ภาคที่ 5 บทที่ 37 การวิจัย (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 37 การวิจัย (2)

ศพเผ่าปักษาทั้งสองถูกวางไว้อย่างเรียบร้อยบนโต๊ะยาวสำหรับทำงานวิจัยของเขา

นอกเหนือจากร่างกายที่มีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อยและมีปีกขนาดใหญ่ที่งอกออกมาจากหลังของพวกมัน เผ่าปักษาก็มีลักษณะทางกายภาพโดยรวมคล้ายคลึงกับมนุษย์อยู่มาก ส่วนภายในกลับแตกต่างไป

หลังจากผ่าร่างของมนุษย์นกตนแรก ซูเฉินค้นพบว่านอกจากอวัยวะภายในเช่นมนุษย์ปกติแล้ว ยังมีถุงลมขนาดเล็กอยู่ภายในร่างของมัน ถุงลมเป็นลักษณะเฉพาะของพวกเผ่าปักษา เดิมทีมันถูกใช้เพื่อกักเก็บอากาศ สำหรับช่วยให้พวกมันบินได้อย่างสะดวก แต่ต่อมามันได้พัฒนาจนกลายเป็นกระเป๋าเก็บพลังต้นกำเนิด

โครงสร้างกระดูกของเผ่าปักษาเองก็มีความแตกต่าง กระดูกบางส่วนมีลักษณะกลวงเพื่อช่วยให้ลมไหลเวียนผ่านได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้พวกมันสามารถบินได้แต่กำเนิด อย่างไรก็ตาม ในภายหลังต่อมาก็ค่อย ๆ พัฒนาเพื่อรองรับการใช้การหมุนเวียนของพลังต้นกำเนิด

ด้วยเหตุผลนี้เผ่าปักษาจึงเป็นเผ่าพันธุ์อัจฉริยะที่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้ที่ดีที่สุด และแทบจะไม่ได้ด้อยไปกว่าชาวอาร์คาน่าเลย สิ่งเดียวที่พวกมันขาดก็คือสายตาที่ทรงพลัง และความสามารถในการนำความรู้ไปใช้อย่างมีประสิทธิผลแบบเดียวกับพวกเขา

และข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุด คือร่างกายที่อ่อนแอ !

โครงสร้างกระดูกที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ความสามารถในการรองรับน้ำหนักของร่างกายพวกมันแย่มาก พลังกายเองก็ลดลงไปมากเช่นกัน ไม่ว่าพวกเขาจะฝึกฝนมากแค่ไหน ศักยภาพในด้านนี้ก็ยังคงต่ำยิ่ง ดังนั้นเผ่าปักษาจึงไม่ค่อยมีนักรบที่ชำนาญการต่อสู้ระยะประชิดอยู่ สมาชิกส่วนใหญ่ของพวกมันหากไม่ใช่นักธนูก็เป็นพวกผู้วิเศษ เรียกได้ว่าเป็นขั้วตรงกันข้ามกับเผ่าคนเถื่อนโดยสมบูรณ์ ในขณะที่มนุษย์มีความสมดุลมากกว่าทั้ง 2 เผ่าพันธุ์

ระบบการฝึกฝนของพวกมนุษย์นกจึงเป็นเช่นเดียวกับของชาวอาร์คาน่า ไล่ไปตามลำดับตั้งแต่ระดับ 1 ถึงระดับ 10 ต่างจากมนุษย์ พวกอาร์คาน่าวัดระดับการฝึกฝนตามมาตรฐานของวิชาโบราณอาร์คาน่าที่คนผู้นั้นสามารถใช้ได้ หรือกล่าวอีกนัยคือวิชาอาร์คาน่าระดับต่าง ๆ จะเป็นตัวกำหนดระดับของปรมาจารย์อาร์คาน่า อาทิหากคนคนหนึ่งใช้อาคมอาร์คาน่าระดับ 5 ได้เขาก็จะเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 5

นี่เป็นเพราะว่าวิชาโบราณอาร์คาน่า แต่ละอย่างก็นับเป็นวิชาบ่มเพาะในตัวของมันเองอยู่แล้ว ยิ่งเชี่ยวชาญในวิชาโบราณอาร์คาน่ามากเท่าใด ระดับของพวกเขาก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย

นี่คือความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างวิชาโบราณอาร์คาน่ากับทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัย

ในแง่ของพลังโจมตีเพียว ๆ วิชาโบราณอาร์คาน่านั้นทรงพลังที่สุดในบรรดาระบบทั้งหมด เพราะพวกมันใช้พลังต้นกำเนิดในปริมาณที่สูงมาก อาจไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยหากจะกล่าวว่าอาคมอาร์คาน่าระดับ 10 นั้นสามารถถล่มฟ้าดินได้ อาคมอาร์คาน่าระดับ 10 จึงถูกเรียกอีกอย่างว่าวิชาอาร์คาน่าต้องห้าม

ซูเฉินเองก็เป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าเช่นกันแต่ระดับของเขายังค่อนข้างต่ำ

เขามีวิชาโบราณอาร์คาน่าที่เป็นอาคมระดับสูงอยู่ไม่กี่อย่าง เช่นวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายที่ถูกจัดเป็นอาคมอาร์คาน่าระดับ 9 ลักษณะเด่นที่สุดของวิชาอาร์คาน่าอันนี้คือมันสามารถยกระดับขึ้นได้ตามความชำนาญและความเข้าใจของผู้ใช้ ในขณะที่ซูเฉินกำลังพยายามทำความเข้าใจมัน เขาก็ได้ยกระดับมันให้มันกลายเป็นอาคมอาร์คาน่าระดับ 9 ไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาแบบนี้ยุ่งยากเกินไปและต้องใช้พลังจิตไปมากพอควร เพราะมันเป็นวิชาที่ใช้งานได้จริง ซูเฉินจึงตัดสินใจใส่มันลงในแท่นบงกชของเขา จะเรียกว่าโกงก็ว่าได้ แม้ว่าเขาจะได้เพิ่มระดับของวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย แต่มันก็ไม่ได้อาศัยความสามารถของเขาแล้ว

สำหรับระเบิดเหยี่ยวเพลิงนั้นเทียบเท่ากับอาคมอาร์คาน่าระดับ 3 และหากมันถูกใช้เป็นกลุ่มก็จะเทียบเท่าระดับ 4 เพียงแต่ว่าวิชาทั้ง 2 นี้มีวิชาของมนุษย์ผสมผสานเข้าไปด้วย ไม่ได้เป็นวิชาโบราณอาร์คาน่าแท้ ๆ แม้ว่าวิชาอาร์คาน่าที่ปรับปรุงแล้วเหล่านี้จะไม่ได้รับผลกระทบเรื่องที่มันกินพลังมากเกินไป แต่มันก็ทำลายขอบเขตของระดับวิชาลง และข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดคือถึงจะเชี่ยวชาญวิชาเหล่านี้ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเชี่ยวชาญวิชาในระดับเดียวกันได้ง่าย ๆ

ด้วยเหตุนี้ การจะประเมินระดับการบ่มเพาะของแต่ละคน โดยพิจารณาจากความสามารถของทักษะที่พวกเขาสามารถได้จึงยังไม่เพียงพอ

ทำนองเดียวกันกับวิชาจิตหงส์เพลิง พลังของมันเทียบเท่ากับอาคมอาร์คาน่าระดับ 6 แต่เนื่องจากมันรวมเอาองค์ประกอบจากหลาย ๆ อย่างมาเข้าไว้ด้วยกันเป็นแรงบันดาลใจ และทำให้ผู้ที่มีพลังจิตสูงเท่านั้นที่จะใช้ได้ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรวมวิชานี้เอาไว้ในระบบการจัดอันดับเช่นกัน

ดังนั้นในระบบการจัดระดับตามวิชาโบราณอาร์คาน่าแท้ ๆ นี้ ซูเฉินจึงเป็นเพียงปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 3

มนุษย์นกเผ่าปักษา 2 ตัวที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 4 ชายหนุ่มรู้ได้หลังจากตรวจสอบรูปแบบพลังงานต้นกำเนิดของพวกเขา

รูปแบบพลังต้นกำเนิดนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าอักขระวิชาอาร์คาน่า ซึ่งเป็นรากฐานของวิชาโบราณอาร์คาน่า ในอดีตซูเฉินใช้เวลาไปกับศึกษาสิ่งเหล่านี้ค่อนข้างมาก อักขระวิชาอาร์คาน่าก็ใช้ระบบ 10 ระดับนี้เช่นกัน ดังนั้นซูเฉินจึงสามารถแยกแยะความเชี่ยวชาญของมนุษย์นกทั้ง 2 ได้อย่างง่ายดาย

เมื่อซูเฉินผ่าหน้าอกศพของมนุษย์นกแล้วเปิดทะเลพลังต้นกำเนิด เขาก็มองเห็นวัตถุบางอย่างที่ส่องแสงอยู่ภายใน

นี่คืออักขระวิชาอาร์คาน่า

อักขระวิชาอาร์คาน่าเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากพลังต้นกำเนิดบริสุทธิ์ และดูเหมือนอาคารขนาดเล็กที่ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศและอักขระลึกลับกึ่งลอยกึ่งจมอยู่ในทะเลพลังต้นกำเนิด

หลังจากที่ทะเลพลังต้นกำเนิดถูกเปิดออก อักขระวิชาอาร์คาน่าที่สูญเสียการป้องกันก็เริ่มเรืองแสงและระเหยหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว

ซูเฉินมองดูมันกระจายหายไปพร้อม ๆ กับแสงของพลังต้นกำเนิด

“น่าเสียดาย !” ซูเฉินถอนหายใจ

“เสียดายอะไร ?” กังเหยียนถาม

“หากข้าสามารถเก็บชิ้นส่วนวิชาอาร์คาน่าเหล่านั้นไว้ได้ ทั้งหมด นั่นคือการตกผลึกของความรู้ความเข้าใจวิชาโบราณอาร์คาน่าของมนุษย์นกตนนี้” ซูเฉินตอบอย่างง่าย ๆ สบาย ๆ

“เหตุใดถึงทำไม่ได้ล่ะ ?”

“เพราะมันทำมาจากพลังต้นกำเนิดบริสุทธิ์ หากปราศจากสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาพวกมันไว้” ซูเฉินกล่าว

“เช่นนั้นก็สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับมันขึ้นมาสิ” กังเหยียนกล่าว

ซูเฉินกำลังจะสั่นศีรษะ ก่อนจะฉุกใจขึ้น

ใช่แล้ว !

ทำไมมันจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ ?

“ข้าคิดว่าความคิดของเจ้าช่างสมเหตุสมผลมาก… และมันก็อาจไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะทำให้เป็นจริง” ซูเฉินกล่าวด้วยความตื่นเต้น

อันที่จริงมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่ายเลยทีเดียว !

หลังใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดไป 2 ครั้ง ซูเฉินก็ได้คำตอบมา

“หญ้าไร้ดอก ผลสามหยาง หัวใจกระรอกบิน และเมล็ดระฆังแห้ง… ” ซูเฉินรีบจัดรายการของเหล่านี้ลงกระดาษอย่างรวดเร็ว แล้วส่งมันให้กับกังเหยียน “ให้เซียนหลิงเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้ข้า ยิ่งเร็วยิ่งดี !”

ด้วยพลังของตระกูลจูแค่การรวบรวมสิ่งของเหล่านี้ นับว่าง่ายดายและสามารถจัดการได้อย่างรวดเร็วยิ่ง

บ่ายวันนั้น ส่วนผสมทั้งหมดก็มาปรากฏอยู่บนโต๊ะทำงานของซูเฉิน

ซูเฉินค่อย ๆ ผ่าอกของมนุษย์นกอีกตนออกอย่างระมัดระวัง และดึงอักขระวิชาอาร์คาน่าออกมา อักขระเริ่มระเหยทันทีที่สัมผัสกับอากาศ ซูเฉินรีบดึงพวกมันออกมาแล้ววางลงในของเหลวที่ผสมไว้ อักขระวิชาอาร์คาน่าหยุดสลายไปและค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างมั่นคง

“สำเร็จ !” กังเหยียนหัวเราะอย่างมีความสุข

การแสดงออกของซูเฉินที่อยู่อีกทางด้านหนึ่ง เปี่ยมไปด้วยอารมณ์เกินจะกล่าว เขาจ้องมองไปรูปแบบพลังต้นกำเนิดอย่างลุ่มหลง ขณะที่พึมพำว่า “ช่างสวยอะไรอย่างนี้”

สวย ?

กังเหยียนจ้องไปที่รูปแบบพลังต้นกำเนิดและกล่าวว่า “ด้วยความเคารพนายท่าน ข้าไม่สามารถบอกจริง ๆ ได้ว่ามันสวยอย่างไร ?”

ซูเฉินกล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่าความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยและวิชาโบราณอาร์คาน่าคืออะไร ?”

“ตราบเท่าที่สามารถเชี่ยวชาญวิชาโบราณอาร์คาน่าที่สอดคล้องกัน ก็จะสามารถเพิ่มระดับการฝึกฝนได้ ?”

“ไม่ ไม่ ที่เจ้ากำลังพูดถึงคือสิ่งเด่นชัดภายนอก ข้ากำลังพูดถึงความแตกต่างที่พื้นฐาน”

กังเหยียนส่ายหัว

ซูเฉินกล่าวว่า “แก่นแท้ของวิชาโบราณอาร์คาน่าคือความรู้ มันเป็นวิธีที่บริสุทธิ์ที่สุด และที่ดีที่สุดในบรรดาวิธีการใช้พลังต้นกำเนิดทั้งหมดที่เรามี”

ในระบบการฝึกฝนของมนุษย์ เหล่าผู้บ่มเพาะจะพยายามพัฒนาตนเอง และการฝึกฝนของคนผู้หนึ่งจะเพิ่มไปตามรากฐานของพวกเขา ทักษะต้นกำเนิดเป็นเพียงการแสดงรูปลักษณ์ของรากฐานเหล่านั้นออกมา ระบบนี้เป็นผลมาจากความปรารถนาของมนุษย์ที่ต้องการจะบรรลุสู่ความเป็นอมตะ

ในทางกลับกัน วิชาโบราณอาร์คาน่าได้รับการออกแบบมาอย่างหมดจดโดยคำนึงถึงการใช้พลังต้นกำเนิดอย่างมีประสิทธิภาพ และจะไม่ส่งผลต่ออายุขัยของผู้ใช้มากนัก แม้ว่าจะมีชาวอาร์คาน่าบางคนที่อาศัยวิชาอาร์คาน่าระดับสูงเพื่อเพิ่มอายุขัยของพวกเขาอยู่ แต่มันไม่ใช่การเพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง มันเป็นวิธีการพึ่งพาพลังต้นกำเนิดจากภายนอก

ซึ่งคล้ายกับวิธีที่มนุษย์ต้องพึ่งพายาและวิธีการอื่น ๆ ในการเพิ่มอายุขัย ในขณะที่สัตว์อื่น ๆ อาทิ เต่ากลับสามารถอยู่ได้เป็นพัน ๆ ปีด้วยตัวมันเอง

อันหนึ่งมีอยู่จริงเพิ่มขึ้นมาจากภายใน ส่วนอีกอันหนึ่งเป็นเพียงการหยิบยืมมาจากภายนอก

“ความรู้สามารถลอกเลียนแบบได้” ซูเฉินกล่าวอย่างนุ่มนวลขณะที่เขาจ้องมองรูปแบบพลังต้นกำเนิดที่ลอยอยู่ในส่วนผสมเหลวเงียบ ๆ

กังเหยียนยังคงดูสับสน

ซูเฉินยิ้มเล็กน้อย “เอาล่ะ ถ้าข้าบอกเจ้าว่า หากข้าย้ายอักขระวิชาอาร์คาน่าเหล่านี้ไปใส่ลงในร่างกายของเจ้าแล้ว เจ้าจะสามารถวิชาโบราณอาร์คาน่าได้ล่ะ ?”

“ข้า ? ใช้วิชาโบราณอาร์คาน่างั้นเหรอ ?” กังเหยียนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “มันเป็นไปได้จริงหรือ ?”

“แน่นอนว่าไม่” ซูเฉินตอบแบบเทถังน้ำเย็นใส่หัวของเขา “จะมีสิ่งที่ดีเช่นนั้นบนโลกนี้ได้อย่างไร ? รูปแบบพลังต้นกำเนิดของแต่ละคนมีล้วนมีตราประทับเฉพาะตัวกันไป แม้ว่าข้าจะหาวิธีที่จะย้ายพวกมันใส่ลงในร่างกายของเจ้าได้ เจ้าก็ไม่สามารถใช้มันง่าย ๆ ได้อยู่ดี”

“แล้วเหตุใดถึงพูดได้แบบนั้นล่ะ ?” กังเหยียนรู้สึกผิดหวัง

“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วไงว่าความรู้สามารถลอกเลียนแบบได้” ซูเฉินกล่าวอย่างมีความหมาย ในขณะที่เขาเปิดใช้งานเนตรมองโลกจุลภาค ผลึกวิญญาณเองก็ถูกเปิดใช้งานอย่างเต็มที่

พริบตาต่อมา ซูเฉินก็วางมือซ้ายไว้เหนือรูปแบบพลังงานต้นกำเนิด ในขณะเดียวกันก็วางมือขวาลงบนหัวของกังเหยียน

กังเหยียนรู้สึกตาพร่าเลื่อนไปชั่วครู่ เนื่องจากจุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในมุมมองที่เขาเห็น พวกมันกระจัดกระจายวุ่นวายเต็มไปหมด เขารู้สึกราวกับว่าเขาได้เข้าสู่อาณาจักรลับอย่างกะทันหัน อักขระลึกลับล่องลอยอยู่ในอากาศรอบตัวเขาทุกหนทุกแห่ง

ทันใดนั้นก็มีมือปรากฏขึ้นมากลางอากาศ กังเหยียนยกมือขึ้นเพื่อจะปัดมันออกไปตามสัญชาตญาณของเขา

ในขณะที่เขากำลังจะทำเช่นนั้น เขาได้ยินซูเฉินพูดขึ้นว่า “อย่าต่อต้าน !”

หลังจากติดตามซูเฉินมานานหลายปี กังเหยียนก็ได้กลายเป็นผู้ที่เชื่อฟังเขาอย่างสมบูรณ์

เมื่อซูเฉินกล่าวเช่นนั้น เขาก็สกัดกั้นสัญชาตญาณนั้นเอาไว้ด้วยกำลังทั้งหมดของเขา

จากนั้นเขาก็มองดูมือข้างนั้นตรงเข้าสู่จิตสำนึกของเขา มันเริ่มโบยบินไปมาอยู่ด้านในพลางกระพริบแสงริบหรี่

รูปแบบพลังงานต้นกำเนิดอันแล้วอันเล่าถูกมือนับคว้าจับไปเรื่อย ๆ และรวมพวกมันเข้าด้วยกัน จิตสำนึกของของกังเหยียนค่อย ๆ เริ่มไล่ตามมันไปช้า ๆ

“ใช้พลังต้นกำเนิดของเจ้าติดตามรูปแบบเหล่านั้น !” เสียงของซูเฉินยังคงดังขึ้นบอกเขาต่อไป

กังเหยียนทำตามคำแนะนำของเขาทันที

รูปแบบต่าง ๆ เริ่มขยับเร็วขึ้นเรื่อย ๆ พวกมันจัดระเบียบใหม่และรวมเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่อง

กังเหยียนพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อไล่ตามไปภายใต้การแนะนำของซูเฉิน ในขณะที่เขาหมุนเวียนพลังต้นกำเนิดในร่างกายของเขา

อักขระวิชาอาร์คาน่าเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แต่มั่นคงในจิตสำนึกของเขา

เมื่อกดมือลงมา กังเหยียนก็รู้สึกว่ารูปแบบพลังต้นกำเนิดได้จมลงไปในทะเลต้นกำเนิดของเขา ณ ตอนนั้นพลังต้นกำเนิดของเขาก็ได้หมุนเวียนมาจนถึงขีดจำกัดแล้ว

หลังจากที่อักขระวิชาอาร์คาน่าตกลงสู่ทะเลพลังต้นกำเนิดโดยสมบูรณ์ ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องดังก้องก็ดังขึ้นในหูของเขา

กังเหยียนรู้สึกราวกับว่าเขาสูญเสียมองเห็นไปชั่วขณะ และวิงเวียนศีรษะจนเกือบจะเป็นลม

เกิดอะไรขึ้น ?

ในขณะที่เขายังคงอยู่ในความสับสน กังเหยียนก็ได้ยินเสียงของซูเฉินพูดขึ้นอีกครั้ง “ยินดีด้วย”

ยินดีด้วย ?

เรื่องอะไร ? กังเหยียนยังคงสับสนและไม่เข้าใจ

“ลองดูเอาด้วยตัวเจ้าเอง” ซูเฉินกล่าว

กังเหยียนค่อย ๆ สัมผัสถึงสภาพของเขาอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นความรู้สึกลึกลับและคุ้นเคยก็ผุดขึ้นมาในใจของเขา

สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ “มันเป็นไปได้อย่างไร ?”

“ลองดูแล้วจะรู้” ซูเฉินตบแขนของอีกฝ่ายเบา ๆ

กังเหยียนยกมือขึ้น จากนั้นคลื่นพลังต้นกำเนิดที่เข้มข้นก็พุ่งออกมาจากมือของเขา และระเบิดกลายเป็นเปลวเพลิงลอยขึ้นไปในอากาศ เปลวเพลิงก่อตัวเป็นโล่ที่ห่อหุ้มรอบตัวอย่างรวดเร็ว

“นี่คือ ?” กังเหยียนเปิดปากของเขาด้วยความประหลาดใจ

“โล่เพลิง วิชาอาคมอาร์คาน่าระดับ 4 ยินดีด้วย ตอนนี้เจ้าเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 4 แล้ว”