ซูจิ่นซีนั่งลงที่ศาลาร่มเย็นกลางจวน ก่อนจะให้พ่อบ้านเชิญซูอวี้เข้ามา
วันนี้ซูอวี้สวมชุดสีน้ำเงินคราม เส้นผมสีดำขลับประดับด้วยหยกขาว รวมๆ แล้วดูมีชีวิตชีวา การแต่งกายเช่นนี้ทำให้เขาดูมีรูปลักษณ์มั่นคงนุ่มลึกมากขึ้นไปอีก
เมื่อซูอวี้เข้ามาก็ทำความเคารพซูจิ่นซีด้วยกิริยาท่าทางนอบน้อม มารยาทสมบูรณ์แบบ “ข้าน้อยซูอวี้ คำนับพระชายา”
ถึงแม้ซูจิ่นซีจะรู้สึกไม่ชินนัก ทว่านางยังตอบรับการคำนับของซูอวี้ตามมารยาท
“ไม่ต้องมากพิธี! ”
ซูอวี้ลุกขึ้นพลางแย้มยิ้มอ่อนโยนให้ซูจิ่นซี และพูดว่า “ครั้งล่าสุดที่พบกัน พี่จิ่นซีเข้าร่วมการแข่งขันซิ่งหลินที่แคว้นหนานหลี หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบท่านพี่อีกเลย หลายวันมานี้ ท่านพี่สบายดีหรือไม่? ”
แสงอาทิตย์เจิดจ้าส่องกระทบไปทั่วร่างของซูอวี้ ท่ามกลางแสงอาทิตย์นั้น ซูจิ่นซีรู้สึกว่าซูอวี้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางดูเหมือนอวิ๋นจิ่นมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามที่เขาเงยหน้าขึ้นมามองนางด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ราวกับว่าอวิ๋นจิ่นกำลังยืนอยู่ตรงหน้านาง
ซูจิ่นซีจำได้เลือนรางว่าเคยไหว้วานให้จิ่วหรงสอนวิชาแพทย์ให้ซูอวี้
นางรินชาใส่ถ้วยและวางลงตรงข้าม ส่งสัญญาณให้ซูอวี้นั่งลงสนทนากัน
ซูอวี้นั่งลงตรงข้ามซูจิ่นซีด้วยท่าทางผ่อนคลาย
“เมื่อก่อนข้าจำได้ว่าเคยขอให้คุณชายจิ่วสอนวิชาแพทย์ให้เจ้า ทั้งยังให้เขารับเจ้าเป็นศิษย์ เขาได้สอนอันใดเจ้าบ้างหรือไม่? ”
“หลังจากท่านพี่พูดในครั้งนั้น คุณชายจิ่วก็มาที่จวนสกุลซูเดือนละครั้งเพื่อสอนวิชาแพทย์ให้อวี้เอ๋อร์ ทั้งยังสอนแบบแผนของคนสมัยก่อนอีกด้วย”
มิน่า!
คิดว่าที่ซูอวี้ในยามนี้มีนิสัยเหมือนอวิ๋นจิ่น ก็เพราะเรียนรู้มาจากจิ่วหรง
ทั้งสองอยู่ด้วยกันมานาน ซูอวี้จึงซึมซับรูปแบบความเข้มงวดมาจากอวิ๋นจิ่นโดยไม่รู้ตัว
ซูอวี้เห็นซูจิ่นซีนิ่งเงียบไป ไม่รู้ว่านางกำลังครุ่นคิดสิ่งใด เขาจึงพูดเสริมว่า “พี่จิ่นซี อวี้เอ๋อร์อยากเป็นศิษย์ท่านอาจารย์ ทว่าคุณชายจิ่วปฏิเสธทุกครั้ง คุณชายจิ่วบอกว่าชีวิตนี้ เขารับศิษย์เพียงคนเดียว ทั้งยังรับศิษย์ผู้นั้นเข้าสำนักแล้ว ไม่สามารถรับศิษย์คนอื่นได้อีก”
หัวใจของซูจิ่นซีพลันเจ็บปวด นางรู้ดีว่าศิษย์ผู้นั้นที่จิ่วหรงพูดถึงคือใคร
“ในเมื่อเขาไม่ยอมรับเจ้าเป็นศิษย์ก็ช่างเถิด เพียงสอนวิชาแพทย์ให้เจ้าก็ถือว่าจริงใจมากแล้ว แม้ไม่มีสถานะศิษย์อาจารย์ ทว่าในใจของเจ้าต้องปฏิบัติต่อคุณชายจิ่วเป็นดั่งอาจารย์ เป็นอาจารย์เพียงหนึ่งวัน นับเป็นอาจารย์ชั่วชีวิต ไม่อาจลืมเลือนบุญคุณ! ”
“ท่านพี่วางใจ แม้คุณชายจิ่วจะปฏิเสธรับอวี้เอ๋อร์เป็นศิษย์อยู่หลายครั้ง ทว่าในใจอวี้เอ๋อร์นั้นถือว่าคุณชายจิ่วเป็นดั่งอาจารย์ของตนแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี! ”
จากนั้น ซูจิ่นซีจึงถามขึ้นอีกครั้ง “เกิดอันใดขึ้น เหตุใดเจ้าจึงไปอยู่กรมขุนนาง? เจ้าเข้าไปในราชสำนักได้อย่างไร? กิจการของสกุลซูเล่า เจ้าจัดการอย่างไร? ”
เมื่อพูดถึงเรื่องรับตำแหน่งขุนนาง ท่าทางของซูจิ่นซีก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง
เดิมทีซูอวี้กำลังจะเอ่ยปากพูด ทว่าเมื่อเห็นแม่นมฮวาเดินเข้ามาเติมชา เขาจึงหยุดชะงัก
รอจนแม่นมฮวาออกไปแล้ว จึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “พี่จิ่นซี ความจริงแล้ว นี่เป็นสิ่งที่อวี้เอ๋อร์ต้องการทำมานาน เพียงแต่ก่อนหน้านี้ กิจการของสกุลซูรัดตัวมาก ทำให้ไม่มีเวลาปลีกตัวออกมา
ยามนี้มีเวลาว่าง ข้าจึงเลือกคนที่มีความสามารถจำนวนสองคนจากสาขาสกุลซูมาช่วยดูแลกิจการ ทั้งยังมีมารดาคอยช่วยเหลือ คงไม่มีเรื่องผิดพลาดอันใด เรื่องของสกุลซูนั้น ท่านพี่โปรดวางใจ”
อธิบายมาเสียยาวเหยียด ซูอวี้พูดเพียงว่ากิจการของสกุลซูได้รับการจัดการอย่างดี ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดอันใด และให้ซูจิ่นซีวางใจ
ทว่าเขายังไม่ได้อธิบายให้ชัดเจนว่า เหตุใดจึงต้องการเข้าราชสำนักเพื่อรับตำแหน่งขุนนาง
ส่วนเรื่องที่เขาพูดว่าต้องการรับตำแหน่งขุนนางมานานแล้ว ซูจิ่นซีไม่มีทางเชื่อโดยเด็ดขาด
หากเป็นเช่นนั้นจริง ก่อนหน้านี้ซูอวี้คงไม่มีทางลงทุนลงแรง และเสียเวลามากมายเพื่อร่ำเรียนวิชาแพทย์ ทั้งเขาคงไม่มีทางประสบความสำเร็จในวงการแพทย์อย่างน่าเหลือเชื่อเป็นแน่
สำหรับเหตุผลที่แท้จริงนั้น ซูจิ่นซีรู้ดีว่าในเมื่อซูอวี้ไม่ต้องการพูด ต่อให้นางซักไซ้อย่างไรก็คงไม่ได้คำตอบกลับมา
ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำเมื่อครู่ชัดเจนแล้ว เขาจงใจเลี่ยงผู้คนในจวนโยวอ๋อง เกรงว่าคงไม่สะดวกหากพูดเรื่องเหล่านั้นที่นี่ นางจึงไม่ถามให้มากความอีก
ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องอื่น ซูอวี้ถามว่าต้องการให้เขาพาคนทั้งสองจากสาขาย่อยของสกุลซูที่ได้รับแต่งตั้ง มาให้นางดูตัวหรือไม่
ซูจิ่นซีคิดว่าซูอวี้โตแล้ว ทั้งข้างกายยังมีฮูหยินปี้คอยช่วยเหลือ นางเป็นพี่สาวที่แต่งออกเรือน ไม่ช้าก็เร็วต้องปล่อยวางอำนาจ หากกังวลมากไปคงไม่ใช่เรื่องดี นางจึงปฏิเสธไป
ซูอวี้และซูจิ่นซีคุยกันเรื่องในราชสำนักอีกสักครู่ จากนั้นซูอวี้ก็ขอตัวกลับ
ก่อนจากไป ซูจิ่นซีต้องการถามซูอวี้เกี่ยวกับเรื่องระหว่างเขาและหลานเยวี่ยหลี
อย่างไรก็ตาม เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก ซูจิ่นซีกลับกลืนมันลงไป
แม้ไม่ได้ติดต่อกันมากนัก ทว่าซูจิ่นรู้เรื่องระหว่างพวกเขาเป็นอย่างดี
เกรงว่าจะเป็นเทพธิดามีใจรักใคร่ แต่อ๋องเซียงกลับไม่มีใจก็เท่านั้น!
ช่างน่าสงสารหลานเยวี่ยหลี แม่นางผู้แสนดี
ก่อนมาถึงเมืองหลวง เยี่ยโยวเหยาได้สั่งให้คนไปตามหาช่างฝีมือแซ่ต้วนผู้นั้น ไม่นานก็ทราบที่อยู่ของเขาอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ทราบข่าว ซูจิ่นซีก็เดินทางไปยังที่พักของช่างฝีมือแซ่ต้วนพร้อมกับเยี่ยโยวเหยา
เป็นเวลากว่าห้าร้อยปีแล้ว นับตั้งแต่สมัยของรัชทายาทหมิงเต๋อแห่งต้าฉิน แน่นอนว่าช่างฝีมือแซ่ต้วนในปีนั้นไม่มีชีวิตอยู่แล้ว คนที่ยังอยู่เป็นเพียงลูกหลานของเขาเท่านั้น
ตระกูลของช่างฝีมือต้วนอาศัยอยู่ในป่านอกเมืองหลวงที่อยู่ไกลออกไป เวลานี้พวกเขาไม่ได้โดดเด่นเหมือนบรรพบุรุษในอดีต คนทั้งครอบครัวอาศัยอยู่ในชนบทและทำอาชีพค้าขาย
เมื่อทราบฐานะของเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี ครอบครัวของช่างฝีมือแซ่ต้วนจึงให้การต้อนรับพวกเขาทั้งสองอย่างกระตือรือร้น
ซูจิ่นซีไม่ได้อ้อมค้อม นางพูดเข้าประเด็นทันที
นางแสดงกำไลปี่อั้นบนข้อมือให้ช่างฝีมือต้วนดู “อาจารย์ต้วน ท่านจำสร้อยข้อมือนี้ได้หรือไม่? ”
ทันทีที่เห็นกำไลบนแขนของซูจิ่นซี ช่างฝีมือต้วนก็ตกใจเล็กน้อย ดวงตาของเขาทอประกาย และถามด้วยความตื่นเต้น “ฮูหยินท่านนี้โปรดรอสักครู่ ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
ช่างฝีมือต้วนกลับมาพร้อมพิมพ์เขียวหนึ่งแผ่น ท่าทางของเขายังคงตื่นเต้นอย่างมาก ก่อนจะส่งพิมพ์เขียวให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีเปิดออกดู ภาพวาดบนพิมพ์เขียวคืออาคมกำไลปี่อั้นของนาง
นางสบตากับเยี่ยโยวเหยา และรีบถามช่างฝีมือต้วน “ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่ากำไลวงนี้ทำมาจากวัสดุใด? ”
ช่างฝีมือต้วนอธิบายให้ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาฟังอย่างละเอียด
“กำไลวงนี้เรียกว่าอาคมกำไลปี่อั้น เมื่อห้าร้อยปีก่อน บรรพบุรุษของข้าทำขึ้นถวายแด่รัชทายาทหมิงเต๋อ ส่วนวัสดุที่ทำ… กำไลที่คนสกุลต้วนทำทั้งหมดล้วนมีบันทึกไว้ อาคมกำไลปี่อั้นนี้ ข้าเคยได้ยินท่านปู่พูดถึง ทั้งยังจำวัสดุที่บรรพบุรุษใช้ทำในตอนนั้นได้”
“เป็นวัสดุอันใด? ” ซูจิ่นซีถาม
“เป็นทองอมฤต ไม้อมฤต น้ำอมฤต ไฟอมฤต และดินอมฤต รวมกับวิชาเล่นแร่แปรธาตุ และใช้เตาหลอมขั้นห้าหลอมรวมพลังหยินหยาง”
เตาหลอมขั้นห้าที่หลอมรวมพลังหยินหยาง ซูจิ่นซีก็มีเช่นเดียวกัน นั่นคือเตาหลอมเฟิ่งอี๋
ทว่าทองอมฤต น้ำอมฤต ไฟอมฤต ดินอมฤตคืออันใด?
ทั้งยังมีวิชาเล่นแร่แปรธาตุที่ซูจิ่นซีไม่เคยได้ยินมาก่อน
ซูจิ่นซีถามช่างฝีมือต้วนด้วยความสงสัย
ช่างฝีมือต้วนส่ายศีรษะ
“ข้าก็ไม่รู้ ตอนนั้นข้าก็ถามท่านปู่ด้วยความสงสัยเช่นกัน ท่านปู่บอกว่าเขาเองก็ไม่รู้ ดังนั้นตลอดร้อยปีที่ผ่านมา แม้คนสกุลต้วนจะทราบถึงความพิเศษของกำไลข้อมือวงนี้ รวมถึงวัสดุที่ใช้ทำกำไล แต่กลับไม่เคยเห็นกำไลข้อมือวงนี้มาก่อน และไม่รู้ว่าวัสดุที่ใช้ทำกำไลวงนี้มีหน้าตาอย่างไร”
ช่างฝีมือต้วนพูดพลางมองอาคมกำไลปี่อั้นบนข้อมือขวาของซูจิ่นซีอย่างละเอียด
“วันนี้ได้เห็นอาคมกำไลปี่อั้น ชีวิตนี้ข้าตายก็ไม่เสียใจแล้ว กำไลข้อมือนี้ทำออกมาได้อย่างวิจิตรประณีต เพียงมองดูก็รู้แล้วว่าฝีมือของบรรพบุรุษเหนือกว่าข้ามาก ไม่มีทางเทียบชั้นได้เลย”
ช่างฝีมือต้วนพูดด้วยแววตาที่ทอประกายความเศร้าโศก
คิดดูแล้ว เขาชื่นชมในสติปัญญาและงานฝีมือของบรรพบุรุษตนเองจริงๆ
นอกจากนั้น เขาไม่รู้ว่าทองอมฤต น้ำอมฤต ไฟอมฤต ดินอมฤต แท้จริงแล้วคือสิ่งใด