เยี่ยโยวเหยาไม่ได้เงยหน้า “หลายวันก่อน ราชสำนักคัดเลือกคนเก่งเป็นขุนนาง กรมขุนนางได้ส่งหนังสือแนะนำหวังข่าย ข้ารู้อุปนิสัยและความสามารถของเขาจึงไม่ได้ปฏิเสธ และให้เขาติดตามหวังข่ายไปอยู่กรมขุนนางก่อน”
อุปนิสัยและความสามารถของซูอวี้นั้นไม่ต้องพูดให้มากความ ทว่าจุดแข็งของเขาไม่ใช่งานด้านราชสำนัก ทว่าเป็นด้านวิชาแพทย์
เขาเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในวงการแพทย์ หากต้องเป็นขุนนาง ให้เขาเข้าสำนักหมอหลวงคงดีกว่า ให้อยู่กรมขุนนางเช่นนี้ นับเป็นการใช้คนเก่งไม่ตรงกับความสามารถกระมัง?
เด็กผู้นี้กำลังคิดอันใดอยู่?
เยี่ยโยวเหยาราวกับเข้าใจความสงสัยของซูจิ่นซี
“ซูอวี้มีความคิดเป็นของตนเอง หากเจ้าไม่ให้เขาลองดู เช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาสามารถเดินบนเส้นทางขุนนางได้ไกลเพียงใด? ”
เห็นได้ชัดว่าเยี่ยโยวเหยาพึงใจในตัวซูอวี้
เมื่อเยี่ยโยวเหยาพูดเช่นนั้น ซูจิ่นซีจึงไม่พูดอันใดอีก
ไม่ต้องพูดให้มากความ
ตลอดทาง รถม้าไม่ได้หยุดพักและตรงไปที่จวนโยวอ๋องทันที ขุนนางหลายคนอาศัยจังหวะนี้มารับเสด็จซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา ทว่าทุกคนต่างถูกเยี่ยโยวเหยาปฏิเสธ
ภายในเรือนชิงโยวยังคงสะอาดและเงียบสงบ ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
สมุนไพรที่ซูจิ่นซีปลูกไว้ที่หน้าประตูเรือนอวิ๋นไค ดูเติบโตและแข็งแรงขึ้นมาก ที่ตำหนักฝูอวิ๋น กระถางต้นฮูเตี๋ยหลานที่ซูจิ่นซีมอบให้เยี่ยโยวเหยา ดูเจริญเติบโตงดงามยิ่งนัก
เวลานี้เป็นช่วงพลบค่ำ ภาพพระอาทิตย์ตกเหนือเรือนชิงโยว ช่างเป็นทัศนียภาพที่งดงามที่สุดบนโลกใบนี้ ทั้งยังงดงามตลอดจนทุกวันนี้
เมื่อเดินมาถึงเรือนชิงโยว ซูจิ่นซีจึงมองด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
เยี่ยโยวเยาเข้ามาจับมือซูจิ่นซี และพาเดินเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋นพร้อมกัน ทั้งเขายังกำชับให้แม่นมฮวาและลวี่หลีเตรียมน้ำร้อน
เมื่อรู้ว่าซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยากลับมา พ่อบ้านได้เตรียมการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งยังสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำร้อนไว้อาบ และจัดเตรียมสำรับเย็นไว้ต้อนรับ
ซูจิ่นซีมองลวี่หลีพาคนไปเติมน้ำในอ่างขนาดใหญ่ที่ตำหนักฝูอวิ๋นจนหมอกลอยฟุ้งขึ้นมา ก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“เยี่ยโยวเหยา ข้าไปอาบที่เรือนอวิ๋นไคก่อนดีกว่า! ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้ว และออกแรงบีบมือซูจิ่นซีเล็กน้อย
“เป็นอันใด? แต่งกับข้ามานานถึงเพียงนี้แล้ว มีผิวกายส่วนใดบ้างที่ข้าไม่เห็น? หรือว่าเจ้ายังเขินอายอยู่อีก? ”
แก้มของซูจิ่นซีเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ นางชำเลืองมองทุกคนที่กำลังยุ่งอยู่
แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าสร้างปัญหาต่อหน้าเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี แม้ในใจจะคิดสิ่งใดก็ไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า
อย่างไรก็ตาม ยังมีแม่นมฮวาและลวี่หลีที่หาได้สงบจิตสงบใจ
สามารถจินตนาการได้เลยว่า เพียงได้ยินประโยคนี้ แม่นมฮวาสตรีเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์คงเผยรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้า
ลวี่หลีที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกเขินอายยิ่งกว่าซูจิ่นซี แก้มของนางแดงก่ำยิ่งกว่าซูจิ่นซีเสียอีก
ซูจิ่นซีฟาดแขนใส่เยี่ยโยวเหยาอย่างแรง ก่อนจะส่งสายตาบอกเขาว่ายังมีผู้อื่นอยู่ “เยี่ยโยวเหยา ท่านพูดจาเหลวไหลอันใด? ”
ทว่าน่าสงสาร ตั้งแต่ที่เยี่ยโยวเหยา บุรุษผู้บริสุทธิ์ดั่งภูเขาน้ำแข็งพันปีได้ลิ้มลองเนื้อสัตว์ หลังจากทานมังสวิรัติมาโดยตลอด เขาจึงไม่สนใจว่าข้างกายจะมีผู้ใดบ้าง
เยี่ยโยวเหยาจงใจแสร้งทำหูทวนลม เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย
“โอ้? พระชายาหมายความว่าอย่างไร? ไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพูดหรือ? หากชายาที่รักไม่เชื่อ เย็นนี้ข้าจะแสดงให้เห็นและ พิสูจน์ให้ชายาที่รักดูว่า… ข้าคุ้นเคยกับร่างกายทุกสัดส่วนของชายาที่รักแล้ว”
ซูจิ่นซีกัดฟันกรอด ทว่าใบหน้ากลับแย้มยิ้มสดใส
เชื่อ ข้าเชื่ออย่างที่สุด! เชื่อจนไม่รู้จะเชื่ออย่างไรแล้ว!
“ท่านอ๋อง พวกเรารีบเร่งเดินทางมาสามวันสามคืน เชื่อว่าท่านอ๋องคงเหนื่อยอย่างมาก! หากคืนนี้ยังรบกวนท่านอ๋องอีก เช่นนั้น ข้าคงไม่เหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาแล้ว
ท่านอ๋องคิดเห็นอย่างไร? ”
แววตาของเยี่ยโยวเหยาทอประกายชั่วร้าย เขาเชยคางของซูจิ่นซีเล็กน้อย “ข้าไม่เหนื่อย! ”
ซูจิ่นซีแสร้งทำท่าทางเป็นกังวล
“ต่อให้ท่านอ๋องไม่เหนื่อย ทว่าระหว่างทางมีสายตามากมายคอยเฝ้ามอง! นอกจากนั้น ด้านนอกยังมีองครักษ์เงาคอยจับจ้อง ท่านอ๋องคงไม่ต้องการให้หม่อมฉันแบกรับชื่อเสียงด้านลบให้ผู้คนกร่นด่ากระมัง? ”
ไม่พูดไม่ได้ว่าฝีมือด้านการแสดงของซูจิ่นซีนั้นยอดเยี่ยมอย่างมาก ขณะที่พูด ใบหน้าของนางไม่เหมือนเสแสร้งแม้แต่น้อย ทว่ากลับดูสมจริงอย่างมาก ราวกับนางกังวลจริงๆ ว่าตนจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพระชายาที่ทำลายบ้านเมือง
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วมุ่น
“ได้ยินเช่นนี้ สิ่งที่ชายารักกล่าวมาก็มีเหตุผล ทว่าชายาที่รัก ข้าไม่อาจห่างจากเจ้าแม้เสี้ยววินาที เช่นนั้น ข้าควรทำอย่างไร? ”
ซูจิ่นซีกัดฟันกรอด
เยี่ยโยวเหยา ท่านมันเสแสร้ง!
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซียังคงแย้มยิ้ม เมื่อเห็นว่าพวกบ่าวเติมน้ำร้อนเสร็จแล้ว ซูจิ่นซีจึงพยายามสลัดมือเยี่ยโยวเหยาออกสุดแรง
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ไปที่ใดแน่นอนเพคะ! ท่านอ๋องไปอาบน้ำก่อนเถิด หม่อมฉันจะไปชงชาร้อนให้ท่าน และจะไปดูในโรงครัวว่ามีของว่างอันใดบ้าง”
ทันทีที่มือของนางหลุดจากการจับกุม เยี่ยโยวเหยาก็ดึงกลับมาอย่างแรง
ซูจิ่นซีเสียการทรงตัวและล้มลงไปในอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาฉวยโอกาสกอดซูจิ่นซีและทิ้งตัวลงไปในอ่างอาบน้ำ ข้างหูเป็นเสียงทุ้มต่ำของเยี่ยโยวเหยา เขากล่าวคำพูดอบอุ่นที่สามารถทำให้หูของนางตั้งท้องได้
“เรื่องยกน้ำชาหรือชงชาให้บ่าวรับใช้จัดการ ข้าไม่ได้อภิเษกกับชายาที่รักเพื่อให้ชายาที่รักมาทำเรื่องพวกนี้”
ผิวน้ำกระเพื่อม ขอบอ่างน้ำมีน้ำกระเซ็นออกมาอย่างแรง เมื่อลวี่หลี แม่นมฮวา และคนอื่นๆ เห็นก็รีบสาวเท้าเดินออกไปอย่างไว
การตกลงมาในอ่างอาบน้ำอย่างกะทันหัน ทำให้ซูจิ่นซีไม่สามารถลืมตาได้ชั่วครู่
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีจึงผ่อนคลายลงบ้าง ครั้งนี้นับว่าหาได้ยากยิ่งที่เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ฉวยโอกาสทำอันใด
ซูจิ่นซีตะกายขึ้นมาจากผิวน้ำ นางพยายามซ่อนตัวในตำแหน่งที่คิดว่าปลอดภัย ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “เยี่ยโยวเหยา เมื่อ… เมื่อครู่ท่านพูดอันใด? ”
หากคิดว่าครั้งนี้เยี่ยโยวเหยาจะปล่อยนางไปด้วยความสงสาร นางคงคิดเข้าข้างตนเองมากเกินไปแล้ว
เมื่อครู่ที่นางถามออกไป นางเห็นความอันตรายและไฟราคะที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในดวงตาของเยี่ยโยวเหยาอย่างชัดเจน
โดยไม่รอให้ซูจิ่นซีตอบโต้อันใด เยี่ยโยวเหยาก็รีบพุ่งตัวเข้ามาราวกับหมาป่า และคว้าข้อเท้าของซูจิ่นซีที่อยู่ใต้น้ำ
ท่ามกลางความตกใจของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาดึงซูจิ่นซีลงไปในน้ำลึก
เพื่อกันไม่ให้ตนเองสำลักน้ำ ซูจิ่นซีจึงไม่กล้าหายใจแรง นางไม่กล้าอ้าปากตะโกน และไม่กล้าออกแรงขัดขืนมากเกินไป
ชีวิตก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีอาศัยอยู่ทางตอนเหนือ โดยพื้นฐานแล้ว นางว่ายน้ำไม่เป็น ยิ่งไปกว่านั้น จากประสบการณ์ครั้งก่อนได้สอนซูจิ่นซีว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีวิธีใดดีไปกว่าการยอมเชื่อฟัง
ยิ่งขัดขืนมากเท่าไร ก็ยิ่งลำบากมากเท่านั้น ซูจิ่นซีอยู่ใต้น้ำ มองแสงเงาบนผิวน้ำที่ราวกับคลื่น ผ้าม่านยาวบนผิวน้ำกลายเป็นภาพสะท้อนอันวิจิตรงดงาม นางลอบสาบานอยู่ในใจ
เยี่ยโยวเหยา หากกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง หากเลือกกลับชาติมาเกิดได้ ข้า ซูจิ่นซีจะเป็นบุรุษและให้ท่านเป็นสตรี ข้าจะเอาคืนในทุกสิ่งที่ท่านทารุณกับข้า
อืม ทารุณกลับคืนอย่างโหดเหี้ยม!
……
ยามค่ำคืน ภายในตำหนักฝูอวิ๋นมีไอน้ำและม่านหมอก แสงไฟสว่างเจิดจ้า ผ้าม่านยาว จนกระทั่งกลางดึก ไฟตะเกียงจึงดับลง
นางกำนัลที่ดูแลการอาบน้ำของโยวอ๋อง คอยปรนนิบัติจนถึงกลางดึกกว่าจะได้พักผ่อน
วันรุ่งขึ้น โยวอ๋องตื่นบรรทมตามปกติ หลังจากชำระพระวรกายและเสวยพระกระยาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว จึงจัดการกับจดหมายที่ราชสำนักส่งมาให้
พระชายาโยวอ๋องบรรทมจนถึงเที่ยงวัน หลังเสวยมื้อเช้ารวบมื้อกลางวันเสร็จแล้ว พ่อบ้านก็เข้ามารายงาน
“พระชายา ใต้เท้าซูขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ! ”
ซูอวี้เป็นขุนนางในราชสำนัก พ่อบ้านจึงเรียกซูอวี้ว่าใต้เท้าซู
ซูอวี้มาทำอันใดในเวลานี้?
อย่างไรก็ตาม เป็นเวลาที่ประจวบเหมาะพอดี