บทที่ 38 ลอกเลียน (1)
การได้ครอบครองวิชาอาคมอาร์คาน่าระดับ 4 มาง่าย ๆ เช่นนี้มันช่างฟังดูเหลือเชื่อและไกลเกินเอื้อม
อย่างไรก็ตาม การวิจัยก็มีไว้เพื่อสร้างปาฏิหาริย์ที่ว่า
ความแตกต่างก็คืออาคมอาร์คาน่าระดับ 4 ของกังเหยียนได้มาจากการโกงระบบ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะสามารถเข้าใจวิชาอาร์คาน่าอันอื่นที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ ในมุมนี้สถานะปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 4 ของกังเหยียนจึงเป็นสถานะในนามเท่านั้น เนื่องจากวิชาโบราณอาร์คาน่าอาศัยความรู้เป็นพื้นฐาน ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่คนผู้หนึ่งสามารถสร้างรูปแบบพลังต้นกำเนิดระดับ 4 เหล่านี้ได้ ความยากลำบากในการสร้างรูปแบบอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงในระดับเดียวกันก็จะลดลงอย่างมาก
แล้วมันสำคัญอย่างไร ?
ยังไงเขาก็ได้มันมาโดยไม่เสียอะไรมิใช่หรือ ?
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออักขระวิชาอาร์คาน่าระดับ 4 เหล่านี้ จะช่วยให้กังเหยียนสามารถศึกษาวิชาโบราณอาร์คาน่าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต
เขาอาจจะไม่สามารถศึกษารูปแบบระดับ 4 อันอื่น ๆ ได้ แต่การศึกษารูปแบบที่มีระดับต่ำกว่าก็จะไม่ได้ยากลำบากอีกต่อไป
ก็เหมือนกับที่ซูเฉินใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด ชายหนุ่มจะรับเอาคำตอบที่สมบูรณ์มาก่อน จากนั้นเมื่อทำสำเร็จแล้วเขาก็จะพยายามศึกษาย้อนกลับไปยังกระบวนการ และหลังวางรากฐานเสร็จแล้ว การเรียนรู้วิชาโบราณอาร์คาน่าระดับที่คล้ายคลึงกันก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการศึกษาของกังเหยียนอย่างมากและยังช่วยให้เขาไม่หลงไปผิดทาง
ในประวัติศาสตร์ของเผ่าหินผา ในบรรดาสมาชิกของพวกเขาไม่มีใครเคยเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่ามาก่อน ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญของกังเหยียน
เขากลายเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าแล้ว… ง่าย ๆ เช่นนี้ ?
จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของซูเฉินดูซีดเซียวไปเล็กน้อย
การใช้เนตรมองโลกจุลภาคไปพร้อมกับผลึกวิญญาณในเวลาเดียวกัน ดูจะหนักเกินไปสำหรับซูเฉินอยู่บ้าง
“นายท่าน ไม่เป็นไรใช่ไหม ?”
ซูเฉินส่ายหัว “ข้าสบายดี เพียงแค่รู้สึกน่าเสียดายอักขระวิชาอาร์คาน่านี้นิดหน่อย”
เขาเหลือบมองไปทางของเหลวผสมที่เคยใส่อักขระเอาไว้ มันได้สลายหายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
อักขระวิชาอาร์คาน่านี้มีความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับวิชาโบราณอาร์คาน่าของมนุษย์นกตนนี้อยู่ แน่นอนว่ามันย่อมไม่ได้มีเพียงแค่โล่เพลิง แต่น่าเสียดายที่การบังคับลอกเลียนของซูเฉินได้ทำลายพวกมันที่เหลือไปแล้ว ในเวลาเดียวกันกับที่เขาคัดลอกโล่เพลิงได้สำเร็จ อักขระวิชาอาร์คาน่าก็ได้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเขาสามารถลอกเลียนวิชาโบราณอาร์คาน่ามาได้เพียงแค่อันเดียวเท่านั้น
แต่ได้แค่นั้นก็ดีมากพอแล้ว
ซูเฉินตบไหล่กังเหยียนแล้วกล่าวว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะต้องศึกษาวิชาโบราณอาร์คาน่าให้มากขึ้นอีก ข้าจะให้ผ้าเท่อลั่วเค่อมาสอนเจ้า”
หลังพูดจบเขาก็โยนดาบหั่นภูผาไปทางอีกฝ่าย
“ศึกษา ?” กังเหยียนขมวดคิ้ว “สำหรับเผ่าหินผาแล้ว นั่นออกจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากไปหน่อย”
“แต่มันแค่ยากใช่ไหม ? ความยากลำบากถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เอาชนะ ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้” ซูเฉินกล่าว
“ข้ายังคงชินกับการต่อสู้แบบเดิม ๆ ของข้ามากกว่า” กังเหยียนเกาหัวของเขา
“ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้ปกติของเจ้า แต่ถ้าเจ้าสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้โดยไม่ต้องสละอะไรไปมาก เจ้าก็ไม่จำเป็นจะต้องไปปฏิเสธมันหรอก”
“มีวิชาโบราณอาร์คาน่ามากมายที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายให้เจ้าได้ มันจะเป็นประโยชน์ยิ่งหากเจ้าได้เรียนรู้มัน เช่น พลังมังกรที่จะทำให้ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้าเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ หรือผิวเหล็กที่ถึงจะไม่ได้เด่นในการป้องกันมากนัก แต่มันก็ไม่ไปขัดกับเกราะรบเหล็กกล้าและสามารถใช้ได้พร้อม ๆ กันได้ ในทำนองเดียวกันกับโล่เพลิงที่สามารถใช้ร่วมกับเกราะภูผาเหล็กได้ นอกจากนี้ยังมีลมกรดที่จะช่วยเพิ่มความเร็วและสามารถใช้ควบคู่ไปกับวิชากายเมฆาได้ วิชากลั่นโลหิตเองก็สามารถให้ร่วมกับกลุ่มดาวปีศาจโลหิตได้ ทักษะกลืนกินสวรรค์น่าจะเข้ากันได้ดีกับทักษะดูดกลืนชีวิต”
“หากระดับของเจ้าสูงขึ้น เจ้าก็จะได้รับความสามารถที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น ข้าไม่ได้บอกให้เจ้ายอมแพ้ในเส้นทางเดิมของเจ้า แต่ก็เพื่อเพิ่มพลังให้เจ้าได้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้เจ้าสามารถไปยังจุดที่สูงขึ้นและไกลขึ้นบนเส้นทางเดิมของเจ้าได้”
เมื่อได้ยินคำอธิบายเกี่ยวกับเส้นทางอนาคตจากซูเฉิน ดวงตาของกังเหยียนก็สว่างขึ้น
เขาชอบความรู้สึกเวลาหมัดของเขากระแทกเข้ากับเนื้อ ดังนั้นการยิงลูกไฟอยู่ไกล ๆ จึงไม่เหมาะกับเขาจริง ๆ แต่คำพูดของซูเฉิน ก็ทำให้เขาได้เห็นวิชาโบราณอาร์คาน่าในมุมที่เหมาะกับเขาอย่างมาก
สำหรับปรมาจารย์อาร์คาน่าเหล่านั้น วิชาอาร์คาน่าเหล่านี้อาจไม่ตรงเป้าหมายของพวกเขาอยู่สักหน่อย แต่สำหรับกังเหยียนแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันสมบูรณ์แบบยิ่ง
“ขอรับ !” กังเหยียนพยักหน้าอย่างตื่นเต้น
“น่าเสียดายที่เรามีศพเผ่าปักษาอยู่เพียงแค่ 2 ตน หากมีมากกว่านี้ข้าอาจจะสามารถเปลี่ยนให้อวิ๋นเป้ากับคนอื่น ๆ เป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าได้เช่นกัน” ซูเฉินถอนหายใจอย่างเสียใจ
“แล้วเหตุใดไม่จับมาอีกสักสองสามตัวล่ะ ? ก็มีมนุษย์นกบินอยู่เต็มไปนี่” กังเหยียนตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ซูเฉินหัวเราะ “พูดอย่างกับว่าเจ้าสามารถไปไล่จับเผ่าปักษา … ”
เขาชะงักไปในทันใด จากนั้นดวงตาของเขาค่อย ๆ สว่างขึ้น “ใช่แล้ว เหตุใดข้าจะหามนุษย์นกมาอีกไม่ได้ล่ะ ?”
ซูเฉินตกลงสู่ในห้วงความคิดขณะที่เขาจ้องไปที่ศพมนุษย์นกบนโต๊ะวิจัย
——————————————
“อะไรนะ ? เจ้าต้องการซื้อตัวเชลยเผ่าปักษา ?”
จูอวิ๋นเยี่ยนจ้องมองซูเฉินด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ ท่านผู้นำตระกูลพอจะให้การช่วยเหลือข้าได้หรือไม่ ?” ซูเฉินถาม “อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยทำสงครามกับเผ่าปักษามาเป็นเวลานาน ข้าคิดว่าก็น่าจะมีเชลยมนุษย์นกหลายตนอยู่ จริงหรือไม่ ?”
ซูเฉินไม่ได้คิดที่จะจับพวกมันเอง แต่จะซื้อพวกมันแทน
ในเมื่อเขามีเงินมากมายขนาดนี้ แล้วทำไมเขาถึงจะต้องไปเสี่ยงชีวิตเพื่อแก้ปัญหานี้กัน ?
“เพื่อการวิจัย ?” จูอวิ๋นเยี่ยนถาม
ซูเฉินพยักหน้า
“เจ้าต้องการเท่าไหร่ ?”
“ปริมาณไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือคุณภาพ… ข้าต้องการตนที่แข็งแกร่งที่สุด !”
เนื่องจากเขากำลังจะทำการลอกเลียนวิชาอาร์คาน่ามา ฉะนั้นแล้วยิ่งตัวทดลองแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น เพราะอักขระวิชาอาร์คาน่านั้นศึกษาจากบนลงล่างจะง่ายกว่า ยิ่งอักขระวิชาอาร์คาน่ามีระดับสูง ความก้าวหน้าก็จะยิ่งเร็วขึ้นตามไปด้วย
นี่คือเหตุผลที่ซูเฉินต้องการมนุษย์นกที่แข็งแกร่งที่สุด และไม่ใส่ใจเรื่องจำนวน
จูอวิ๋นเยี่ยนขมวดคิ้ว “เชลยระดับสูงหาได้ไม่ง่ายนัก”
“แต่ตระกูลจู ก็น่าจะสามารถหาซื้อมาได้ใช่ไหม ?” ซูเฉินกล่าว
แน่นอนว่าตระกูลจูย่อมสามารถหาซื้อเชลยเผ่าปักษาเหล่านี้มาอยู่แล้ว อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังคงเป็นตระกูลที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูร พวกเขาจึงมีสถานะที่สำคัญในหมู่ตระกูลชั้นสูงของอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย นอกจากนี้ ตระกูลจูยังเพิ่งช่วยเปิดเผยการสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกเผ่าของตระกูลหรงไป และเขาเองก็มีส่วนร่วมอย่างมาก การจะขอซื้อตัวเชลยเผ่าปักษาระดับสูงมานั้นไม่ใช่ปัญหาเลย ตราบใดที่พวกเขามีเหตุผลที่ดีพอมาอธิบาย
ชื่อเสียงของในฐานะปราชญ์ชาญโลกเองก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้ง 7 อาณาจักรแล้ว แม้จะยังคงมีการต่อต้านการพัฒนาทักษะวิชาบ่มเพาะแบบไร้สายเลือดอยู่บ้าง แต่ถ้าชายหนุ่มต้องการทำวิจัยเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ต่างถิ่นแล้วล่ะก็ พวกเขาก็ยินดีที่จะร่วมพูดคุยอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุนี้จูอวิ๋นเยี่ยนจึงตกลงอย่างรวดเร็ว “ได้ ข้าจะส่งคนไปที่เมืองหลวงทันที”
เมื่อตระกูลจูเป็นผู้จัดการเรื่องนี้เอง ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น
วันนี้ซูเฉินก็ยังคงทำวิจัยของตัวเองในห้องปฏิบัติการตามปกติ สักพักต่อมาอวิ๋นเป้าก็ปรากฏขึ้น “คนที่ไปยังเมืองหลวงกลับมาแล้ว”
“โอ้ ? เป็นยังไงบ้าง ?”
“พวกเขานำพวกมันกลับมา 20 ตน”
“เยี่ยม !” ซูเฉินปรบมือด้วยความตื่นเต้น “ไปดูกันเถอะ”
พวกเขาตรงไปยังคุกของตระกูลจู ที่นั่นซูเฉินได้พบกับเชลยเผ่าปักษา 20 คนที่ถูกขังเอาไว้ แต่ละคนสวมกุญแจมือหนาที่ทำจากหินพลังต้นกำเนิดกับทองดาราเอาไว้
จูไป่โหลวเป็นผู้ดูแลคุกและเป็นลุงห่าง ๆ ของจูเซียนเหยา เขาเป็นที่รู้จักในนามลุงสิบสามเพราะความอาวุโสของเขา ตอนนี้เขากำลังเดินนำซูเฉินไปพร้อมรอยยิ้มตลอดทาง “เชลยทั้ง 20 ตนอยู่ที่นี่ทั้งหมดแล้ว 12 ตนเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 4 อีก 7 ตนเป็นระดับ 5 และตนสุดท้ายเป็นระดับ 6 ”
“มีระดับ 6 เพียงแค่ตนเดียวเองหรือ ?” ซูเฉินรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
จูไป่โหลวยิ้มอย่างขมขื่น “นายน้อยซู มนุษย์นกระดับสูงไม่ใช่หัวผักกาดหรอกนะ พวกมันทั้งหายากและมีอยู่น้อยและยังยากที่จะจับเป็นอีก เราใช้และเจรจากันอยู่ตั้งพักใหญ่กว่าพวกเขาจะยอมส่งมอบมันให้เราแลกกับเงินจำนวนมาก แถมเงื่อนไขที่เราต้องทำตามอย่างเคร่งครัดอีกข้อ คือห้ามไม่ให้พวกมันออกนอกอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยทั้งเป็นเด็ดขาด มิฉะนั้นเราจะต้องเป็นผู้อธิบายเรื่องนั้น”
“ได้” ซูเฉินทำได้แค่เพียงยอมรับ ดูเหมือนว่าการจับกุมปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 10 เพื่อข้ามขั้นไปยังระดับ 10 ในทีเดียวคงจะเป็นไปไม่ได้แล้วในตอนนี้
แต่ระดับ 6 ก็ไม่ได้นับว่าแย่มากเท่าไหร่ เขาสามารถคิดเรื่องนั้นทีหลังได้ ตอนนี้เขาควรจะจัดการกับเรื่องนี้ก่อน
ขณะที่เขาตรวจสอบเชลย ซูเฉินก็ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
นั่นคือมนุษย์นกเพศหญิงที่ทำการสนับสนุนให้ตระกูลหรงทรยศ
นางได้ถูกส่งไปยังเมืองหลวงพร้อมกับผู้อาวุโสทั้ง 6 จากตระกูลหรง แต่หลังจากไปถึงได้ไม่นานนางก็ถูกส่งกลับมาหาเขา
เมื่อเขาเห็นมนุษย์นกหญิงผู้นี้ ซูเฉินก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง
แต่ซูเฉินไม่ได้สนใจ เขาหันไปพูดกับจูไป่โหลว “เช่นนั้นข้าก็ขอรับมนุษย์นกพวกนี้ไปเลยแล้วกัน โปรดฝากคำขอบคุณไปถึงท่านหัวหน้าตระกูลให้ข้าด้วย”
จูไป่โหลวตบหน้าอกของตัวเองเป็นเชิงบอกว่าไม่จำเป็นต้องขอบคุณ และยังช่วยพามนุษย์นกออกจากคุกด้วยตัวเอง ตอนนี้ซูเฉินเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลจู และสามีในอนาคตของจูเซียนเหยา ไม่ว่าเขาจะแต่งเข้าตระกูลหรือพาจูเซียนเหยาไปด้วยกัน อย่างน้อยที่สุดผลลัพธ์ที่ว่พวกเขายังคงต้องเกี่ยวข้องกันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นจูไป่โหลวจึงฉวยโอกาสนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์เอาไว้
สำหรับระลอกแรก ซูเฉินได้นำเผ่าปักษาที่มีระดับ 4 ทั้ง 12 ตนกับระดับ 5 อีก 2 ตนไปด้วย
เขาเตรียมเผ่าปักษาระดับ 4 ไว้ให้ 12 ข้ารับใช้ดาบส่วนระดับ 5 เอาไว้ให้อวิ๋นเป้าและจูเซียนเหยา
ซูเฉินพาเชลยกลับไปที่ห้องวิจัยและเริ่มแยกอักขระวิชาอาร์คาน่าออกมา จากนั้นก็ทำการลอกเลียนพวกมัน
เพราะเขาสามารถทำการคัดลอกมาได้เพียงแค่ 1 วิชาต่อ 1 อักขระวิชาอาร์คาน่าเท่านั้น ซูเฉินจึงจำเป็นจะต้องเลือกวิชาที่เหมาะสมกับคนที่เขาจะให้ นี่คือเหตุผลที่เขามอบโล่เพลิงให้กับกังเหยียน เผ่าปักษาส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่ความเร็วและระยะไกลเป็นหลัก ในขณะที่การต่อสู้จากระยะประชิดนั้นมีอยู่น้อยมาก
ดังนั้นโล่เพลิงจึงไม่ได้เป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกมัน แต่เพราะมันเป็นวิชาที่เข้ากันได้ดีกับรูปแบบการต่อสู้ของกังเหยียน ซูเฉินจึงเลือกที่จะให้วิชาที่ไม่ทรงพลังนี้แก่เขา
เช่นเดียวกันกับของคนอื่น ๆ
12 ข้ารับใช้ดาบมีภูมิหลังเป็นคนที่มาจากกองทัพ และได้ฝึกฝนวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ของซูเฉิน คุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพวกเขาคือการต่อสู้แบบกลุ่ม ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะเพิ่มทวีคูณเมื่อรวมกลุ่มสู้ด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้ ซูเฉินจึงเลือกวิชาอาร์คาน่าที่เด่นเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพของทักษะกลุ่ม แทนที่จะเลือกวิชาตามความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว
หลังจากค้นหาไปสักพักซูเฉินก็เลือก ‘วิชาแดนหิมาลัย’
ตรงตามชื่อของมัน วิชาแดนหิมาลัยมีไว้เพื่อใช้แช่แข็งคู่ต่อสู้
ความสามารถในการสังหารของวิชานี้อยู่เพียงระดับทั่ว ๆ ไปเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วมันมักจะถูกใช้เพื่อชะลอการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ หรือปิดผนึกแขนขาของพวกเขาด้วยน้ำแข็งและทำให้เคลื่อนไหวได้ยากมากกว่าใช้โจมตีเพื่อปลิดชีพ
ที่ซูเฉินเลือกมันก็เพราะมันเป็นวิชาอาร์คาน่าสายควบคุมที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก
นี่เป็นข้อแตกต่างระหว่างทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยกับวิชาโบราณอาร์คาน่าที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง ทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยนั้นมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มพลังชีวิตและความแข็งแกร่งของตัวบุคคล วิชาที่ทำให้ศัตรูอ่อนแอลงจึงหายาก แม้ว่าจะมีทักษะต้นกำเนิดประเภทควบคุมและประเภทคำสาปอยู่ แต่มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพหรือจำนวนมากมายนัก
ท้ายที่สุดแล้ว ทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยในปัจจุบันใส่ใจอยู่กับการพัฒนาความแข็งแกร่งส่วนตัวซะมาก แนวคิดที่ว่าความแข็งแกร่งเป็นเรื่องของคนคนเดียว จึงทำให้วิชาที่ใช้ดึงรั้งความแข็งแกร่งของผู้อื่นลงมาเลยถูกมองข้ามไป
แต่วิชาโบราณอาร์คาน่านั้นต่างออกไป ทั้งชาวอาร์คาน่าและมนุษย์นกต่างก็มีพลังชีวิตที่อ่อนแอ พวกเขาไม่เก่งในการต่อสู้ระยะประชิดและทำได้เพียงเฝ้าโจมตีมาจากระยะไกลเท่านั้น ฉะนั้นแล้วเพื่อความปลอดภัยของตัวพวกเขาเอง การใช้พลังต้นกำเนิดเพื่อทำให้ศัตรูอ่อนแอลงหรือเพื่อควบคุมคู่ต่อสู้ เรียกได้ว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและจำเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้การที่ทั้งคำสาป วิชาลดทอนกำลัง และวิชาควบคุมมีอยู่มากมายหลากหลายจึงถือเป็นเรื่องธรรมดาในระบบของชาวอาร์คาน่า !