บทที่ 36 การวิจัย (1)
ซูเฉินพบว่าการบุกเข้าสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณที่ควรจะเป็นเรื่องยากมากกลับช่างง่ายดายสำหรับเขาเหลือเกิน
แต่ถ้าลองคิดดูแล้ว ชายหนุ่มก็ตระหนักได้ว่ารากฐานของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมาก หลังจากผ่านการเตรียมปูพื้นฐานมามากมาย การที่ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจมากนัก
จะมีสักกี่คนกันที่มีพลังจิตรวมกันได้พันกว่าหน่วย ?
และหากปราศจากวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ จะมีใครที่ไหนกันสามารถครอบครองพลังต้นกำเนิดที่หนาแน่นกว่าคนอื่นได้ถึง 7 เท่า ?
เพราะรากฐานเหล่านี้ เส้นทางสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณของซูเฉินจึงกลายเป็นเรื่องยุ่งยากน้อยกว่าผู้อื่นมากโข
“กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตราบใดที่ข้าแจกจ่ายเคล็ดวิชาจิตแท้กับวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ออกไป ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการทะลวงเข้าสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณโดยไม่อาศัยสายเลือดจะคลี่คลายไปได้มากกว่าครึ่ง ?” ซูเฉินพึมพำกับตัวเองในขณะที่ยิ้มด้วยความยินดี
นั่นเป็นข่าวดีจริง ๆ
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้จบเพียงแค่นั้น
เพราะท้ายที่สุดแล้ว 2 ขั้นตอนสุดท้ายก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข
2 ขั้นแรกเป็นเพียงพื้นฐาน ในขณะที่ 2 ขั้นสุดท้ายต้องใช้ทั้งความละเอียดรอบคอบและฝีมือมากขึ้น นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ ถึงสามารถปลดปล่อยทักษะที่ผู้ฝึกฝนในระดับต่ำกว่าไม่อาจทำได้ออกมาได้
ซูเฉินได้รับวิธีการทะลวงด่านของตระกูลจูมาแล้ว นอกจากนี้เขายังมีวิธีของหลี่ฉงซานอยู่กับวิธีของตระกูลหรงที่เขาศึกษามาได้อีก รวมแล้วชายหนุ่มมีวิธีทะลวงด่านอยู่ถึง 3 รูปแบบด้วยกัน
วิธีการที่ซับซ้อนทั้งหมดนี้ต้องการการสนับสนุนจากสายเลือด และมีอัตราความสำเร็จที่แตกต่างกันไป วิธีของตระกูลหรงกับตระกูลจูนั้นดีที่สุด ทว่าน่าเสียดายที่เพราะเหตุผลทางสายเลือด ถึงจะได้วิธีเหล่านี้มาแต่มันก็ยากเกินที่จะใช้
ซูเฉินสงสัยว่าเขาจะสามารถรวมวิธีต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อขจัดเงื่อนไขความต้องการของสายเลือด และพัฒนาพวกมันให้กลายเป็นวิธีที่ดีกว่านี้ได้หรือไม่ ?
เขาเป็นคนที่ชอบทำลายข้อจำกัดและเปิดเส้นทางใหม่ แม้จะมีวิธีหนทางทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณอยู่ในมือแล้ว ซูเฉินก็ยังไม่ได้พอใจกับมัน เนื่องจากในตอนนี้เขาอยู่ในสถานะที่มีปัญหาบางอย่างต้องจัดการอยู่ และมีเวลาว่างมากมายในมือ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะสะสางปัญหาที่ยังค้างอยู่ให้เสร็จเสีย
ซูเฉินหมกมุ่นอยู่กับการวิจัยของเขาอีกครั้ง
คราวนี้ ผู้อาวุโสทั้ง 6 ของตระกูลหรงโชคไม่ดีอย่างยิ่ง
สิ่งแรกที่ซูเฉินเปลี่ยนคือเขาเริ่มใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดน้อยลง
คำทำนายที่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดให้มานั้น เป็นเพียงผลลัพธ์ไม่ใช่กระบวนการ
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มต้องการเพียงผลลัพธ์ เขาจึงถามหาคำตอบจากไม้เท้า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คือกระบวนการที่ไม้เท้ายากจะตอบให้ได้ และแม้ว่าจะทำได้มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะสุดท้ายแล้วซูเฉินก็ยังคงต้องเลือกหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอยู่ดี นี่หมายความว่าเขาต้องการคำตอบทั้งหมดทั้งดีและไม่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดไม่สามารถให้ได้ ด้วยเหตุนี้ ซูเฉินจึงต้องค่อย ๆ ค้นคว้าเรื่องเหล่านี้ไปทีละเล็กทีละน้อย ทดลองไปทีละขั้นตอนด้วยตัวเอง
ผู้อาวุโสทั้ง 6 ของตระกูลหรงจึงได้กลายเป็นตัวทดลองของเขาไปจริง ๆ
เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ว่าเจ้าหน้าที่ของเมืองหลวงคงจะมาถึงในไม่ช้านี้ ซูเฉินจึงไม่ลังเลที่จะใช้ผู้อาวุโสทั้ง 6 อย่างเต็มที่ และทำทุกอย่างด้วยประสิทธิภาพสูงสุด
การทดลองกับมนุษย์อาจเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายแต่ผลที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไปอย่างมาก สิ่งสวยงามและความสุขมากมายล้วนถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของสิ่งที่น่าเกลียดและเรื่องเลวร้าย สรรพสิ่งในโลกย่อมเป็นเช่นนั้น เฉกเช่นหากปราศจากซากที่เน่าเปื่อยดินก็ไม่อาจกลายเป็นโคลนที่อุดมด้วยสารอาหารให้ต้นไม้สูงเติบโตได้
สิ่งเดียวที่ซูเฉินสามารถทำได้คือเลือกใช้วิธีที่โหดร้ายเช่นนี้กับแค่ศัตรูของเขาเท่านั้น ผู้อาวุโสทั้ง 6 ของตระกูลหรงได้ทรยศต่อเผ่ามนุษย์ ดังนั้นซูเฉินจึงไม่ลังเลใจที่จะทดลองกับพวกมันมากนัก
สิ่งที่ตามมาคือการทดลองแทบทุกประเภททั้งที่น่าทึ่งและแปลกประหลาด
ซูเฉินได้ทดสอบยา ทดสอบความสามารถในการฟื้นฟูร่างกาย ทดสอบปฏิกิริยาของสสารต้นกำเนิดต่าง ๆ และผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของพลังต้นกำเนิดในร่างกาย ฯลฯ
การทดลองของเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่การศึกษาตำหนักเซียนอีกต่อไป ตอนนี้เขากำลังศึกษาวิธีพัฒนาพิษที่สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ วิธีปิดบังตนเองจากจิตสัมผัสของอีกฝ่าย วิธีป้องกันตนเองจากการโจมตีด้วยพลังจิต วิธีใช้งานของพลังต้นกำเนิดของผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ วิธีพัฒนาพลังของสายเลือดอสรพิษทมิฬต่อไป เป็นต้น
เมื่อความแข็งแกร่งและประสบการณ์ของเขาเพิ่มขึ้น เป้าหมายของซูเฉินก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ฝีมือการเคลื่อนไหวของเขาก็ราบรื่นและมีประสิทธิภาพขึ้นอย่างมากเช่นกัน
วันนี้ซูเฉินก็ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการทดลองของเขาเช่นทุกวัน ตอนนั้นเองกังเหยียนก็ได้เดินเข้ามา
“นายท่าน คนจากเมืองหลวงอยู่ที่นี่แล้ว”
“ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงแล้วงั้นหรือ ?” ซูเฉินถอนหายใจ
นับตั้งแต่ที่ตระกูลหรงถูกจับกุมก็ผ่านมาประมาณ 10 วันแล้ว นี่เป็นผลมาจากความพยายามถ่วงเวลาอย่างเต็มที่ของตระกูจู แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วมันช่างเป็นเวลาที่สั้นนัก แม้ว่าในช่วง 10 วันที่ผ่านมาเขาจะทดลองจนไม่ได้หลับได้นอนเลยก็ตาม
มีหลายสิ่งและหลายแนวคิดที่เขาต้องการจะทดลองและยืนยันมากเกินไป
ขอบเขตการบ่มเพาะแต่ล่ะขั้นล้วนเป็นดั่งประตูของโลกใบใหม่ที่เปิดออกพร้อมให้เขาสำรวจ ทิวทัศน์ที่สวยงามไร้ขอบเขตเบื้องหน้าทำให้เขามัวเมา
น่าเสียดายที่ซูเฉินยังไม่ทันได้เห็นทิวทัศน์ทั้งหมดได้อย่างเต็มที่ ประตูก็ปิดลงใส่เขาเสียก่อน
แม้ว่าเขาจะพยายามเก็บรวบรวมข้อมูลไว้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้แล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง
ในฐานะผู้ทรยศต่อเผ่ามนุษย์ พวกเขาจำต้องส่งตัวผู้อาวุโสของตระกูลหรงให้กับราชวงศ์โดยไม่มีข้อแม้ บ่ายวันนั้นผู้อาวุโสทั้ง 6 ก็ได้ถูกส่งมอบให้แก่เจ้าหน้าที่
เดิมทีพวกเขาคาดว่าจะเกิดฉากที่ทั้ง 6 จะหวาดกลัวหรือพยายามหลบหนีจากการจับกุมไป แต่เหล่าผู้อาวุโสกลับสารภาพความผิดของพวกเขากับเจ้าหน้าที่อย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ ราวกับทุกคนไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกแม้แต่ครู่เดียว
สิ่งนี้ทำให้เหล่าทูตหลวงตกตะลึงอย่างมาก
จูอวิ๋นเยี่ยนเหลือบมองไปทางซูเฉิน “ดูเหมือนว่าเจ้าจะทรมานพวกเขาไปมากทีเดียว”
ซูเฉินยักไหล่ “ไม่นี่ ข้าสัญญาว่าข้าจะ ‘ส่งมอบ’ พวกมันให้ครบส่วน ดูสิ แขนและขาของพวกมันยังติดอยู่กับตัวอยู่เลยมิใช่หรือ ?”
จูอวิ๋นเยี่ยนหัวเราะอย่างเย็นชา
ความสามารถในการฟื้นฟูของผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณนั้นสูงยิ่ง ดังนั้นจึงไม่อาจกล่าวได้ว่าแขนและขาตอนนี้ของพวกเขานั้นใช่คู่เดียวกับยามที่จับตัวมาหรือไม่
จูอวิ๋นเยี่ยนคาดการณ์ว่าส่วนที่ซูเฉินตัดออกผู้อาวุโสทั้ง 6 ไปอย่างน้อยก็คงจะประกอบขึ้นเป็นผู้อาวุโสคนใหม่ได้ถึง 12 คนเห็นจะได้
อย่างไรก็ตาม มันไม่จำเป็นเลยที่จูอวิ๋นเยี่ยนจะต้องยกเรื่องแบบนี้ขึ้นมา
หลังจากสูญเสียผู้อาวุโสทั้ง 6 ซูเฉินทียุ่งมากอย่างเหลือเชื่อก็กลับมามีเวลาว่างมากมายอีกครั้ง
เนื่องจากเขามีเวลาว่าง เขาจึงมักจะใช้เวลาอยู่กับจูเซียนเหยา
ตั้งแต่ที่มาถึงเมืองนภาลัยราบ ซูเฉินก็ยังไม่ได้สำรวจรอบ ๆ เมืองนี้จริง ๆ เลย ในวันแรกที่มาถึงเขาทำได้เพียงเดินผ่านไปโดยไม่มีเวลาได้สังเกตสิ่งรอบข้างแม้แต่น้อยเพราะเขากำลังถูกไล่ล่าอยู่
ดังนั้นในวันต่อมาจูเซียนเหยาจึงพาเขาไปเที่ยวชมสถานที่ทั่วเมือง และสานสัมพันธ์กันสองต่อสองในยามว่างบางครั้ง ในตอนนี้ตระกูลจูได้ยอมรับซูเฉินโดยสมบูรณ์แล้ว
เรื่องนี้ทำให้จูเซียนเหยามีความสุขมากราวกับว่าเธอเป็นนกตัวน้อยที่ได้รับการปลดปล่อยออกจากกรง
วันนี้เป็นอีกครั้งที่พวกเขาได้กระชับสัมพันธ์กัน
หลังจากที่ได้ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความปรารถนาแล้ว จูเซียนเหยาก็เอนตัวนอนซบอกของซูเฉิน นางจูบลงบนหน้าอกของเขาขณะที่ใช้นิ้ววาดวงกลมบนหน้าอกนั้นเบา ๆ
จูเซียนเหยาเฝ้ามองดูชายหนุ่มของนาง ขณะที่ซูเฉินลูบหัวของนางและจ้องมองไปที่ด้านบนอย่างว่างเปล่า
“เจ้ากำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่หรือ ?” นางถามอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวล
ซูเฉินเผลอไผลตอบไปว่า “พลังต้นกำเนิดไหลผ่านจุดโล่วกู่(1)ไปยังจุดเซี่ยจวี้ซวี(2)… จะเกิดอะไรขึ้นหากข้าใช้ผนึกพันดอก ?”
สีหน้าของจูเซียนเหยาเปลี่ยนไปทันควัน นางคว้าน้องชายของซูเฉินไว้ “อยู่กับข้าแล้วเจ้ายังคิดถึงแต่เรื่องฝึกฝนอีกหรือ ?!”
นางเริ่มบีบมือขวาอย่างหนัก ทำเอาสีหน้าของซูเฉินเริ่มเหยเก
ซูเฉินอดไม่ได้ที่จะรีบพูดแก้ เขาตระหนักถึงความผิดพลาดของตน “ข้าขอโทษ ข้าผิดเอง เจ้าก็รู้นี้ว่าไม้เท้าต้นกำเนิดให้เพียงผลลัพธ์เท่านั้นไม่ใช่ลำดับขั้นตอนกระบวนการ ดังนั้นเรื่องที่ข้ารู้มาจึงยังมีส่วนขาดหายไปบ้าง ข้าเลยจำต้องทบทวนและสรุปมันเพื่อเติมเต็มส่วนขาดหายเหล่านั้น”
จูเซียนเหยาจ้องเขาตาเขม็ง “นั่นคือเหตุผลที่เจ้าคิดเรื่องเช่นนั้นในตอนนี้ ?”
“ข้าอยู่กับเจ้ามานานแล้ว ดังนั้นเลยคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องสื่อสารด้วยคำพูดอีกต่อไปแล้ว” ซูเฉินตอบ
ขณะที่กล่าวเขาก็เอนตัวเข้าไปจูบนาง
ต้องยอมรับว่า อย่างน้อยในเรื่องของการปลอบผู้หญิง ซูเฉินยังถือว่ามีความสามารถ
ความโศกเศร้าที่ผุดขึ้นมาของจูเซียนเหยา หายไปอย่างรวดเร็วภายใต้การจูบของซูเฉิน เมื่อทั้งคู่โอบกอดกันจนจมสู่ความปรารถนา การต่อสู้ของพวกเขาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ในที่สุดเมื่อไฟอารมณ์จางลง จูเซียนเหยาก็เอนกายนอนลงในอ้อมแขนของซูเฉินอย่างพออกพอใจอีกครา “เห็นแก่ความเพียรของเจ้า ข้าจะยกโทษให้”
ซูเฉินยิ้ม “ข้าต้องเสี่ยงชีวิตเพียงเพื่อรับการยกโทษเองหรือ ?”
“แล้วอยากได้อะไรอีกล่ะ ?”
“แล้วศพของมนุษย์นก 2 ตัวนั้นล่ะ ?” ซูเฉินกล่าว
จูเซียนเหยาตื่นตระหนก “เจ้ารู้ได้อย่างไร…”
ซูเฉินถอนหายใจ “แล้วข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร ?”
มนุษย์นกเพศหญิงที่ถูกจับได้ถูกส่งตัวไปยังเมืองหลวงพร้อมกับผู้อาวุโสตระกูลหรง แต่มนุษย์นกเพศชายทั้ง 2 ที่ต่อสู้กับจูเซียนเหยานั้นได้ถูกนางสังหารไป เมื่อพวกมันตายแล้วมันก็ไม่จำเป็นต้องส่งมอบให้ราชวงศ์ ดังนั้นนางจึงเก็บทั้งคู่ไว้กับนางตลอดเวลา
เพียงแค่นางที่ไม่เคยพูดถึง และซูเฉินก็ไม่เคยถาม
จนกระทั่งวันนี้
ซูเฉินกล่าวอย่างสงบ “เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า ข้าจะไม่เข้าใจความคิดของเจ้าได้อย่างไร?”
ไม่มีใครเข้าใจเกี่ยวกับงานอดิเรกของซูเฉินได้ดีไปกว่าจูเซียนเหยาแล้ว นางสามารถจับพวกมันทั้งคู่แบบยังมีชีวิตได้ในระหว่างการต่อสู้ แต่หญิงสาวกลับจงใจฆ่าอีกฝ่ายเพื่อที่จะได้เก็บมาเป็นตัวทดลองให้เขาใช้ในการวิจัย
แต่หลังจากสังหารเผ่าปักษาทั้ง 2 ได้แล้ว นางก็กลับเปลี่ยนใจและตัดสินใจที่จะไม่ส่งพวกมันให้ซูเฉิน ส่วนเหตุผลนั้นง่ายมาก นางต้องการให้ซูเฉินใช้เวลาอยู่กับตนมากขึ้น
บางครั้งจิตใจของผู้หญิงก็มักจะเป็นเช่นนี้ ด้วยเหตุผลเดียวกันกลับทำให้พวกนางตัดสินใจที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิงได้
นางเก็บศพมาให้เขาแต่กลับซ่อนมันไว้จากเขา เหตุผลที่จูเซียนเหยาตัดสินใจได้ขัดแย้งเช่นนี้ก็เพราะความรักที่ไม่เปลี่ยนแปลงของนาง
ซูเฉินก็เข้าใจเรื่องนี้ดี นั่นคือเหตุผลที่เขารอ
เรื่องของผู้อาวุโสทั้งหกจากตระกูลหรงนั้นไม่สามารถรั้งรอได้ เขาจึงทำได้เพียงศึกษาค้นคว้าก่อน
หลังจากผู้อาวุโสทั้งหกถูกส่งตัวไปแล้ว ซูเฉินก็ระงับความอยากรู้ทั้งหมดและใช้เวลาทั้งหมดของตนไปกับจูเซียนเหยา แล้วค่อยพูดถึงเรื่องนี้ที่หลัง
จูเซียนเหยาหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อถูกอีกฝ่ายจับได้ นางไม่เต็มใจที่จะยอมรับและกล่าวอย่างดื้อรั้น “ศพมนุษย์นกอะไร ? ข้าเผาพวกมันไปแล้ว ใครจะอยากเก็บของแบบนั้นไว้กัน”
ซูเฉินทำได้แค่ขอโทษและสัญญากับจูเซียนเหยาว่าเขาจะไม่ละเลยนางเพราะศพเผ่าปักษาเหล่านี้ และจะใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วยามกับจูเซียนเหยาทุกวัน จนนางใจอ่อน
ถึงกระนั้นจูเซียนเหยาก็ยังตบตีเขาพลางฮึดฮัดอย่างหงุดหงิด “ดูเหมือนว่าในสายตาเจ้าแม้แต่ศพก็ยังมีเสน่ห์มากกว่าข้าเสียอีก เจ้าควรจะรับพวกมันเป็นอนุภรรยาแทนข้าไปซะนะ !”
นางยืนขึ้นและพูดอย่างโกรธเคือง “ตามข้ามา”
ซูเฉินตามนางไปอย่างว่าง่าย ไม่เหลือท่าทีของผู้นำนิกายใหญ่แม้แต่น้อย
*****
(1) 漏谷 จุดโล่วกู่
จุดลั่วของเส้นม้าม อยู่ที่ขาด้านใน เหนือยอดตาตุ่มใน 6 ชุ่น ตรงขอบหลังของกระดูกแข้ง
(2) 下巨虚 จุดเซี่ยจวี้ซวี
จุดเหอล่างของเส้นลำไส้เล็ก อยู่บริเวณขาด้านนอก บนเส้นที่เชื่อมระหว่างตู๋ปี๋(จุดฝังเข็มด้านหน้าเข่า) กับเจียซี(จุดจิงของเส้นกระเพาะอาหาร) อยู่ใต้ตู๋ปี๋ไป 9 ชุ่น