ภาคที่ 5 บทที่ 35 ทิวทัศน์ที่เปิดกว้าง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 35 ทิวทัศน์ที่เปิดกว้าง

ซูเฉินไม่สนใจมือใหญ่ที่กำลังกดลงมาหาเขา และมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การควบคุมนกเพลิงเพื่อโจมตีอย่างเต็มกำลัง

มนุษย์นกเพศหญิงรับรู้ได้ว่าสถานการณ์กลับมาไม่สู้ดีอีกครั้ง แสงสว่างจาง ๆ วาบผ่านดวงตาของนาง ขณะที่ร่างก็ชะงักงันและหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น

วินาทีถัดมา เปลวไฟที่ลุกโชนของนกเพลิงได้กลืนกินร่างที่ไม่ขยับไหวติง ก่อนจะเผามันจนกลายเป็นเถ้าถ่าน

ทว่าซูเฉินไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เขายังคงพูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นทางนี้คือของจริงสินะ”

ด้วยเนตรมองโลกจุลภาคของเขา ชายหนุ่มสามารถมองเห็นสถานการณ์ทุกอย่างได้อย่างชัดเจน

แม้ว่าฝ่ายที่เขาไล่ตามจะเป็นมนุษย์นกหญิงผู้ออกมาจากกระจก แต่แท้จริงแล้วฝั่งนี้คือร่างจริงของนาง ส่วนมนุษย์นกเพศหญิงที่จูเซียนเหยาจับไปนั้นแท้จริงแล้วเป็นร่างปลอม เพียงแต่ว่าภายใต้การโจมตีจากวิชาจิตหงส์เพลิง นางจึงถูกบังคับให้ใช้วิชาสับเปลี่ยนตัวเมื่อครู่อีกครั้ง ดังนั้นสิ่งที่นกเพลิงเผาจนเป็นเถ้าไปนั่นคือร่างปลอมที่จูเซียนเหยาเพิ่งจะจับเอาไว้ได้ แน่นอนว่านี่หมายความว่าหลังจากเปลี่ยนกลับในรอบนี้ มนุษย์นกเพศหญิงจึงกลับไปอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณหนูจูอีกครา

ในตอนนั้นเองมือใหญ่ก็มาถึงตัวของซูเฉิน เมื่อมันกำลังจะตบซูเฉินให้ตายอย่างแมลงวัน จู่ ๆ ก็มีนิ้วขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าจากทางอีกด้านหนึ่ง ตรงเข้ามาขวางฝ่ามือละหยุดมันเอาไว้กับที่

บรรพบุรุษของตระกูลจูได้เคลื่อนไหวสกัดกั้นการโจมตีของคู่ต่อสู้ด้วยตัวเองแล้ว

บรรพบุรุษตระกูลจูถึงกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “หรงกูลั่ว ในเมื่อเรื่องมันมาถึงจุดนี้เจ้าคิดว่า เจ้าจะสามารถลงมือแล้วทำเป็นว่าเรื่องทุกอย่างที่นี่มันไม่เคยเกิดได้จริง ๆ น่ะหรือ ? ไม่ว่ามนุษย์นกหญิงนั่นจะหนีรอดหรือไม่ ความจริงที่ว่าตระกูลหรงได้ทรยศต่อเผ่ามนุษย์ก็ยังคงมีอยู่ ไม่ว่าเจ้าจะปฏิเสธอย่างไรมันก็ไร้ประโยชน์ สิ่งเดียวที่เจ้าทำได้ตอนนี้คือหนี ! หากยังคงพยายามต่อต้าน ผลลัพธ์ที่เหลือยู่เพียงอย่างเดียวก็คือความตาย”

คำพูดเหล่านี้ดูจะเสียดแทงเข้าไปในหัวใจของอีกฝ่ายอย่างจัง มือที่พยายามจะสังหารซูเฉินถอยกลับ เหลือทิ้งไว้เพียงเสียงถอนหายใจดังก้องอยู่ในอากาศ

คราวนี้มันการถอนหายใจที่เกิดจากการถอนหายใจจริง ๆ

บรรพบุรุษของตระกูลหรงเลือกที่จะหนี บรรพบุรุษของตระกูลจูก็ไม่ได้มีความตั้งใจจะบังคับให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ เพราะไม่ว่าอย่างไร ผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินก็ยังคงเป็นตัวตนที่สามารถเลือกลบล้างเมืองนภาลัยราบทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย หากพวกเขาถูกต้อนจนต้องจนมุม

ถึงหรงกูลั่วจะสามารถหลบหนีได้ แต่คนจากตระกูลหรงที่เหลือยังต้องอยู่ต่อไป

นี่คือราคาที่ต้องจ่าย

การต่อสู้ดุเดือดบนน่านฟ้ายังคงดำเนินต่อไป เมื่อปราศจากบรรพบุรุษของตระกูล รวมกับการย้ายข้างของตระกูลเฉียน ก็สามารถมองเห็นถึงความพ่ายแพ้ของคนตระกูลหรงได้ชัดเจนแล้ว ดังนั้นบรรพบุรุษตระกูลจูจึงไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการต่อสู้นี้อีก

ถึงกระนั้นสามพี่น้องตระกูลเฉียนก็ยังคงวิตกกังวลอยู่

ตอนนี้พวกเขาไม่เพียงจะต้องกลัวการมีอยู่ของบรรพบุรุษตระกูลจู แต่ยังต้องหาวิธีที่จะแยกตัวออกจากตระกูลหรงอย่างชัดเจน มิฉะนั้นราชวงศ์เลี่ยวเยี่ยจะจัดการกับพวกเขาก่อนที่ตระกูลจูจะลงมือเป็นแน่ พวกเขาจะต้องก้มหัวให้ตระกูลจูโดยไม่มีเงื่อนไขหรือตั้งคำถามและขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย แน่นอนว่าการสละผลประโยชน์เพื่อชดเชยส่วนเกินก็เป็นเรื่องที่ควรทำเช่นกัน

ตระกูลเฉียนเลือกเดินมาทางนี้จนสุดทาง แต่แทนที่จะได้รับผลประโยชน์ใด ๆ แล้วซ้ำร้ายยังต้องเสียเงินไปอีกจำนวนมาก พวกเขาโชคร้ายจริง ๆ แต่ความจริงที่ว่าพวกเขาสามารถแยกตัวออกจากความผิดใหญ่ฐานสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปักษาได้ ก็ถือเป็นความโชคดียิ่งในความโชคร้ายนี้

แต่ทั้งหมดนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับซูเฉินเลย

————————————

ภายในห้องโถงใหญ่ของตระกูลจู จูอวิ๋นเยี่ยนจ้องมองซูเฉินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“ซูเฉิน เรื่องในคราวนี้ต้องขอบคุณเจ้าแล้ว ข้าจะไม่อ้อมค้อมให้เจ้าเวลาอีก สิ่งที่เจ้าต้องการตราบเท่าที่ข้าสามารถให้ได้ ข้าจะมอบมันให้” จูอวิ๋นเยี่ยนกล่าวอย่างมีความสุข

“ขอบคุณสำหรับความใจกว้างของท่านหัวหน้าตระกูล ในเมื่อท่านกล่าวดังนั้น ข้าก็ขอไม่เกรงใจแล้ว”

“ไม่จำเป็นต้องเกรงใจไป”

ซูเฉินพยักหน้า “เยี่ยม ถ้าเช่นนั้นข้าต้องการตัวผู้อาวุโสทั้งหกของตระกูลหรง”

อะไรนะ ?

สมาชิกของตระกูลจูต่างพากันตกตะลึง มีเพียงจูเซียนเหยาเท่านั้นที่ดูไม่แปลกใจอะไรและพึมพำว่า “อย่างที่คิด”

สำหรับซูเฉินแล้ว ไม่มีอะไรมีค่าและความหมายกับเขามากไปกว่าผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณแล้ว

ที่อยู่หลังจากด่านสู่พิสดารก็คือด่านผลาญจิตวิญญาณ หากเขาจะหาวิธีที่จะฝ่าข้อจำกัดนี้เขาก็จะต้องทำการวิจัยเสียก่อน ผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณจึงเป็นตัวทดลองที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง

ทว่ามันไม่เหมือนกับตอนผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร เพราะแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะจับผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณมา ดังนั้นซูเฉินจึงไม่พบเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับการวิจัยของเขาสักที ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มเลยคิดที่จะใช้เงามรณะเป็นตัวแทนอยู่ 2-3 ครั้ง จนทำให้เงามรณะถึงกับหวาดกลัว อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดซูเฉินก็เลือกที่จะละเว้นมันไป เพราะสัตว์อสูรแตกต่างจากมนุษย์มากเกินและไร้ประโยชน์ที่จะผ่ามันทดลอง

แต่ในตอนนี้ กลับมีตัวทดลองที่เหมาะสมยิ่งอยู่ที่นี่ถึง 6 เป้าหมาย ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ซูเฉินจะยอมปล่อยผ่านพวกเขาไปอย่างเต็มใจ

เพราะในอนาคตหลังจากนี้ ชายหนุ่มก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขาจะสามารถหาโอกาสที่จะได้ตัวนักโทษด่านผลาญจิตวิญญาณถึง 6 คนเช่นนี้ได้อีกหรือไม่

จูอวิ๋นเยี่ยนตะลึงกับคำขอของซูเฉินจนต้องใช้เวลาตั้งสติไปชั่วครู่ “ตระกูลหรงได้ทำความผิดร้ายแรงด้วยการทรยศต่อเผ่ามนุษย์ เราจำเป็นต้องส่งมอบตัวพวกมันให้กับราชวงศ์”

นี่เป็นความจริง ไม่ใช่ว่าตระกูลจูเห็นแก่ตัว แต่เหล่าผู้ทรยศด่านผลาญจิตวิญญาณพวกนี้เป็นปัญหาที่ร้ายแรงเกินไป ไม่มีทางที่ตระกูลจูจะจัดการกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวได้

ซูเฉินไม่แปลกใจ เขาพยักหน้าและกล่าวต่อ “ข้ารู้ แต่ท่านก็ไม่ได้จะส่งมอบตัวพวกมันไปทันทีจริงหรือไม่ ? เมืองหลวงอยู่ห่างจากเมืองนภาลัยราบอยู่พอสมควร ดังนั้นก็ย่อมต้องใช้เวลากว่าพวกเขาจะมารับตัวนักโทษ ข้าขอแค่สิทธิ์ในตัวทั้ง 6 ในช่วงเวลาระหว่างนั้นก็พอแล้ว”

จูอวิ๋นเยี่ยนเข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ นางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา หากเจ้าต้องการแม้แต่ซื้อเวลาให้เจ้าเพิ่มข้าสามารถทำได้ อย่างไรก็ตามเจ้าไม่อาจจะสังหารพวกมันให้ตายได้”

ซูเฉินยิ้ม “ท่านหัวหน้าตระกูลโปรดวางใจ มันไม่ง่ายเลยที่จะสังหารผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ ข้าสัญญาว่าคนเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่จนกว่าเจ้าหน้าที่ของเมืองหลวงจะมาถึง”

แน่นอนว่าซูเฉินไม่ได้สัญญาว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาพแบบไหนเมื่อถึงเวลาส่งมอบตัว

ในวันต่อมา ซูเฉินเริ่มการทดลองของเขา

เนื่องจากมีเวลาไม่มาก เขาจึงเลือกวิธีการวิจัยที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ชายหนุ่มเริ่มจากการทดลองขั้นพื้นฐานก่อน จากนั้นก็ใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดทำนายคาดการณ์ถึงผลการวิจัย และหลังจากสรุปได้แล้วเขาก็ดำเนินขั้นตอนต่อไปทันที

การวิจัยอย่างเป็นระบบนั้นกินเวลาอย่างมาก แต่การมีอยู่ของไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดก็ช่วยย่นเวลาลงอย่างมากเช่นกัน

อาจกล่าวได้ว่าด้วยไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด ซูเฉินจึงสามารถค้นหาคำตอบของเกือบทุกคำถามที่เขาสงสัยได้อย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าคำตอบจะเป็นใช่หรือไม่ใช่

คำตอบจะเป็นใช่หรือไม่ใช่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือซูเฉินสามารถบรรลุคำตอบนั้นได้ในเวลาอันสั้น ทำให้เขาสามารถก้าวไปสู่ขั้นต่อไปของการวิจัยได้อย่างรวดเร็ว

การทดลองที่อาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ ซูเฉินอาจทำสำเร็จได้ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ประสิทธิภาพในการวิจัยเช่นนี้เรียกได้ว่าน่ากลัวยิ่ง แต่ก็แน่นอนว่าความน่าทึ่งนี้มาพร้อมกับการใช้ทรัพยากรอย่างมหาศาลในเวลาเดียวกัน

แม้ว่าคำทำนายของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงทำให้ต้นทุนค่าชดเชยของการทำนายลดลงอย่างมาก แต่การทำนายซ้ำ ๆ กันหลายร้อยหรือหลายพันครั้ง ก็ยังส่งผลให้ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนที่มากจนน่าตกใจอยู่ดี

ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ซูเฉินก็ได้ใช้ทรัพยากรนับไม่ถ้วนไปและได้รับความรู้มากมายเกี่ยวกับด่านผลาญจิตวิญญาณมาเป็นของแลกเปลี่ยน

ในที่สุดซูเฉินก็เข้าใจถ่องแท้ว่าทำไมขั้นการฝึกฝนขั้นนี้จึงถูกเรียกว่าด่านผลาญจิตวิญญาณ

ด่านผลาญจิตวิญญาณ นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของการบ่มเพาะของมนุษย์ ก่อนที่สายเลือดมังกรสุริยะจะปรากฎ เส้นทางการบ่มเพาะของเผ่ามนุษย์นั้นได้มีจุดสิ้นสุดอยู่ที่ด่านสู่พิสดาร

ด้วยเหตุนี้ ช่องว่างระหว่างด่านสู่พิสดารกับด่านผลาญจิตวิญญาณจึงมีขนาดใหญ่มาก

อาจกล่าวได้ว่าช่องว่างนี้เกิดจากเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้สิ่งจับต้องได้กลายเป็นสิ่งไม่มีตัวตน จากการแสวงหาการควบคุมพลังต้นกำเนิดมากขึ้น ไปสู่การขัดเกลาตนเองให้บริสุทธิ์และยกระดับอัตตา

ผลของการเปลี่ยนมุมมองและแนวทาง ทำให้พลังจิตเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างมาก

ด่านผลาญจิตวิญญาณมีตำหนักเซียนอยู่ทั้งหมด 8 ชั้น ได้แก่ วัฏจักรสมบูรณ์ แกนศักดิ์สิทธิ์ ชะล้างสวรรค์ อารักขาต้นกำเนิด มหาสมุทรไร้ขอบเขต รุ่งอรุณอันเจิดจ้า สายหมอกลอยลมและวังปัญญา

ตำหนักเซียนแต่ละชั้นก่อตัวขึ้นจากการรวมตัวกันของเจตจำนงและจิตสำนึกของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด พวกมันจัดเก็บภูมิปัญญาและทักษะต้นกำเนิดอันทรงพลังต่าง ๆ ไว้ภายใน ผู้ครอบครองตำหนักเซียนจึงสามารถเขย่าโลกได้ผ่านความคิด…. ด่านผลาญจิตวิญญาณช่างเป็นตัวตนที่ทรงพลังจริง ๆ!

นัยของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังกล่าว ทำให้ช่องว่างระหว่างด่านสู่พิสดารกับด่านผลาญจิตวิญญาณมีขนาดกว้างขวางยิ่ง

เพราะการจะสร้างตำหนักเซียนทั้ง 8 และทำให้อัตตาของพวกเขาสงบลงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อุปสรรคแรกคือมันจำต้องใช้พลังจิตที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ

หากปราศจากพลังจิตที่มากพอ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างตำหนักเซียนทั้ง 8 ขึ้นมา

แต่สำหรับซูเฉินแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องยากเลย

ถึงจะตัดการสนับสนุนจากของต่าง ๆ ไป แต่ด้วยเนตรมองโลกจุลภาคกับเคล็ดวิชาจิตแท้แล้วพลังจิตของเขาก็ยังมีมากถึง 1,200 หน่วย

ในแง่ของพลังจิตทั่วทั้งเผ่ามนุษย์ก็มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเทียบกับเขาได้

ส่วนใหญ่แล้วคนธรรมดาทั่วไปก่อนจะก้าวเข้าสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณนั้น ปกติจะมีพลังจิตอยู่เพียง 100-200 เท่านั้น หลังจากที่ทะลวงข้ามด่านได้แล้ว พลังจิตของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นมาประมาณ 500 หน่วย ก่อนจะเพิ่มเป็น 800 เมื่อเข้าสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน และไปครบ 1,000 ที่ด่านมหาราชัน

ในแง่ของพลังจิตเพียว ๆ แล้ว ซูเฉินได้บรรลุข้อกำหนดสำหรับการไปถึงด่านมหาราชันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งเดียวที่เขาขาดก็คือวิธีการที่สอดคล้องเพื่อใช้พลังที่มีนี้

ถึงอย่างนั้น เขาก็มีพลังจิตมากเกินพอที่จะสำรองเอาไว้ทะลวงเข้าสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณและก่อตั้งตำหนักเซียนของตนแล้ว

ซูเฉินค้นพบด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่งว่าปัญหากำแพงขวางกั้นระหว่างเขากับด่านผลาญจิตวิญญาณ กลับได้รับการแก้ไขแล้ว

ใช่ ! การมีพลังจิตที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เป็นอุปสรรคแรกในการบุกเข้าไปในด่านผลาญจิตวิญญาณ ยิ่งมีพลังจิตมากเท่าใดก็ยิ่งมีโอกาสสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น !

สำหรับซูเฉินความยากลำบากนี้ ไม่ใช่ทางที่เต็มไปด้วยหนามแสนยากลำบากอีกต่อไปแต่กลับเป็นเหมือนทางราบเรียบปูพรมให้เดินเสียมากกว่า

แต่ก็แน่นอนว่าการมีพลังจิตทรงพลังอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ขั้นตอนต่อไปคือการควบแน่นและจดจ่อกับการสร้างตำหนักเซียนขึ้นมา

ตามลำดับจากตำหนักเซียนทั้ง 8 ที่แรกที่จะถูกสร้างขึ้นคือตำหนักวัฏจักรสมบูรณ์

ตำหนักวัฏจักรสมบูรณ์มีหน้าที่หลักในการควบคุมพลังต้นกำเนิด

การทะลวงเข้าสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณไม่เพียงแต่ต้องอาศัยพลังจิตเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยพลังต้นกำเนิดอีกด้วย ท้ายที่สุดพลังต้นกำเนิดก็ยังคงเป็นรากฐานของทุกสิ่งในโลกนี้

ดังนั้นพลังต้นกำเนิดจึงยังเป็นเงื่อนไขที่ขาดไปไม่ได้

แต่ซูเฉินพบว่าเขายังคงบรรลุข้อกำหนดพื้นฐานนี้ไปแล้วเช่นเดิม

เพราะเขาฝึกฝนวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ พลังต้นกำเนิดของเขาจึงหนาแน่นกว่ามนุษย์ทั่วไปมาก อย่างน้อยก็หนาแน่นกว่า 7 เท่าเห็นจะได้ แล้วใครจะกล้ามาพูดว่าเขาขาดแคลนพลังต้นกำเนิดกัน ?

แค่ 7 เท่านี้ก็มากเกินพอที่จะให้คู่ต่อสู้ของซูเฉินจมอยู่ในพลังต้นกำเนิดของเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะกระโดดข้ามขั้นไปสู้กับผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณได้อย่างไร ?

ท้ายที่สุด การกระโดดข้ามขั้นไปสู้กับผู้ที่อยู่ด่านสูงกว่าก็ยังไม่ง่ายเลย แม้จะเป็นผู้ที่อยู่ในด่านผลาญจิตวิญญาณก็ตาม

เมื่อครบตามเงื่อนไขทั้ง 2 ตามขั้นแรกแล้ว ก็สามารถดำเนินการสร้างตำหนักเซียนต่อตามขั้นที่ 2 ได้

ขั้นตอนที่ 3 เขาจะต้องค่อย ๆ สร้างต้นแบบตำหนักเซียนขึ้นมาตามลักษณะพิเศษของตัวเอง ลำดับวิธีนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลล้วนก็มีวิธีการเป็นของตนเอง ขั้นตอนนี้เป็นการตั้งคำถามเกี่ยวกับทักษะวิชา กล่าวอีกนัยหนึ่งความเชี่ยวชาญและความคุ้นเคยที่หากไม่มีหรือมีไม่มากพอก็สามารถสร้างขึ้นมาได้

ขั้นตอนสุดท้ายคือปลุกจิตสำนึก จุดประกายจิตวิญญาณ และหล่อหลอมตำหนักเซียน นี่จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดสามารถสร้างกำแพงป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้นมารอบ ๆ จิตวิญญาณของพวกเขา เพื่อป้องกันมันจากการโจมตีด้วยพลังจิตได้ รวมไปถึงการปลดปล่อยทักษะต้นกำเนิดประเภทพลังจิตต่าง ๆ

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดและซับซ้อนที่สุด และเป็นที่มาของชื่อด่าน ‘ผลาญจิตวิญญาณ’ อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนสำคัญดังกล่าวที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้ยากเกินไปนัก ตราบใดที่ผู้ฝึกฝนได้เตรียมการเอาไว้เพียงพอ และผ่านเงื่อนไขข้อกำหนดทั้งหมดแล้ว ที่เหลือก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา

ดังนั้นซูเฉินจึงพบว่าความยากลำบากในการเข้าสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณนั้นง่ายกว่าที่เขาคาดไว้มาก

จู่ ๆ ทุกอย่างก็กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น กลายเป็นว่าเส้นทางเบื้องหน้าของซูเฉินก็กลับเปลี่ยนเป็นทิวทัศน์ที่เปิดกว้างขึ้นมาในทันใด !