ทว่าในไม่ช้า ซูจิ่นซีก็ตัดความคิดนี้ออกไปทันที
หากชายชราผู้นั้นเป็นเหมือนนางจริง นั่นคือมาจากสมัยสามพันปีในอนาคต สิ่งของภายในมิติเวลาของเขาควรเหมือนกับของนาง ควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยในยุคสามพันปีในอนาคต!
ทว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นของในยุคโบราณอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม แม้ซูจิ่นซีจะล้มเลิกความคิดนี้ ทว่านางยังมีข้อสงสัยเล็กน้อยภายในใจ
มิติเวลานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
เยี่ยโยวเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“มิติเวลาประเภทนี้ อาจไม่ได้ถูกค้นคว้าเพียงในยุคที่เจ้าอยู่ก่อนหน้านี้เท่านั้น”
ซูจิ่นซีถามกลับด้วยความตกใจ “ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร? ”
“แท้จริงแล้ว โลกนี้ไม่ได้มีเพียงอาณาจักรเทียนเหอแห่งเดียว ยังมีมิติเวลาและอาณาจักรอีกมากมายในสามโลกเจ็ดดินแดน”
เรื่องนี้ซูจิ่นซีเคยได้ยินอวิ๋นอี้กล่าวถึงบ้างแล้ว ตอนที่นางอยู่ในโลกเขตแดน
เมื่อเห็นว่าซูจิ่นซีไม่ได้แสดงความประหลาดใจมากนัก เขาจึงรู้ว่านางเข้าใจคำอธิบายเหล่านี้ และกล่าวต่อว่า “นอกจากสามโลกเจ็ดดินแดนยังมีอาณาจักรเสวียนคง อาณาจักรเสวียนหมิง ดินแดนต้าเสวียน อาณาจักรอวิ๋นโจว และอาณาจักรอู่โจว เป็นต้น”
เกี่ยวกับอาณาจักรอวิ๋นโจว ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีเคยได้ยินมาบ้างแล้ว
อวิ๋นอี้เป็นคนอธิบายให้นางฟังอีกเช่นกัน คำกล่าวที่ว่า วรยุทธ์ของนางถึงขั้นเทพยุทธนั้น คือการคำนวณตามระดับขั้นการฝึกตนในอาณาจักรอวิ๋นโจว
ส่วนอาณาจักรที่เหลือ แม้จะเคยได้ยินอวิ๋นอี้กล่าวถึงบ้าง ทว่านางไม่รู้รายละเอียดมากนัก
เมื่อเห็นซูจิ่นซีย่อยข้อมูลเหล่านี้อย่างรวดเร็ว เยี่ยโยวเหยาจึงกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “มีสกุลหนึ่งในอาณาจักรอวิ๋นโจว ชื่อว่าสกุลหลิงอวิ๋น ซึ่งเป็นตระกูลแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านยาสมุนไพร เมื่อคนในสกุลหลิงอวิ๋นฝึกฝนถึงระดับขั้นที่กำหนด ข้างกายจะปรากฏมิติเวลาสมุนไพร แม้ข้าจะไม่ได้เห็นกับตาตนเองว่ามิติเวลาสมุนไพรของพวกเขาเป็นอย่างไร แต่ข้าเคยได้ยินผู้อื่นอธิบายถึงรายละเอียดของมัน ซึ่งเหมือนกับระบบถอนพิษของเจ้ามากทีเดียว”
มีเรื่องอัศจรรย์เช่นนี้บนโลกจริงหรือ?
สามพันปีต่อมา สำนักถังเหมินรวบรวมผู้คนหลายร้อยคน และใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อค้นคว้าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ออกมาได้สำเร็จ ไม่คาดคิดว่าคนในยุคสมัยนี้กลับสามารถฝึกฝนจนปรากฏมิติเวลาเหมือนอย่างระบบถอนพิษได้
นี่มันเหลือเชื่อเกินไป
ซูจิ่นซีถามเยี่ยโยวเหยาด้วยความสงสัย “ในตระกูลแพทย์ที่ท่านกล่าวถึงนั้น พวกเขาสามารถฝึกฝนจนมีมิติเวลาเช่นนี้ทุกคนหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีแอบคิดในใจว่าหากต่อไปนางมีโอกาส นางจะต้องเห็นกับตาตนเองให้ได้
เยี่ยโยวเหยาส่ายศีรษะ
“แม้สกุลหลิงอวิ๋นจะเป็นตระกูลแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ทว่ามีเพียงผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ด้านจิตวิญญาณแห่งสมุนไพรเท่านั้น จึงจะสามารถฝึกฝนได้ อีกทั้งผู้ที่เกิดมาพร้อมจิตวิญญาณแห่งสมุนไพรต้องฝึกฝนตนเองจนถึงระดับนักเล่นแร่แปรธาตุ จึงจะสามารถทำได้”
นักเล่นแร่แปรธาตุ…
เหมือนจิ่วหรงหรือไม่?
ความคิดภายในหัวของซูจิ่นซีตีกันมากมาย เมื่อครุ่นคิดอันใดบางอย่าง หัวคิ้วของนางก็ขมวดแน่น
หากมิติเวลานี้เป็นของชายชราผู้นั้นจริง ทั้งชายชราผู้นั้นยังเป็นคนของสกุลหลิงอวิ๋นแห่งอาณาจักรอวิ๋นโจว
เช่นนั้น เขามาที่อาณาจักรเทียนเหอได้อย่างไร?
จุดประสงค์ในการมาอาณาจักรเทียนเหอของเขา คืออันใดกันแน่?
ตามที่เยี่ยโยวเหยาพูดมา มีเพียงผู้ที่เกิดมาพร้อมกับจิตวิญญาณแห่งสมุนไพรเท่านั้น จึงจะสามารถฝึกฝนถึงระดับขั้นนักเล่นแร่แปรธาตุได้ ทั้งยังมีมิติเวลาสมุนไพรอยู่กับตัว
หากกล่าวเช่นนี้ ทุกอย่างที่ปรากฏก่อนหน้า ชายชราผู้นั้นต้องฝึกฝนถึงระดับขั้นนักเล่นแร่แปรธาตุแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบเขากับจิ่วหรง ทักษะวิชาแพทย์ของผู้ใดสูงส่งกว่ากัน?
การเล่นแร่แปรธาตุ จิ่วหรงก็ทำได้เช่นกัน ซูจิ่นซีเคยเห็นจิ่วหรงหลอมยากับตาตนเอง
ทว่าซูจิ่นซีไม่เคยเห็นมิติเวลาสมุนไพรข้างกายจิ่วหรงแม้แต่น้อย
คิดถึงบุรุษอื่นต่อหน้าสามีตนเอง ซูจิ่นซีรู้สึกไม่ดีนัก ทั้งนางยังรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
จึงรีบดึงสติกลับมา
“ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่สามารถยืนยันได้ในตอนนี้คือ สถานที่ที่เราอยู่ตอนนี้เป็นมิติเวลาสมุนไพร ส่วนที่มาของมิติเวลาสมุนไพรนั้น ช้าเร็วพวกเราต้องรู้อย่างแน่นอน พวกเราออกไปทำลายด่านกันก่อนเถิด ส่วนเรื่องอื่น ค่อยคุยกันภายหลัง”
เยี่ยโยวเหยาพยักหน้า
ซูจิ่นซีจึงดึงดวงจิตของเยี่ยโยวเหยาออกมาจากระบบถอนพิษ
ทันทีที่ดวงจิตออกจากระบบถอนพิษ เสียงร้องขอความช่วยเหลือของจิ้นหนานเฟิงและคนอื่นๆ ก็ดังเข้ามาในหู
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาก้าวออกจากประตูอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซี แววตาของจิ้นหนานเฟิงและคนอื่นๆ ก็ราวกับเห็นสายฝนที่ตกลงมาได้ทันเวลา
หลังจากมองไปรอบๆ ก็พบแปลงปลูกสมุนไพรที่มีชีวิต ส่วน ‘หัว’ ของมันมีรูปร่างเหมือนดอกข้าวสาลีที่โผล่ออกมา และบนหัวของมันยังมีปากเปื้อนเลือดอ้าค้างอยู่ พวกมันกำลังโจมตีจิ้นหนานเฟิงและคนอื่นๆ อย่างดุดัน
สมุนไพรที่ ‘หัว’ ด้านบนกำลังอ้าปากเปื้อนเลือดขนาดใหญ่
ภาพเช่นนี้ทำให้ซูจิ่นซีนึกถึงสมุนไพรกินคนที่นางเคยพบในดินแดนต้องห้ามสกุลจง
ทว่าพลังโจมตีของสมุนไพรแปลกประหลาดเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าเหล่าสมุนไพรกินคนมาก
เพราะตอนนั้น สมุนไพรกินคนหวาดกลัวเปลวเพลิงของสัตว์เทพกิเลน ทว่าสมุนไพรแปลกประหลาดเหล่านี้ ไม่เพียงไม่กลัวสัตว์เทพกิเลนเท่านั้น แต่การโจมตีของสัตว์เทพกิเลนยังทำร้ายพวกมันได้เพียงเล็กน้อย
ซูจิ่นซีเห็นกับตาตนเอง สัตว์เทพกิเลนพ่นเปลวเพลิงกิเลนสามครั้ง เผาผลาญสมุนไพรแปลกประหลาดเหล่านั้นจนราบเรียบไม่เหลือซาก ทว่าในพริบตา สมุนไพรแปลกประหลาดเหล่านั้นก็ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่อย่างคลุ้มคลั่ง
นอกจากนั้น หัวและขนาดของพวกมันยังใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า
สัตว์เทพกิเลนพ่นเปลวเพลิงเผาผลาญอย่างต่อเนื่อง สมุนไพรแปลกประหลาดพวกนั้นก็เติบโตอย่างบ้าคลั่ง จนท้ายสุด พวกมันมีขนาดสูงมากกว่าสองเมตร ปากเปื้อนเลือดของพวกมันอ้ากว้างอยู่เหนือศีรษะของซูจิ่นซีและคนอื่นๆ
ดวงตาของสัตว์เทพกิเลนกลายเป็นสีแดงฉาน มันต้องการเผาผลาญเหล่าสมุนไพรด้วยเปลวเพลิงกิเลนอย่างต่อเนื่อง ซูจิ่นซีรีบหยุดยั้งโดยการเก็บสัตว์เทพกิเลนเข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้น
นี่เป็นวิธีการต่อสู้ที่โง่เขลาอย่างมาก ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าสัตว์เทพกิเลนไปเรียนรู้วิธีต่อสู้ที่โง่เขลาเช่นนี้จากที่ใด
หากปล่อยให้มันเผาผลาญต่อไป ผู้ใดก็รู้ว่าสมุนไพรแปลกประหลาดเหล่านั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ไม่เพียงไม่ช่วยอันใดแม้แต่น้อย ทว่ายังทำให้พวกเขาต่อสู้อย่างยากลำบากมากขึ้น
แท้จริงแล้วไม่ใช่สัตว์เทพกิเลนโง่เขลา ทว่าวิธีการใช้เปลวเพลิงกิเลนเพื่อจัดการกับศัตรูนั้น กลายเป็นพลังงานที่ไม่อาจหยุดยั้งได้โดยง่าย
สัตว์เทพกิเลนเกิดอาการคลุ้มคลั่งชั่วคราว
แม้ซูจิ่นซีจะเก็บมันเข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้นแล้ว ทว่ามันยังพ่นเปลวเพลิงกิเลนออกมา ทำให้ภายในอาคมกำไลปี่อั้นสั่นสะเทือน อาคมกำไลปี่อั้นสีแดงเพลิงบนข้อมือของซูจิ่นซีสั่นไหวเล็กน้อย
ซูจิ่นซีแสดงสีหน้าอับจนหนทาง ทำได้เพียงส่งกระแสจิตทำให้สัตว์เทพกิเลนสงบลง จากนั้นจึงโยนสมุนไพรชั้นเลิศสองสามชนิดเพื่อปลอบใจมัน
ทั้งยังโยนจิ้งจอกเก้าสีเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนมันอีกด้วย
ไม่รู้ว่าสมุนไพรแปลกประหลาดเหล่านี้เพาะปลูกด้วยวิธีใด อาวุธธรรมดาไม่สามารถทำลายมันได้
อาวุธของวิหารวิญญาณทำมาจากเหล็กทมิฬชั้นเลิศ และเป็นสิ่งที่ช่างฝีมือทำออกมาอย่างประณีตที่สุดในโลก
ทว่าอาวุธที่องครักษ์เงาแห่งวิหารวิญญาณฟาดฟันใส่สมุนไพรแปลกประหลาดเหล่านั้น กลับไร้ประโยชน์
ไม่เพียงเท่านั้น องครักษ์เงาหลายคนยังถูกสมุนไพรแปลกประหลาดกัดจนแขนขาดอีกด้วย
พวกมันโจมตีเข้ามาอย่างดุดันโหดเหี้ยม และกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา องครักษ์และองครักษ์เงาต่างถืออาวุธในมือ ทว่าพวกเขาเกิดความหวาดกลัวเล็กน้อยและไม่กล้าเข้าไปใกล้ ได้แต่ถอยหลังอย่างเชื่องช้า
แม้แต่สัตว์เทพกิเลนยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้
ซูจิ่นซีจะรับมือพวกมันได้หรือไม่?
ศึกครั้งนี้ควรต่อสู้อย่างไร?