บทที่ 1265 แสงจันทร์และแสงอาทิตย

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

ในเมื่อวันนี้เป็นวันรายงานตัวของนักศึกษาใหม่ถนนหนทางทั่วทั้งปักกิ่งจึงค่อนข้างติดขัด และแน่นขนัด หลิงหยุนออกมาราวบ่ายสี่โมงครึ่ง และกว่าจะกลับถึงบ้านตระกูลหลิงก็ดึกมากแล้ว
  “เฮ้อ..ในที่สุดก็ถึงบ้านจนได้ ปักกิ่งรถติดไม่ขยับแบบนี้ หมดเรี่ยวหมดแรงจริงๆ!”
  ทันทีที่รถหรูคันยาวเลี้ยวเข้าประตูบ้านหลิงหยุนก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับบ่นพึมพำอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะสำหรับหลิงหยุนแล้ว การต้องนั่งอยู่ในรถนานๆเช่นนี้นับเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
  เกาเกาเฉินเฉินก้าวลงจากรถทันทีพร้อมกับหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินเสียงบ่นของหลิงหยุน แล้วหันไปพูดกับเขาว่า
  “นี่ยังไม่เท่าไหร่นะนายยังไม่เคยเจอสภาพที่รถติดกันยาวเป็นหลายกิโลเมตร หนึ่งชั่วโมงจึงจะสามารถขยับได้สักที!”   “ถ้านายอยากลองก็รอให้ถึงวันหยุดช่วงเทศกาลวันชาติก่อนช่วงนั้นผู้คนจะหลั่งไหลเข้ามาในปักกิ่งไม่ขาดสายเลยล่ะ ปักกิ่งนี่แทบจะกลายเป็นทะเลคนไปเลย..”
  หลิงหยุนได้ฟังถึงกับส่ายหน้าพร้อมกับโพล่งออกมาทันที“ไม่ล่ะ แค่ฟังก็กลัวแล้ว โชคดีที่ช่วงนั้นผมไม่อยู่ปักกิ่งพอดี!”
  อีกไม่เท่าไหร่ก็จะใกล้ถึงวันชาติจีนแล้วและช่วงนั้นก็น่าจะเป็นช่วงที่หลิงหยุนไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธที่หุบเขาหลงเฟยบนเขาหลงหู่ และน่าจะไม่ได้กลับปักกิ่งอีกราวครึ่งเดือน
  “เฉินเฉินผมจะไปคุยกับลุงสองหน่อย คุณกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนนะ แล้วก็รีบอาบน้ำให้สะอาด คืนนี้พวกเราจะ..”
  “เงียบไปเลย..”
  เกาเฉินเฉินรู้ว่าหลิงหยุนกำลังจะพูดอะไรต่อใบหน้างดงามนั้นแดงก่ำและร้อนผ่าวขึ้นมาทันที หลังจากพูดออกไปได้เพียงแค่นั้น นางก็วิ่งหายวับไปอย่างรวดเร็ว  หลิงหยุนมองตามหลังของเกาเฉินเฉินไปพร้อมกับส่ายหน้ายิ้มๆแล้วจึงเดินตรงไปที่บ้านของหลิงเย่ว..
  “หลิงหยุนกลับมาแล้วรึนั่งก่อนสิ”
  ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้อากาศจะค่อนข้างดีเป็นพิเศษเพราะไม่ร้อน และไม่เย็นจนเกินไป อุณหภูมิกำลังดี หลิงเย่วเองก็ได้ออกมาชงชานั่งรอหลิงหยุนอยู่ที่สวนด้านนอกก่อนแล้ว
  บนโต๊ะหินรูปร่างแปลกตามีกาชาที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลวางไว้ข้างโต๊ะหินมีเก้าอี้ไม้ไผ่สองตัวตั้งอยู่..
  “ฮ่า..ฮ่า.. เวลานี้ข้ากลายเป็นคนติดรสชาของลุงสองมากขึ้นทุกวันแล้ว!”
  เมื่อหลิงหยุนก้าวเข้าไปเขาก็รีบร้องทักทายหลิงเย่วพร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นดื่มทันที..
  หลิงเย่วนั่งมองหลิงหยุนดื่มชาไปหลายถ้วยในที่สุดก็หัวเราะออกมาพร้อมกับถามขึ้นว่า “วันนี้รถคงจะติดมากเลยสินะ”
  “ไม่ขยับเลยล่ะ!”   หลิงหยุนร้องออกมาอย่างหงุดหงิด“เสียเวลาข้ามากจริงๆ!”
  หลิงเย่วยิ้มพร้อมกับรินชาให้หลิงหยุนใหม่หลังจากนั้นหลิงเย่วก็เริ่มสนทนาเรื่องของตนทันที..
  “เมื่อคืนนี้เจ้าไปโรงประมูลชาวยุทธที่ตระกูลเย่จัดขึ้นเป็นเช่นใดบ้างเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ..”
  หลิงเย่วรู้ดีว่าหลิงหยุนค่อนข้างมีงานรัดตัวเขาจึงไม่ต้องการเสียเวลาไปกับเรื่องอื่นมากนัก และถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ทันที
  “มันเป็นธุรกิจที่สามารถหาเงินได้ง่ายมากแล้วก็ทำกำไรได้อย่างมหาศาลจริงๆ!”
  แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายในขณะที่เล่าให้หลิงเย่วฟัง“ธุรกิจประเภทนี้ไม่ต่างจากการขโมยเงินในกระเป๋าผู้อื่นเลย! ค่าคอมมิชชั่น 20% ท่านลุงของคิดดู คืนเดียวมีเงินหมุนเวียนในโรงประมูลสูงถึงสองแสนล้าน ค่าคอมมิชชั่นที่ต้องได้อย่างน้อยก็สี่หมื่นล้าน..”   “ธุรกิจที่ทำรายได้ดีเช่นนี้ตระกูลหลิงของเราต้องรีบก่อตั้งโรงประมูลขึ้นมาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
  หลิงหยุนร้องบอกด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น..
  “เรื่องนั้นไม่มีปัญหาข้ามีบุคลากรที่พร้อมจะจัดเตรียมเรื่องนี้ได้ในทันที”
  หลิงเย่วจ้องมีสีหน้าท่าทางของหลิงหยุนด้วยความสงบนิ่งนั่นเพราะการที่หลิงหยุนสามารถบดขยี้สองผู้เฒ่าแห่งหน่วยนภาได้ ย่อมเป็นการประกาศศักดาและความแข็งแกร่งของตระกูลหลิงไปในตัว จึงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเหล่าชาวยุทธในโลกยุทธภพอีก
  อีกทั้งเวลานี้ตระกูลหลิงก็กำลังเผชิญหน้าอยู่กับตระกูลหลงและตระกูลเย่ยังจะมีคู่แข่งใดที่น่ากลัวกว่านี้อีกอย่างนั้นหรือ
  ตลอดเวลาเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมานั้นตระกูลหลิงมีรายได้ที่เหือดแห้ง และแทบไม่เคยพอกับค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้หลิงหยุนเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี  รายได้ทั้งปีของตระกูลหลิงนั้นยังน้อยกว่ารายได้ของตระกูลเย่ในหนึ่งชั่วโมงเสียอีก และนี่คือช่องว่างที่กว้างใหญ่มากของสองตระกูล
  “หลิงหยุนเจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลยว่าการประมูลเมื่อคืนเป็นเช่นใดบ้าง มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้าง เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยจะได้หรือไม่?”
  หลิงหยุนใช้เวลาราวยี่สิบนาทีในการเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในโรงประมูลให้กับหลิงเย่วฟังจนจบ..
  จากนั้นหลิงหยุนจึงบอกกับหลิงเย่วว่า“ลุงสอง เวลานี้ตระกูลหลิงของเราไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลหลง หรือตระกูลเย่เลย หากโรงประมูลของหน่วยนภาจัดขึ้นเมื่อใด ท่านควรจะลองไปดูให้เห็นด้วยตาตัวเอง จะได้นำสิ่งที่พบเห็นมาปรับใช้กับโรงประมูลของตระกูลหลิงได้”
  หลิงเย่วพยักหน้า“คำแนะนำของเจ้าดีมากทีเดียว ข้าต้องไปแน่! จะว่าไปโรงประมูลชาวยุทธไม่ว่าผู้ใดจัดก็ล้วนมีรูปแบบพื้นฐานคล้ายคลึงกัน แต่ข้าจะลองไปดูและศึกษาไว้เป็นข้อมูลมาปรับใช้อย่างที่เจ้าบอก..”
  ในความหมายของหลิงหยุนนั้นเขาต้องการให้หลิงเย่วไปศึกษาระบบเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะนำมาใช้ในโรงประมูลตระกูลหลิง และโรงประมูลตระกูลเย่ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีของการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ได้อย่างกลมกลืนกับเหล่าชาวยุทธ
  อีกหนึ่งความสำคัญคือเรื่องของสินค้าที่นำออกมาประมูลและจะเป็นสิ่งที่ทำให้โรงประมูลนั้นๆได้รับความนิยมมากเพียงใด
  หลิงเย่วยกถ้วยชาขึ้นจิบพร้อมกับถามต่อว่า“เมื่อคืนเจ้าคงเก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อยทีเดียวสินะ!”
  หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมกับตอบไปว่า“ลุงสอง อย่าหาว่าข้าโอ้อวด ครั้งนี้ตระกูลหลิงของเราได้ผลประโยชน์ไม่น้อยกว่าตระกูลเย่เลย!”
  หลิงหยุนยกนิ้วชี้ขึ้นหนึ่งนิ้วพร้อมกับย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ตลอดหนึ่งปีนี้ ข้ารับรองได้ว่าทั้งสมาชิกตระกูลหลิง นักรบตระกูลหลิงทั้งสามสิบหกคน และศิษย์สำนักหมอสวรรค์อีกเจ็ดสิบสองคน ทุกคนจะมีทรัพยากรในการฝึกฝนอย่างไม่ขาดแคลนเลยทีเดียว..”
  “นับจากนี้เป็นต้นไปตลอดระยะเวลาหนึ่งปีตระกูลหลิงของเราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องทรัพยากรในการฝึกฝนอีกแล้ว!”
  หลิงเย่วได้ยินเช่นนั้นถึงกับผลุดลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปนตกใจ
  “นี่เจ้าพูดจริงรึ!”
  จะไม่ให้หลิงเย่วตื่นเต้นตกใจได้อย่างไรกันเล่าในเมื่อนับจากนี้ไปตลอดระยะเวลาหนึ่งปี ตระกูลหลิงจะมีทรัพยากรสำหรับฝึกฝนกันอย่างพอเพียง และไม่จำเป็นต้องไปเอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใดเหมือนก่อน จากนี้ไปทุกคนจะสามารถมุ่งมั่นอยู่กับการฝึกฝนได้อย่างไร้ความกังวลใจ..   หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจพร้อมกับตอบไปว่า“ลุงสอง ข้าจะกล้าพูดปดกับท่านได้อย่างไรกันเล่า นี่ยังไม่นับรวมทรัพยากรของยอดฝีมือจากหน่วยนภาทั้งสิบสี่คน และอีกหกตำแหน่งที่โจวเหวินอี้เสนอให้เข้าร่วม..”
  “เพราะหากนับรวม..ตระกูลหลิงจะมีทรัพยากรในการฝึกเพียงพออย่างน้อยถึงสองปีทีเดียว!”
  “เยี่ยม!เยี่ยม!”
  หลิงเย่วร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ“หลิงหยุนเจ้าเก่งมากจริงๆ! ครั้งนี้อะไรก็คงฉุดรั้งตระกูลหลิงของเราไว้ไม่ได้แล้ว!”
  จากนี้ไปตระกูลหลิงไม่จำเป็นต้องร้องขออาวุธโอสถ สมุนไพร และทรัพยากรในการฝึกอื่นๆจากผู้ใดอีกแล้ว!
  หลิงเย่วรู้ได้ทันทีว่านับจากนี้ไปอะไรก็ไม่สามารถฉุดรั้งตระกูลหลิงให้ก้าวขึ้นสู่การเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของประเทศนี้ไม่ได้อีกแล้ว!   หลังจากที่สงบสติอารมณ์และควบคุมความตื่นเต้นภายในใจได้แล้ว หลิงเย่วก็ค่อยๆนั่งลงและเริ่มจิบชาอีกครั้ง
  ระหว่างนั้นหลิงหยุนจึงขึ้นว่า“ในวันข้างหน้า ตระกูลหลิงของเราก็จะไม่ขาดแคลนเงินทองอีกแล้ว เวลานี้ข้าได้น้ำผึ้งหยกขาวมา และจะกลั่นโอสถโฉมสะคราญ และโอสถเยาว์วัยออกมาประมูล อีกทั้งในแหวนของข้ายังมียันต์ชนิดต่างๆอยู่มากมาย คาดว่าหากนำออกมาประมูลคงได้ราคาดีไม่น้อย..”
  พรวด..
  หลิงเย่วได้ฟังคำบอกเล่าของหลิงหยุนน้ำชาที่อยู่ในปากถึงกับพุ่งพรวดออกมาทันที ในขณะที่หลิงหยุนเองก็จ้องมองท่าทางของหลิงเย่วอย่างมีความสุข
  “หลิงหยุนนี่เจ้าไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่! ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องเร่งมือจัดเตรียมเรื่องโรงประมูลแล้วล่ะ!”
  จากนั้นหลิงเย่วก็ได้ถามหลิงหยุนต่อว่า“อ่อ.. แล้วเรื่องรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยหยานจิงล่ะ เรียบร้อยดีหรือไม่”
  หลิงเย่วถามขึ้นเช่นนี้ย่อมแสดงว่าเขาเองก็ได้ข่าวเรื่องการพบเจอกับบุคคลอันดับหนึ่งของหลิงหยุนเช่นกัน หลิงหยุนจึงต้องพยักหน้า และตอบกลับไปตามตรง
  “เรียบร้อยดีท่านลุงเพียงแต่วันนี้มีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น!”
  “เพียงแต่..”หลิงหยุนมีท่าทีลังเลก่อนจะพูดต่อว่า
  “ลุงสองข้าไม่สมารถบอกเล่าคำสนทนาของข้ากับอาวุโสให้ท่าน หรือว่าท่านปู่ ท่านพ่อฟังได้เลย!”
  หลิงเย่วรีบโบกไม้โบกมือพร้อมตอบกลับไปอย่างเข้าใจทันที“เจ้าไม่ต้องรู้สึกลำบากใจไป เจ้าเล่าในสิ่งที่เล่าได้ก็พอ เรื่องใดเล่าไม่ได้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเล่า..”
  “เอาเป็นว่าเจ้าบอกลุงมาแค่ว่าผลจากการเจรจาครั้งนี้เป็นบวก หรือเป็นลบก็พอ”
  หากเพียงแค่นี้หลิงหยุนย่อมสามารถบอกได้อย่างไม่ปัญหาเขาจึงยิ้มให้หลิงเย่วพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงภูมิอกภูมิใจ
  “เขาคือตระกูลหลิงและตระกูลหลิงก็คือเขา!”
  หลิงหยุนตอบหลิวเย่วไปเพียงแค่สั้นเท่านั้นและทันทีที่คำพูดประโยคนี้หลุดออกจากปากหลิงหยุน หลิงลี่ซึ่งอยู่ในสวนชั้นที่เก้า และหลิงเสี่ยวที่อยู่ในสวนชั้นที่สี่ ก็ถึงกับลุกพรวดขึ้นทันที!
  แม้ทั้งคู่จะไม่ได้อยู่ในสวนของหลิงเย่วด้วยแต่เรื่องสำคัญเช่นนี้มีหรือที่ทั้งหลิงลี่ และหลิงเสี่ยวจะไม่แอบฟัง..
  วันคืนที่เคยมีแต่ความมืดมิดของตระกูลหลิงนั้นเริ่มสว่างกระจ่างขึ้นแล้ว!
  เวลานี้ตระกูลหลิงเสมือนมีแสงทั้งสองจากดวงจันทร์และดวงอาทิตย์สาดส่องอยู่ทั้งกลางวันกลางคืนเช่นนี้ จะไม่สว่างขึ้นได้อย่างไรกันเล่า
  “ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”   หลิงเย่วหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างมีความสุขล้นเขาหัวเราะเช่นนั้นอยู่ครู่ใหญ่ หลังจากนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่เช่นเดิม แล้วพูดกับหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
  “เจ้าเด็กตัวแสบ..เจ้านี่มันจริงๆเชียว!”
  “เอาล่ะข้าไม่ถามอะไรเจ้ามากไปกว่านี้แล้ว!”
  “หลิงหยุน..เวลานี้พายุลูกใหญ่หลังทำลายล้างตระกูลซันกับตระกูลเฉินก็เริ่มสงบลงแล้ว ปัญหาระหว่างเจ้ากับหน่วยนภาก็ได้ถูกแก้ไขแล้ว มิหนำซ้ำเจ้ายังได้ผลประโยชน์มากมายจากการประมูลเมื่อคืนนี้ด้วย”
  “แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ..เรื่องการพบปะกับบุคคลอันดับหนึ่งของเจ้าในคืนนี้! แล้วจากนี้ไปล่ะ..”
  หลิงหยุนเหลือบมองหลิงเย่วพร้อมตอบกลับไปว่า“จากนี้ไปปักกิ่งก็จะกลับสู่ช่วงเวลาแห่งความสงบยังไงเล่าท่านลุง!”   หลายเดือนที่ผ่านมานี้คลื่นลมในปักกิ่งได้ทำให้หลิงหยุนนำพาตระกูลหลิงผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง เวลานี้ไม่มีผู้ใดกล้ากำแหงกับตระกูลหลิงอีก และตราบใดที่หลิงหยุนไม่กระทำการใดๆ ย่อมหมายความว่าปักกิ่งก็จะกลับสู่ความสงบอีกครั้ง..
  “ข้าหมายความว่าจากนี้ไปเจ้าคิดจะทำการใดอีกต่างหากเล่า”หลิงเย่วถามขึ้น..
  หลิงหยุนนิ่งไปครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปว่า“ข้าจะใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์นี้เตรียมตัวให้พร้อม เพื่อที่จะเดินทางไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธที่หุบเขาหลงเฟยบนเขาหลงหู่”
  หลิงหยุนไม่เพียงต้องเตรียมพร้อมสำหรับการไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธเท่านั้นแต่เขายังต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปล้างแค้นให้กับไป๋เซียนเอ๋อ ช่วยเฉิงเม่ยเฟิง และฉินจิวยื่อด้วย!
  เพราะภารกิจทั้งสามอย่างนี้เป็นภารกิจที่หลิงหยุนรอคอยเวลาที่เหมาะสมมานานแล้ว!