เยี่ยโยวเหยาครุ่นคิดครู่หนึ่ง และพูดกับซูจิ่นซีว่า “เจ้ากับข้าลองพยายามส่งพลังภายในพร้อมกัน ดูว่าจะสามารถเปิดประตูบานนี้ได้หรือไม่ จากนั้นก็ใช้พลังหลอมละลาย”
ซูจิ่นซีคิดดูแล้ว วิธีนี้อาจใช้ได้ผล
ท้ายที่สุด ต่อให้ประตูบานนี้จะทรงพลังเพียงใด มันก็ยังเป็นสิ่งของบนโลกมนุษย์อยู่ดี วรยุทธ์ของนางอยู่ในระดับเทพยุทธแล้ว ทั้งเยี่ยโยวเหยายังฝึกวิชายุทธจิ่วเซียวถึงขั้นเจ็ด ดังนั้นต้องพังมันได้อย่างแน่นอน
นางจึงพยักหน้า “ตกลง! ”
ทั้งสองคนหันไปโจมตีประตูเสวียนจินพร้อมกัน
เมื่อขุมพลังที่แข็งแกร่งทั้งสองรวมตัวพุ่งเข้าไปที่ประตูเสวียนจิน ประตูเสวียนจินจึงค่อยๆ เปิดออก
ท่าทางของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และทุกคนที่อยู่ด้านหลัง ต่างแสดงออกถึงความดีใจ
‘โครม’ ประตูเสวียนจินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาถอนพลังฝ่ามือออกมาพร้อมกัน
เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซี พลางเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของนาง
ซูจิ่นซีแย้มยิ้มและพูดกับทุกคนว่า “ตามข้ามา ระวังตัวด้วย! ”
จากนั้นนางจึงเดินเปิดทางข้างหน้าพร้อมกับเยี่ยโยวเหยา
นี่เป็นการเข้าสู่ตำหนักใต้ดินครั้งที่สอง สำหรับซูจิ่นซีในตอนนี้ การรับมือกับมดพิษ แมงมุมพิษ หนูพิษ และอื่นๆ นับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย
ซูจิ่นซีกำจัดสิ่งกีดขวางแต่ละด่านได้อย่างรวดเร็ว และนำทุกคนไปยังห้องลับที่มู่หรงอวิ๋นไห่เคยช่วยชีวิตนางและรักษาอู๋จุน
“ทุกคนเข้าไปพักที่นี่ก่อน”
ซูจิ่นซีกล่าวเสียงดัง
นางให้ทุกคนพักผ่อนในห้องลับ ทว่าตัวนางกลับไม่พัก ระบบถอนพิษและอาคมกำไลปี่อั้นอยู่ในภาวะตื่นตัวอย่างมาก จึงต้องตรวจดูสถานการณ์โดยรอบตลอดเวลา
หลังจากตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็ขมวดคิ้ว “เยี่ยโยวเหยา หากข้าเดาไม่ผิด พื้นที่กว้างใหญ่เช่นนี้ อีกทั้ง… ไม่แน่มันอาจเชื่อมต่อกับหุบผาราชันพิษ”
เชื่อมต่อกับหุบผาราชันพิษหรือ?
ที่นี่คือแคว้นหนานหลี ขณะที่หุบผาราชันพิษอยู่ในแคว้นจงหนิง
ระหว่างทั้งสองสถานที่ แม้แต่การเดินทางบนบกยังต้องใช้รถม้าเดินทางเป็นเวลาหลายวัน คนของแคว้นไหวเจียงจะมีความสามารถสร้างตำหนักใต้ดินเช่นนี้ได้อย่างไร?
เมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาเกิดความสงสัยอย่างชัดเจน ซูจิ่นซีจึงอธิบายว่า “แท้จริงแล้ว นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้า ยังไม่อาจสรุปได้ ทว่ามีจุดหนึ่งที่แน่ชัด ไม่ว่าจะเป็นภูมิประเทศหรือโครงสร้างของห้อง ล้วนคล้ายคลึงกับตำหนักใต้ดินของหุบผาราชันพิษอย่างมาก”
เยี่ยโยวเหยาเหลือบมองมู่หรงอวิ๋นไห่ที่ยังคงหมดสติ “หากต้องการถอนพิษ เจ้าต้องหาตำแหน่งศูนย์กลางของตำหนักใต้ดินแห่งนี้เสียก่อน ใช่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีส่ายศีรษะเล็กน้อย “ข้ายังไม่มั่นใจ ทว่าข้าเดาว่า ยาพิษจำนวนมากที่พวกแคว้นไหวเจียงใช้กับมู่หรงอวิ๋นไห่ อาจเป็นยาพิษที่เกิดจากการกลั่นหรือยาชนิดพิเศษจากห้องทดลอง โดยทั่วไป ห้องทดลองดังกล่าวมักตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนกลางและเป็นศูนย์กลาง
ประการแรก เพื่อการรักษาความลับ และประการที่สอง เพื่อความปลอดภัย
ดังนั้น ยิ่งเข้าใกล้ศูนย์กลางมากเท่าไร ยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น”
ขณะที่ซูจิ่นซีพูด เยี่ยโยวเหยาก็ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง
ซูจิ่นซีแสดงออกราวกับผิดหวังเล็กน้อย
“ทว่า ตอนนี้ข้าตรวจไม่พบสิ่งใดแม้แต่น้อย พื้นที่แห่งนี้กว้างใหญ่อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังไม่รู้ว่านอกจากพวกเราแล้ว ยังมีผู้อื่นอยู่ที่นี่หรือไม่”
เยี่ยโยวเหยาลูบไรผมบริเวณหลังใบหูของซูจิ่นซีด้วยความรักใคร่
“ไม่เป็นอันใด ค่อยเป็นค่อยไป! ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ข้า โยวอ๋องจะอยู่เคียงข้างเจ้า”
“อืม! ”
ซูจิ่นซีพยักหน้า
แท้จริงแล้ว ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะอันตรายเพียงใด ซูจิ่นซีก็ไม่กลัว
สิ่งเดียวที่นางกังวล คือ การเสียเวลาอยู่ในตำหนักใต้ดินอันกว้างใหญ่แห่งนี้มากเกินไป ทำให้การค้นหาอมฤตทั้งห้าเกิดความล่าช้าไม่ทันการณ์
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงฟื้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? ฝ่าบาท! ”
ทันใดนั้น เสียงประหลาดใจขององครักษ์ที่อยู่ด้านหลังก็ดังขึ้น
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาหันหลังกลับไปพร้อมกัน ก่อนจะเห็นมู่หรงอวิ๋นไห่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา และมองมาทางซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีเดินไปตรวจชีพจรให้มู่หรงอวิ๋นไห่
“รู้สึกว่าร่างกายมีความผิดปกติอันใดหรือไม่? ”
มู่หรงอวิ๋นไห่ไม่ได้ตอบคำถามของซูจิ่นซีในทันที ทว่าแววตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเล็กน้อย “ข้าฆ่าคนอีกแล้ว… ใช่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีไม่พูดสิ่งใด นางหยิบกระเป๋าใส่เข็มเงินออกมา และเลือกเข็มเงินหลายเล่มอย่างระมัดระวัง
“หากตอนนี้ไม่มีความผิดปกติอันใด แสดงว่าวิธีที่ใช้ระงับอาการของเสด็จพ่อไว้ชั่วคราวนั้นได้ผลดี ตอนนี้หม่อมฉันจะฝังเข็มเงินเพื่อปิดผนึกเส้นลมปราณ ป้องกันไม่ให้สารพิษสร้างสิ่งผิดปกติต่อร่างกาย และควบคุมความคิดและการกระทำของเสด็จพ่อไว้”
ซูจิ่นซีพูดอย่างหนักแน่น นางไม่ต้องการฟังความคิดเห็นของมู่หรงอวิ๋นไห่ เพียงกล่าวคำทักทายมู่หรงอวิ๋นไห่เท่านั้น
หลังจากพูดจบ ซูจิ่นซีก็จับแขนของมู่หรงอวิ๋นไห่ขึ้นมา และหยิบเข็มเงินฝังไปบนข้อมือของมู่หรงอวิ๋นไห่
ในตอนแรก มู่หรงอวิ๋นไห่ต้องการขัดขืน ทั้งยังดูเหมือนไม่เต็มใจนัก
ท่าทางของซูจิ่นซีนั้นเคร่งขรึมจริงจังอย่างมาก
“ตอนนี้ไม่ได้เป็นปัญหาของเสด็จพ่อผู้เดียว ทว่ายังเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชีวิตทุกคน หากอาการของเสด็จพ่อกำเริบ เกิดคลุ้มคลั่งสังหารคนขึ้นมาจะทำอย่างไร? พวกเขาทุกคนล้วนมีภาระทั้งสิ้น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่หรงอวิ๋นไห่จึงไม่ต่อต้านอีก และปล่อยให้ซูจิ่นซีฝังเข็มเงินลงบนร่างกายของตน
หลังฝังเข็มเงินเล่มสุดท้ายเรียบร้อย ซูจิ่นซีจึงถามมู่หรงอวิ๋นไห่อีกครั้ง
“ตอนนี้พวกเราต้องไปที่ศูนย์กลางของตำหนักใต้ดิน ที่นั่นอาจมีวิธีช่วยถอนพิษให้เสด็จพ่อ ก่อนหน้านี้ ตอนที่ท่านถูกพวกแคว้นไหวเจียงจับตัวไว้ เสด็จพ่อเคยไปสถานที่แห่งนั้นหรือไม่? ”
เมื่อพูดถึงพวกแคว้นไหวเจียง ดวงตาของมู่หรงอวิ๋นไห่พลันเปล่งประกายความเกลียดชังอย่างรุนแรง ใช้เวลาครู่หนึ่งจึงสามารถควบคุมไว้ได้
“เหมือนว่าเคยไปมาแล้ว! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว “เหมือนจะเคยไป หมายความว่าอย่างไร? ”
“ควรเป็น เคยอยู่ที่นั่นมากกว่า ทว่าความทรงจำในช่วงเวลานั้นยังคลุมเครืออยู่บ้าง ข้าจำได้เลือนรางว่าสถานที่ที่ถูกพวกเขาคุมขังไว้ในตอนนั้น ไม่ใช่ถ้ำที่ข้าพบเจ้า”
มู่หรงอวิ๋นไห่พูดพลางพยายามนึกย้อนกลับไป ในที่สุดสติของเขาก็เริ่มมั่นคงมากขึ้น
“ข้าจำได้ว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งที่วางสิ่งของแปลกประหลาดไว้มากมาย ทุกคนสวมใส่ชุดสีขาว สิ่งของเครื่องใช้เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน หากสถานที่แห่งนั้นเป็นศูนย์กลางของตำหนักใต้ดิน ข้าคงเคยไปสถานที่แห่งนั้น”
ซูจิ่นซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง และรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เรื่องที่มู่หรงอวิ๋นไห่พูด
จากสภาพของมู่หรงอวิ๋นไห่ที่ถูกควบคุมตัวในตอนนั้น กอปรกับร่างกายและอาการป่วยของเขาในปัจจุบัน ช่วงเวลาหลายปีที่ถูกพวกแคว้นไหวเจียงควบคุมตัว เขาคงเป็นส่วนสำคัญในการทดลองเตาหลอมพลังหยินหยาง
สถานที่สำคัญที่สุดคือศูนย์กลาง เขาต้องเคยไปที่นั่นอย่างแน่นอน
สาเหตุที่ทำให้ความจำของเขาเลือนราง อาจเป็นเพราะพวกแคว้นไหวเจียงใช้วิธีการบางอย่างนำความทรงจำของเขาออกไป เพื่อรักษาความลับเกี่ยวกับตำแหน่งศูนย์กลางของตำหนักใต้ดิน
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ถือว่ามีความสอดคล้องกับความคิดของซูจิ่นซี นางจึงไม่ได้พูดกับมู่หรงอวิ๋นไห่อีก ก่อนจะนั่งลงข้างๆ และหลับตา ตั้งสมาธิเข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้น
เยี่ยโยวเหยารู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่อันตรายที่สุดสำหรับซูจิ่นซี จึงเฝ้ารออยู่ข้างกาย รอให้ดวงจิตของซูจิ่นซีออกจากระบบถอนพิษ
นอกจากเยี่ยโยวเหยาแล้ว ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าซูจิ่นซีกำลังทำสิ่งใด พวกเขาเพียงคิดว่าซูจิ่นซีกำลังหลับตาพักผ่อน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีจึงลืมตาขึ้น พวกเขาต่างมองไปทางซูจิ่นซีด้วยความตกตะลึง
“พระชายา มีอันใดหรือ? ”
“ฉางอันกงจู่? มีเรื่องอันใดหรือ? ”
ซูจิ่นซีไม่พูดสิ่งใด ดวงตาของนางหันไปมองมู่หรงอวิ๋นไห่