชดใช้เงินห้าร้อยยี่สิบล้านตำลึงครบแล้ว เมื่อเจ้าหลับนอนกับข้าอีก ข้ารับประกันว่าจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี! ”
ดวงตาของซูจิ่นซีเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ นางค่อยๆ เลื่อนสายตาไปมองใบหน้าของเยี่ยโยวเหยา
ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาแสดงออกอย่างคนที่รู้สึกผิดและมีจิตใจยุติธรรม ทั้งยังกะพริบตาให้ซูจิ่นซีด้วยความจริงใจเพื่อยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นคนหลอกลวง
ซูจิ่นซีกัดฟันกรอด นางทุบกำปั้นลงกลางหน้าอกของเยี่ยโยวเหยาอย่างแรง
“คนชั่ว ท่านฝันไปเถิด! ”
เยี่ยโยวเหยาแย้มยิ้ม ก่อนจะดึงซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมกอดโดยไม่พูดสิ่งใด ภายใต้คำพูด ‘โน้มน้าว’ ที่ไร้ยางอายของเยี่ยโยวเหยา ท้ายที่สุดแล้ว ซูจิ่นซีก็ดื่มน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมที่ทำให้นางรู้สึกพะอืดพะอมจนหมด หลังจากพักผ่อนไปหนึ่งวันเต็ม เช้าวันถัดมา ทุกคนจึงออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังแคว้นจงหนิง
มู่หรงฉีพาทหารของสกุลมู่หรงค้นหาที่ก้นหน้าผาอยู่สามวันสามคืน ทว่าไม่พบซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา
ไม่พบทั้งคนและศพ
จนกระทั่งวันที่สาม มู่หรงอ้าวเทียนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
“หน้าผาสูงชันถึงเพียงนี้ หากตกลงไปจะรอดชีวิตได้อย่างไร? ทั้งป่ารกชัฏที่ตีนหน้าผายังมีสัตว์ร้ายมากมาย นี่ผ่านมาสามวันแล้ว ต่อให้ศพตกลงไปที่ตีนหน้าผา ก็เกรงว่าคงถูกสัตว์ร้ายกินไปหมดแล้ว ฉีอ๋อง อย่าเศร้าโศกไปเลย ฉางอันกงจู่สำคัญ ทว่าสงครามระหว่างสองแคว้นก็ใกล้เข้ามาเช่นกัน พวกเราไม่ควรเสียเวลาอยู่ที่นี่อีก ต้องรีบกลับไปโดยเร็ว หากกองทัพโยวอ๋องฉวยโอกาสนี้แก้แค้นให้โยวอ๋อง บุกโจมตีเมืองหม่านเยวี่ย ความเสียหายคงใหญ่หลวง! ”
มู่หรงฉีนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามของมู่หรงอ้าวเทียน เขาสั่งให้ทหารบางส่วนค้นหาในป่า ส่วนทหารที่เหลือไปค้นหาตามทะเลสาบด้านล่างหน้าผา
ทั้งยังออกคำสั่งขั้นเด็ดขาดว่าจะต้องหาโยวอ๋องและฉางอันกงจู่ให้พบ
ต้องพบคน ถึงตายก็ต้องพบศพ
มู่หรงอ้าวเทียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจัดทหารบางส่วนให้เจ้าเมืองหม่านเยวี่ย ส่วนเขาก็กลับไปปกป้องเมืองหม่านเยวี่ยก่อน
ทันทีที่มู่หรงอ้าวเทียนพาคนเดินทางกลับไป องครักษ์เงาของมู่หรงฉีก็เหาะลงมาเบื้องหน้าเขา
“เป็นอย่างไร? ” มู่หรงฉีถาม
“ทูลท่านอ๋อง โยวอ๋องและฉางอันกงจู่ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกเขามุ่งหน้าไปเมืองหลวงแคว้นจงหนิง เพิ่งออกเดินทางเมื่อเช้านี้”
หลังจากซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาตกลงมาจากหน้าผา วันถัดมา องครักษ์เงาของมู่หรงฉีก็พบร่องรอยของพวกเขาอยู่ห่างออกไปห้าลี้ ทว่าเนื่องจากมู่หรงอ้าวเทียนและเจ้าเมืองหม่านเยวี่ยอยู่ด้วย เขาจึงไม่ได้แพร่งพรายออกไป
“ท่านอ๋อง สั่งให้คนของเราตามไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”
“ไม่ต้อง! ”
เยี่ยโยวเหยาเป็นคนเช่นไร?
ผู้ใดอยากไล่ตามก็ตามได้อย่างนั้นหรือ?
นอกจากนี้ เขายังรู้นิสัยของซูจิ่นซีเป็นอย่างดี ในเมื่อนางยืนหยัดจะอยู่เคียงข้างเยี่ยโยวเหยาแล้ว ทั้งชีวิตนี้ นางย่อมเป็นคนของเยี่ยโยวเหยา
ไม่ต้องพูดถึงบัญชีแค้นระหว่างสองตระกูล แม้ภูเขาจะกลายเป็นพื้นราบ สวรรค์กับโลกบรรจบเข้าหากัน นางก็ไม่มีวันเปลี่ยนความเชื่อของตนเอง
มู่หรงฉีมองไปยังทิศทางของเมืองหลวงแคว้นจงหนิง พลางยกยิ้มมุมปาก ปรากฏเป็นรอยยิ้มที่น่ามองยิ่งนัก
เกิดเป็นเชื้อพระวงศ์ไม่อาจทำตามใจตนเอง โดยเฉพาะการเกิดเป็นเชื้อพระวงศ์ในยุคสมัยที่วุ่นวาย เรื่องของความรู้สึกยิ่งไม่สามารถเลือกเองได้
ทว่าซูจิ่นซียอมให้ตนเองได้ทำตามใจอย่างอิสระ
ในฐานะที่เป็นพี่ชายคนโต แม้เขาจะไม่สามารถทำอันใดเพื่อน้องสาวผู้นี้ได้ ทว่าเขาปรารถนาเพียงนางได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสันติก็เพียงพอแล้ว
เขาเพียงปรารถนาให้โยวอ๋องปกป้องนางจากอันตรายและความยากลำบากด้วยชีวิต
“เขียนจดหมายกลับไปยังเมืองเย่หลิน ขณะที่กงจู่กับโยวอ๋องกำลังหารือเรื่องสำคัญทางการทหาร ทั้งสองเกิดพลัดตกหน้าผา ข้าให้คนค้นหาใต้หน้าผาอยู่สามวันสามคืน ทว่ากลับไร้ผล ตอนนี้กงจู่และโยวอ๋องหายสาบสูญไร้ร่องรอย อย่างไรก็ตาม หากไม่พบศพของพวกเขา ข้าจะไม่มีวันถอดใจ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
องครักษ์เงาตอบรับคำ มู่หรงฉีค่อยๆ เลื่อนสายตามองไปยังทิศทางตรงกันข้าม
นั่นคือทิศทางของแคว้นตงเฉิน
ขณะที่แคว้นจงหนิงกับแคว้นหนานหลีทำสงครามกัน แคว้นตงเฉินได้ส่งทหารมาฉวยโอกาสโจมตีแคว้นหนานหลี ทั้งยังฉวยโอกาสกอบโกยผลประโยชน์จากแคว้นจงหนิงอีกด้วย
ส่วนผู้นำทัพคือรัชทายาทตงเฉิน ตงหลิงหวง
สามวันต่อมา เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีเดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นจงหนิง หลังจากห่างหายไปนาน พวกเขาตรงไปยังจวนโยวอ๋อง เรือนชิงโยว และตำหนักฝูอวิ๋น
เมื่อรถม้าของทั้งสองมาถึงหน้าประตูเมือง ขุนนางมากมายต่างมารอต้อนรับอยู่ด้านหน้าประตูเมือง ขณะเดียวกัน คนที่มาพร้อมขุนนางยังมีซูอวี้ผู้นำสกุลซู และฮูหยินปี้
รถม้าของพวกเขาทั้งสองไม่ได้หยุดอยู่ที่หน้าประตูเมือง ทว่าตรงเข้าไปในตัวเมืองทันที
ยามที่รถม้าวิ่งผ่านซูอวี้ ซูจิ่นซีจงใจเปิดผ้าม่านรถม้าและมองออกไปด้านนอก
นางพบว่าซูอวี้สวมชุดขุนนาง ทั้งยังมีท่าทางนอบน้อมถ่อมตน ท่าทางของเขาเหมือนกับคนผู้หนึ่ง อวิ๋นจิ่น อดีตหัวหน้าสำนักหมอหลวง
ซูจิ่นซีแย้มยิ้มให้ซูอวี้ด้วยความสงสัย ก่อนจะปล่อยม่านรถม้าลง
เยี่ยโยวเหยาสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ เขากำลังจดจ่ออยู่กับการอ่านจดหมาย ไม่ได้สนใจสิ่งอื่น
ทว่าซูจิ่นซีอดถามไม่ได้ “อวี้เอ๋อร์เป็นขุนนางในราชสำนักตั้งแต่เมื่อไร? ท่านประทานยศให้หรือ? ”