บทที่ 599 ตระกูลเดอะคิงเข้าควบคุม

The king of War

“เธอเป็นภรรยาไม่ผิด แต่ว่าความสามารถทางธุรกิจไม่จำเป็นต้องอยู่เหนือกว่านาย”

“ถ้ามีสักวันหนึ่ง เธอทำคุณูปการให้เยี่ยนเฉินกรุ๊ปแซงหน้านายไปได้ ฉันจะไม่ลังเลสักนิด ให้เธอมาแทนที่นาย”

“ไม่ว่ายังไง โดยเฉพาะเธอเป็นคนเข้ามาใหม่ ถ้าให้คนอื่นในบริษัทรู้ว่า เป็นเพราะฉัน เธอถึงได้ตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ นายคิดว่าคนอื่นจะมองเธอยังไงกัน?”

ชั่วขณะนั้นลั่วปิงตะลึง เขากลับไม่ได้นึกถึงเรื่องพวกนี้ ปัจจุบันนี้พอหยางเฉินกล่าวถึง เขาถึงนึกได้

ถึงตอนนั้น คนอื่นดูอยู่ต่อหน้าไม่กล้าว่าอะไร แต่ลับหลังจะต้องใส่ร้ายป้ายสีฉินซีสารพัด

“ท่านประธานครับ ผมเข้าใจแล้ว ท่านวางใจได้ ผมรู้ว่าควรทำอย่างไรครับ” ลั่วปิงพูดจาด้วยท่าทางจริงจัง

“เอาล่ะ พักเรื่องพวกนี้ไว้ก่อน”

หยางเฉินเอ่ยปากบอกว่า “ที่ดินผืนนั้นที่แข่งประมูลมาได้เมื่อวานนี้ ทำเองเสร็จแล้วสินะ?”

ลั่วปิงรีบพยักหน้า “จัดการเรียบร้อยแล้วครับ ต่อจากนี้ไปคือการออกแบบเป็นรูปธรรมของเมืองจิ่วโจวครับ ตอนที่ผมเรียนปริญญาเอก ศาสตราจารย์ที่ดูแลผม เป็นผู้เชี่ยวชาญในขอบข่ายสถาปัตยกรรมครับ วันนี้ผมคิดว่าจะไปหาเธอแล้วคุยดูหน่อย เรื่องที่สร้างเมืองจิ่วโจว”

“ถ้าเธอออกหน้าได้ เมืองจิ่วโจวในอนาคต จะต้องกลายเป็นสิ่งก่อสร้างโด่งดังที่บันทึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์แน่นอนครับ”

ทุกครั้งที่พูดถึงเมืองจิ่วโจว ลั่วปิงฮึกเหิมอย่างมาก

หยางเฉินพยักหน้า “ถ้าสามารถเชิญอาจารย์ของนายมาได้ คงจะดีที่สุดแล้ว”

หลังจากเขาครุ่นคิดอยู่นาน ก็เอ่ยปากกะทันหัน “แบบนี้ดีเลย ฉันจะไปเจออาจารย์ของนายกับนายด้วยตัวเองสักหน่อย”

พอได้ยิน ลั่วปิงดีใจยกใหญ่ รีบพูดว่า “ถ้าท่านไปเจออาจารย์ด้วยตัวเองได้ อาจารย์คงต้องดีใจมากแน่ครับ เพราะความฝันของเธอ ก็คือการสร้างเมืองที่รวบรวมเอกลักษณ์ของจิ่วโจวไว้แห่งหนึ่ง”

หลังคุยรายละเอียดกับลั่วปิง หยางเฉินก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นมาก ต่อผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมชื่อดังในประเทศคนนี้

อีกฝ่ายชื่อตู้จิ้งชู อายุเจ็ดสิบปีแล้ว แต่ยังคงยืนยันจะให้ความรู้ผู้คนอยู่ สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเยี่ยนตู

ลั่วปิงโทรศัพท์ไปหาตู้จิ้งชูก่อนแล้ว นัดเจอกันที่มหาวิทยาลัยเยี่ยนตูเรียบร้อย

ช่วงประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง ลั่วปิงพาหยางเฉิน มาถึงมหาวิทยาลัยเยี่ยนตูแล้ว

“นายจองร้านอาหารแล้วเหรอ?”

หยางเฉินถามขึ้นฉับพลัน

ลั่วปิงนัดกับตู้จิ้งชูไว้ตอนเที่ยงตรง เพราะตู้จิ้งชูไม่พอใจเรื่องการมาสายเป็นพิเศษ ดังนั้นทั้งสองคนจึงมาก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงมหาวิทยาลัยกันแล้ว

ลั่วปิงส่ายหน้าตอบ “ศาสตราจารย์ตู้ไม่ชอบอะไรยิ่งใหญ่เป็นพิเศษครับ ใจจดจ่ออยู่แต่ด้านสถาปัตยกรรม สำหรับเธอนั้น อาหารสามมื้อขอเพียงมีกินมีดื่มก็พอครับ”

หยางเฉินหัวเราะแล้ว “ศาสตราจารย์ตู้คนนี้ กลับมีบุคลิกเฉพาะตัวดี”

ลั่วปิงพยักหน้า “ตอนนี้ศาสตราจารย์ที่ไม่มีความคิดหาผลประโยชน์ และมีเพียงทุ่มเทไปกับการศึกษาวิจัยแบบนี้ มีไม่มากแล้วจริงๆ ครับ”

ในใจของลั่วปิง ศาสตราจารย์ตู้เป็นหนึ่งในคนที่เขาเคารพนับถือมากที่สุด

มหาวิทยาลัยเยี่ยนตูใหญ่มาก ตอนที่ทั้งสองคนมาถึงอาคารเรียนของคณะสถาปัตยกรรม เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี เสียงกริ่งเลิกเรียนก็ดังขึ้นมาเหมือนกัน

ไม่นาน หญิงสูงวัยที่ผมสีดอกเลาเต็มศีรษะคนหนึ่งเดินออกมาแล้ว ใส่เสื้อถักไหมพรมสีเทาตัวหนึ่ง และสวมแว่นสายตายาวกรอบทอง ใต้รักแร้ยังหนีบหนังสือเล่มหนึ่งไว้ด้วย

ทั่วทั้งตัวล้วนเป็นกลิ่นอายการเรียนรู้ซึมผ่านอยู่

“ศาสตราจารย์ตู้!”

ลั่วปิงเรียกด้วยความเคารพนบนอบ รีบเข้าไปหาทันที

ศาสตราจารย์ตู้เหมือนสำรวมในการพูดและหัวเราะ เพียงแค่พยักหน้าแล้ว พูดจาเรียบนิ่ง “มาแล้ว!”

“ศาสตราจารย์ตู้ ผมแนะนำให้ท่านรู้จักหน่อยครับ คนนี้คือประธานของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป และเป็นเจ้านายของผมด้วยครับ หยางเฉิน”

ลั่วปิงรีบพูดแนะนำทันที

หยางเฉินยิ้มเล็กน้อย เดินเข้าไปพูดว่า “สวัสดีครับศาสตราจารย์ตู้!”

เพียงแค่การทักทายเรียบง่ายประโยคหนึ่ง ไม่ได้มีคำพูดอย่างอื่นอีก

ก่อนหน้าที่ทั้งสองจะมาหาศาสตราจารย์ตู้ ลั่วปิงเคยบอกหยางเฉินไปแล้วว่าศาสตราจารย์ตู้เป็นคนแบบไหน

พูดมากไป กลับจะกระตุ้นความไม่พอใจของศาสตราจารย์ตู้เข้า

ศาสตราจารย์ตู้ก็ไม่ได้ตอบหยางเฉินกลับ เพียงแค่มองเขาแวบหนึ่งแบบนิ่งเฉย บนหน้าไม่พอใจอยู่บ้าง พูดกับลั่วปิงว่า “นายพาคนเข้ามาหาฉัน มีธุระอะไร?”

ลั่วปิงกลัวศาสตราจารย์ตู้โกรธเคือง รีบบอกว่า “ศาสตราจารย์ตู้ครับ ท่านยังจำเมืองจิ่วโจวได้หรือเปล่าครับ?”

ได้ยินลั่วปิงพูดถึงเมืองจิ่วโจว ศาสตราจารย์ตู้สีหน้าดูอบอุ่นบ้างเล็กน้อย ในดวงตาทั้งคู่ที่ลึกล้ำ เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน

“จำได้แน่นอนสิ! การสร้างเมืองจิ่วโจว เป็นความฝันในชีวิตของฉัน เพียงแค่ชาตินี้ บางทีคงไม่มีโอกาสนี้แล้ว” ศาสตราจารย์ตู้ทำท่าทอดถอนใจ

ลั่วปิงรับพูดทันที “ผมพูดถึงภาพฝันของเมืองจิ่วโจวกับท่านประธานไป เขาพอใจมากครับ ได้ตัดสินใจลงทุนจำนวนมหาศาล เริ่มโครงการเมืองจิ่วโจวครับ”

“นายพูดจริงเหรอ?”

ศาสตราจารย์ตู้ที่เมื่อสักครู่ยังทำหน้าผิดหวัง เวลานี้ท่าทางฮึกเหิม จับมือของลั่วปิงเอาไว้ ถามด้วยความตื่นเต้น

ลั่วปิงรีบพยักหน้าทันที “จริงครับ เมื่อวานนี้ พวกผมซื้อที่ดินหนึ่งร้อยไร่ของเขตชานเมืองทิศใต้มาแล้ว ตอนนี้รอแค่ออกแบบพิมพ์เขียวของเมืองจิ่วโจวออกมา ก็จะเริ่มสร้างได้ครับ”

“ภายในสามปี ไม่เพียงแค่เมืองเดียวนี้ที่เมือเยี่ยนตูนะครับ แต่ว่าจะสร้างขึ้นทั้งเก้าแห่ง เก้าเขตใหญ่ แต่ละภูมิภาค ล้วนจะสร้างเมืองจิ่วโจวหนึ่งแห่งครับ”

“อาจารย์ครับ ที่พวกผมมาในวันนี้ อยากจะเชิญท่านมารับตำแหน่ง ควบคุมโครงการออกแบบของเมืองจิ่วโจวด้วยตัวเองครับ”

ลั่วปิงยิ่งพูดอารมณ์ยิ่งฮึกเหิมขึ้น

“ได้ๆๆ พวกเราไปที่เขตชานเมืองทิศใต้กันเดี๋ยวนี้เลย”

ศาสตราจารย์ตู้ตื่นเต้นอย่างมาก แม้แต่ข้าวยังไม่คิดจะกินเลย อยากไปเขตชานเมืองทิศใต้ก่อน

“อาจารย์ครับ กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะครับ ท่านทานข้าวเที่ยงก่อนดีกว่า พวกเราถึงค่อยไปกัน!” ลั่วปิงพูดขึ้น

ใครจะรู้ว่าศาสตราจารย์ตู้ส่ายหน้าโดยตรง พูดเร่งว่า “รอเดี๋ยวขับรถผ่านร้านข้างทาง หาซื้อของกินง่ายๆ มาหน่อยก็ได้ ไปดูที่ผืนนั้นที่เขตชานเมืองทิศใต้กันก่อน”

เห็นได้ชัดว่า ศาสตราจารย์ตู้รับปากแล้ว จะรับผิดชอบโครงการเมืองจิ่วโจวด้วยตนเอง

ลั่วปิงรู้นิสัยของศาสตราจารย์ตู้ดี ดังนั้นจึงไม่พูดโน้มน้าวอีก แต่บอกกับหยางเฉินว่า “ท่านประธานครับ ท่านพาอาจารย์ไปขึ้นรถก่อน ผมจะไปซื้อของกินสองสามชุด แล้วจะเข้าไปครับ”

“ได้ นายไปเถอะ!” หยางเฉินตอบ

ลั่วปิงรีบวิ่งไปยังร้านขายเคบับที่ด้านข้างแล้ว หยางเฉินพาศาสตราจารย์ตู้ไปยังลานจอดรถก่อน

รอหยางเฉินและศาสตราจารย์ตู้เพิ่งมาถึงลานจอดรถ ลั่วปิงก็ซื้อเคบับสามชุดเข้ามาแบบหายใจหอบ

หลังจากสามสิบนาทีผ่านไป ทั้งสามคนก็มาถึงที่เขตชานเมืองทิศใต้แล้ว

พอศาสตราจารย์ตู้ลงรถมา มองที่ดินที่กว้างขวางตรงหน้า หน้าดูฮึกเหิมเต็มเปี่ยม

“พวกนายเป็นใครกัน?”

ในเวลานี้เอง เสียงที่ดูไม่เข้าพวกดังขึ้นกะทันหัน

ผู้ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูทคนหนึ่งเดินเข้ามา ขมวดคิ้วบอกว่า “ที่นี่ถูกตระกูลเดอะคิงเข้าควบคุมแล้ว พวกนายยังไม่รีบออกไปอีก?”

ที่ไม่ไกลนัก ยังมีโรลส์รอยซ์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ รอบด้านของรถ มีชายกำยำชุดดำที่รูปร่างสูงใหญ่แปดคนยืนอยู่

บนตัวของแต่ละคนมีลักษณะท่วงท่าน่าตกใจอย่างมาก แค่คิดก็รู้แล้วว่า สถานะของคนในรถนั้นสูงศักดิ์มากแค่ไหน

หยางเฉินขมวดคิ้ว “ที่ดินของฉันหยางเฉิน ตระกูลเดอะคิงกล้าเข้าควบคุม?”

ได้ยินตระกูลเดอะคิงสองคำนี้เข้า นัยน์ตาลั่วปิงเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ

ในสายตาเขา แปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูก็เป็นตระกูลมหาเศรษฐีแล้ว สำหรับตระกูลเดอะคิงและราชวงศ์ ในความคิดของเขา คือตระกูลหนึ่งที่ห่างไกลอย่างมาก

ปัจจุบันนี้ คาดไม่ถึงคนของตระกูลเดอะคิงมาแล้ว

ที่ยิ่งทำให้เขารู้สึกตกใจกลัวคือ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนของตระกูลเดอะคิง หยางเฉินยังกล้าก้าวร้าวเช่นนี้