บทที่ 1266 สามข่าวใหญ่แพร่สะพรัด

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

“เช่นนั้นอาทิตย์หน้าทั้งอาทิตย์เจ้าคงวุ่นวายอยู่กับการเตรียมความพร้อมสินะอย่างไรก็พยายามเตรียมไปให้พร้อมที่สุดล่ะ!”
  “เรื่องอื่นๆภายในตระกูลก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเองหากเจ้ามีสิ่งใดต้องการให้ข้าช่วย ก็บอกข้าได้ทันที” หลิงเย่วร้องบอก
  “ขอบคุณท่านลุงสอง”
  หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆหลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเรียกผ้าแพรไหมดำทั้ง 36 กิโลกรัมออกมา
  “ท่านลุงนี่เป็นผ้าแพรไหมดำชั้นเลิศจำนวน 36 กิโลกรัม ตระกูลหลี่ต้องฟาดฟันประมูลแย่งชิงมาจากตระกูลหลิวและตระกูลถันด้วยจำนวนเงินที่สูงลิบลิ่ว..”
  “ผ้าแพรไหมดำทั้งหมดนี้สามารถตัดเย็บได้ถึง100 ชุด อย่างน้อยต้องให้คนตระกูลหลิงได้คนละหนึ่งชุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักรบตระกูลหลิงทั้งสามสิบหกคน..”
  “อ่อ..แต่ท่านลุงได้โปรดเก็บผ้าแพรไว้ให้ข้าใช้ประโยชน์อื่นๆสักหกกิโลกรัมด้วย!”
  หลิงหยุนร้องบอกหลิงเย่วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองก็จำเป็นต้องใช้ผ้าแพรไหมดำ
  หลิงเย่วเอื้อมมือไปสัมผัสผ้าแพรไหมดำด้วยความทะนุถนอมก่อนจะเรียกเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่ของตน
  “สมาชิกตระกูลหลิงล้วนมีชุดผ้าแพรไหมดำกันหมดแล้วข้าว่าผ้าแพรไหมดำที่เจ้าให้มาก็น่าจะพอตัดชุดให้ทั้งนักรบตระกูลหลิงทั้ง 36 คน และศิษย์สำนักหมอสวรรค์ทั้ง 72 คน อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้มีเสื้อเกราะสำหรับป้องกันตัว”
  จากนั้นหลิงเย่วก็เงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมบอกไปว่า“ศิษย์สำนักหมอสวรรค์ที่เจ้าคัดเลือกมานั้น ล้วนหน่วยก้านดีทั้งสิ้น!”
  “เป็นเช่นนั้นก็ดี!”   หลิงหยุนนึกไม่ถึงว่าหลิงเย่วจะให้ความสนใจศิษย์สำนักหมอสวรรค์ทั้ง72 คนถึงกับไปสอดส่องด้วยตนเองเช่นนี้ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองตั้งแต่ทั้งหมดมาถึงปักกิ่ง หลิงหยุนยังไม่มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมเยียนเลยสักครั้ง
  “แต่พวกเขาทั้งหมดอยู่ในขั้นต่ำนักสิ่งสำคัญคือต้องเตรียมความพร้อมใหักับพวกเขาก่อน อีกอย่างพวกเขาทั้ง 72 คนยังไม่จำเป็นต้องออกไปต่อสู้กับใคร ชุดผ้าแพรไหมดำจึงยังไม่จำเป็นกับพวกเขาในเวลานี้..”
  หลิงหยุนบอกกับหลิงเย่วเช่นนั้นเพราะความจริงแล้วเขากังวลว่าศิษย์ทั้ง 72 คนที่เขาตั้งใจปลุกปั้นฝึกฝนให้เป็นนักรบเดนตายนั้น หากได้รับเครื่องป้องกันตัวตั้งแต่เนิ่นๆเช่นนี้ จะทำให้พวกเขากลายเป็นนักรบที่อ่อนแอ และเกียจคร้านการฝึกฝน
  เพราะหลิงหยุนตั้งใจที่จะฝึกนักรับทั้ง72 คนให้เป็นนักรบที่แกร่งที่สุด และทรงพลังที่สุด!
  “ข้าเข้าใจแล้วถ้าเช่นนั้นข้าจะเพียงแค่จัดเตรียมไว้ แต่ยังไม่มอบให้กับพวกเขา!”
  “หลิงหยุนเมื่อครู่เจ้าพูดถึงตระกูลหลี่ขึ้นมา ข้าจึงอยากถามว่าเจ้าจะปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นใด เพราะเมื่อสองสามวันก่อนนี้คนสำคัญของตระกูลหลี่เทียวมาพบข้าถึงสองครั้งสองครา แต่เพราะเจ้าเองก็มีภารกิจรัดตัว ข้าจึงไม่มีเวลาไถ่ถาม เวลานี้ข้าเองก็ยังไม่ได้ตกปากรับคำอะไรพวกเขาไป..”
  หลิงเย่วนึกถึงภาพที่หลี่จวิ้นหัวที่วิ่งวุ่นไม่ต่างจากมดตัวน้อยที่ไต่ไปรอบหม้อร้อนๆก็ได้แต่ยิ้มออกมา มันเป็นความรู้สึกเย็นชาอย่างที่เขาเองก็ไม่เคยรู้สึกมาก่อน!
  และผู้ที่นำความรู้สึกเช่นนี้มาให้คนตระกูกลหลิงก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงสิบเก้าปีด้วยซ้ำไป
  แม้หลิงหยุนจะมอบให้หลิงเย่วเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องต่างๆของตระกูลหลิงแทนเขาได้แต่หากเป็นเรื่องที่ใหญ่โต หลิงเย่วก็ยังคงต้องสอบถามความเห็นจากหลิงหยุนในฐานะผู้นำตระกูลอยู่ดี เช่นเดียวกับเรื่องของตระกูลหลี่..
  และต่อให้หลิงหยุนไม่อู่ในฐานะของผู้นำตระกูลหลิงหลิงเย่วเองก็รู้ดีว่าหลิงหยุนนั้นมีความสำคัญต่อตระกูลหลิงมากเพียงใด
  หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ในเมื่อคนตระกูลหลิงได้แสดงเจตจำนงชัดเจนเช่นนี้ พวกเราเองก็รับน้ำใจของเขามาแล้ว แต่ก็ต้องมั่นใจเสียก่อนว่าพวกเขามีจิตใจที่บริสุทธิ์จริง..”
  หลิงเย่วถามขึ้นด้วยความสงสัย“เจ้าหมายความเช่นใด”
  “ตระกูลหลี่ต้องการการปกป้องคุ้มครอบจากตระกูลหลิงของเราเช่นนี้ย่อมต้องสังเกตดูพฤติกรรมของพวกเขาในวันข้างหน้าเสียก่อน”
  คนสำคัญของตระกูลหลี่ที่หลิงเย่วพูดถึงเมื่อครู่นั้นหลิงหยุนคาดว่าน่าจะเป็นหลี่จวิ้นหัว ผู้ที่ตัดสินใจประมูลผ้าแพรไหมดำเพื่อนำมาเป็นของกำนัลให้กับตระกูลหลิง การกระทำของเขาทำให้หลิงหยุนนึกชื่นชมไม่น้อย  “ข้าพอจะเข้าใจความหมายของเจ้าแล้วถ้าเช่นนั้นข้าพอคิดออกแล้วว่าจะจัดการเรื่องนี้เช่นใด”
  ในที่สุดหลิงเย่วก็ได้คำตอบหลี่จวิ้นหัวนั้นก็อายุมากแล้ว ตัวเขาเองก็รู้จักหลี่จวิ้นหัวมาตั้งแต่เด็ก แม้ตระกูลหลี่กับตระกูลหลิงจะมีข้อขัดแย้งในเรื่องธุรกิจกันบ้าง แต่ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆ เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ของสองตระกูลนั้นแม้จะไม่ถึงขั้นสนิทสนม แต่ก็ไม่ถึงขั้นขัดแย้ง การที่หลิงเย่วต้องปล่อยให้หลี่จวิ้นหัวเทียวไปเทียวมาเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยเช่นกัน
  “หลิงหยุนหากข้าเดาไม่ผิด เรื่องที่เจ้ากับบุคคลอันดับหนึ่งพบกันที่มหาวิทยาลัยหยานจิงในวันนี้ คงต้องจะต้องออกข่าวในทีวีเป็นแน่”
  หลิงหยุนไม่ได้สนใจเรื่องนี้นักแต่ก็ถามออกไปยิ้มๆ “ลุงสองหมายความเช่นใดงั้นรึ”
  หลิงเย่วยิ้มออกมาพร้อมตอบกลับไปว่า“ข้าก็หมายความว่าการพบกันของเจ้ากับบุคคลอันดับหนึ่งในวันนี้ นับเป็นการประชุมสุดยอดที่ผู้คนทั้งในและนอกยุทธภพต่างก็กำลังเฝ้าติดตาม มันเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างให้กับคนระดับสูงในปักกิ่ง..”
  หลิงหยุนขยิบตาพร้อมถามกลับไปสั้นๆ“แล้วยังไง”
  “จะยังไงอีกเล่าตระกูลหลิงของเราก็ต้องช่วยกันส่งสัญญาณบางอย่างด้วยเช่นกัน เจ้ายังจำคลิปวีดีโอที่หลิงเลี่วยถ่ายไว้ในคืนที่หน่วยนภาบุกมาบ้านตระกูลหลิงได้หรือไม่?”
  “ข้าว่าได้เวลาปล่อยคลิปบางส่วนออกสู่โลกภายนอกแล้วล่ะ!”
  ฉวยโอกาสนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนและสร้างความน่าเกรงขามให้กับตระกูลหลิง!
  หลิงเย่วถูกยกย่องให้เป็นถึงมันสมองของตระกูลหลิงหากเรื่องแค่นี้ยังไม่สามารถคิดได้ ก็คงต้องโยนฉายานี้ทิ้งไปแล้ว..
  หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ“เรื่องนี้ลุงสองตัดสินใจเองได้เลย!’
  หากคลิปที่เขาบดขยี้สองผู้เฒ่าแห่งหน่วยนภาถูกปล่อยออกไปจริงหลิงหยุนก็ไม่ได้ใส่ใจนัก อย่างมากก็แค่ดูด้วยความสนุก
  “ท่านลุงหลังจากที่ท่านได้สอนงานถังเมิ่งมาสองสามวัน ท่านคิดเห็นเช่นใดบ้าง”
  หลังจากที่หลิงหยุนไม่เห็นหน้าถังเมิ่งมาสองสามวันเขาจึงเอ่ยถามหลิงเย่ว..
  “ไม่เลวทีเดียว!”
  หลิงเย่วตอบหลิงหยุนไปเพียงแค่สั้นๆพร้อมกับพยักหน้ายิ้มๆก่อนจะอธิบายให้หลิงหยุนฟังด้วยน้ำเสียงชื่นชม
  “เด็กคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นนักธุรกิจจริงๆน้อยนักที่จะหาคนเช่นถังเมิ่งได้ เวลานี้เขาเพียงแค่ขาดความรู้ในการบริหารจัดการ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ข้าจะเป็นคนสอนเขาเอง เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป”
  หลิงหยุนแอบถอนหายใจด้วยความสุขใจและได้แต่คิดว่าเป็นอย่างที่ตนคาดไว้จริงๆ หลิงเย่วจะต้องชื่นชอบถังเมิ่ง แต่หากถังเมิ่งยังทำไม่ได้ เขาก็ไม่รู้จะหาผู้ใดที่ไว้ใจได้กว่านี้..
  ในเมื่อเป็นเช่นนี้หลิงหยุนก็ไม่มีเรื่องใดต้องกังวลใจอีก..
  หลังจากคุยกับหลิงเย่วต่ออีกครู่หนึ่งหลิงหยุนจึงลุกขึ้นพร้อมกับบอกไปว่า “ลุงสอง ข้าต้องไปหาท่านน้าจินเหยียวก่อนแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
  หลิงเย่วจึงร้องถามขึ้นทันที“หลิงหยุน เจ้าไม่อยู่ทานข้าวกับข้าก่อนรึ”
  “ฮ่า..ฮ่า.. ลุงสอง เชิญท่านทานตามสบาย ข้าต้องไปแล้ว!”
  อยู่บ้านตระกูลหลิงเช่นนี้หลิงหยุนไม่จำเป็นต้องกลัวอด เขาสามารถสั่งให้พ่อครัวทำอาหารให้กินเมื่อใดก็ได้..
  หลิงหยุนเดินออกจากบ้านของหลิงเย่วไปและเมื่อผ่านบ้านของหลิงเสี่ยว เขาก็ค่อยๆย่องผ่านสวนชั้นที่ห้าและหกไปหาจินเหยียวทันที
  “หลิงหยุนเองรึเข้ามาข้างในก่อนสิ!”
  จินเหยียวได้ยินหลิงหยุนพูดคุยกับหลิงเย่วก่อนแล้วนางจึงมายืนดักรอหลิงหยุนอยู่หน้าบ้าน และทันทีที่หลิงหยุนปรากฏตัวจึงรีบเรียกให้หลิงหยุนเข้าไปด้านในทันที
  “ท่านน้าจินเหยียว”
  “ไหนๆเจ้าก็มาหาข้าแล้วห้ามหนีไปไหนล่ะ อยู่ทานข้าวกับข้าที่นี่!”
  จินเหยียวร้องบอกพร้อมกับจับมือหลิงหยุนไว้แน่นและลากเข้าไปในบ้านทันที..
  นับตั้งแต่ที่จิตใจของจินเหยียวฟื้นคืนสติเป็นปกตินั้นนางก็เฝ้าดูหลิงหยุนเติบโต และแข็งแกร่งขึ้นอยู่ภายในบ้านตระกูลหลิงด้วยความภาคภูมิใจ นับวันหลิงหยุนก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น!
  นี่คือเด็กน้อยที่นางอุ้มออกมาจากแท่นบูชายัญภายในพรรคมารนี่คือนายน้องของนาง และเป็นบุตรชายของหยินชิงเฉวียนพี่สาวของนางด้วย!
  “ท่านน้าจินเหยียวข้าแวะเวียนมาดูว่าท่านเป็นเช่นใดบ้าง”
  หลิงหยุนสามารถสัมผัสถึงความรู้สึกต่างๆที่จินเหยียวมีให้ตนได้ไม่ว่าจะเป็นความรัก หรือว่าความเป็นห่วงเป็นใย ความรู้สึกเช่นนี้ของจินเหยียวทำให้เขานึกสะท้อนใจทุกครั้งไป นี่ไม่ใช่ความรักที่บ่าวพึงมีให้บุตรของเจ้านาย แต่มันคือความรักของผู้เป็นแม่!
  แม้ว่าจินเหยียวจะอยู่ในตระกูลหลิงและเฝ้ามองหลิงหยุนอยู่ทุกวัน แต่หลิงหยุนกลับมีภารกิจรัดตัวมากมาย จนไม่มีเวลาแวะมาเยี่ยมเยียนจินเหยียวเลยแม้แต่น้อย เวลานี้พอมีเวลา หลิงหยุนจึงต้องรีบแวะเวียนมา
  เพราะภายในอาทิตย์หน้าทั้งอาทิตย์หลิงหยุนก็มีเรื่องต้องจัดการอีกมากมาย นอกเหนือจากการฝึกฝน ก็ต้องเตรียมการสำหรับการเดินทางออกนอกปักกิ่ง เขาจึงต้องการใช้เวลาที่มีนี้อยู่กับจินเหยียว
  หลิงหยุนจึงตอบจินเหยียวกลับไปทันที“ข้าจะสั่งให้ห้องครัวเตรียมอาหารให้..”
  “ไม่ต้อง!ข้าจะเข้าครัวทำเกี๊ยวให้เจ้ากินด้วยตัวเอง”
  หลิงหยุนมาหานางถึงบ้านทั้งทีจินเหยียวไม่ยอมปล่อยให้หลิงหยุนกลับไปง่ายๆเป็นแน่ และไม่รีรอที่จะลงมือทำอาหารให้เขากินด้วยตัวเอง
  “ท่านน้าจินเหยียวนี่ท่านทำเกี๊ยวเป็นด้วยรึ!”
  จินเหยียวยกมือขึ้นลูบไล้หน้าผากของหลิงหยุนและตอบกลับไปว่า “เจ้าอย่าได้ดูถูกฝีมือของข้าเชียว! ข้าเรียนมาจากแม่ของเจ้า นางทำเกี๊ยวได้อร่อยที่สุดเลยล่ะ!”
  ทุกครั้งที่จินเหยียวพูดถึงหยินชิงเฉวียนดวงตาของนางจะแดงก่ำขึ้นทุกครั้ง อารมณ์ความรู้สึกเป็นสิ่งที่สามารถติดต่อกันได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ที่จินเหยียวพูดถึงนั้นเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดเขาเอง
  หลิงหยุนนั่งฟังด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยายและความฝันในคืนนั้นก็ได้หลอมรวมเขาให้เป็นหนึ่งเดียวกับหลิงหยุนบนโลกใบนี้!
  ก่อนหน้าที่ทั้งสองหลิงหยุนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเช่นนี้เขาไม่เคยได้รู้สึกถึงความผูกพันธ์ทางสายเลือดมากนัก
  สายเลือดคือเหตุและผลในการกลับมาเกิดตามกฏของสรวงสวรรค์เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดจะรู้ดีไปกว่าหลิงหยุนซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะตนมายาวนาน เหตุและผลคือสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง
  ต่อให้คนผู้นั้นจะสามารถพลิกฟ้าได้ก็ไม่อาจเปลี่ยนมารดาผู้ให้กำเนิดตนได้!
  “ท่านน้าจินเหยียวถ้าเช่นนั้นข้าจะส่งสูตรการทำเกี๊ยวของท่านให้กับพ่อครัวไว้ทำให้กินในวันข้างหน้า!”
  จินเหยียวถึงกับหัวเราะร่วนนางปล่อยมือจากหลิงหยุนและบอกไปว่า “ฮ่า.. ฮ่า.. เอาล่ะบอกมาว่าเจ้าอยากจะกินอะไรอีก!”
  หลังจากที่ได้เมนูอาหารที่หลิงหยุนอยากกินแล้วจินเหยียวก็รีบตรงไปที่ห้องครัวของตระกูลหลิงทันที
  ครั้งนี้หลิงหยุนตั้งใจจะมาขอให้จินเหยียวจัดเตรียมสมุนไพรสำหรับกลั่นโอสถโฉมสะคราญและโอสถเยาว์วัยให้กับเขา แต่กลับได้เกี๊ยวมาแทน แต่ก็อิ่มท้องดี
  จนกระทั่งเวลาทุ่มครึ่งหลิงหยุนจึงกินเกี๊ยวที่จินเหยียวทำมาให้จนหมด
  “เจ้ากินอีกสิ..”
  จินเหยียวเตรียมเกี๊ยวมาให้หลิงหยุนมากถึงห้าหกชามหากหลิงหยุนกินไม่หมดก็สามารถแช่ฟรีซไว้ในตู้เย็นสำหรับอุ่นกินในมื้อต่อไปได้
  “ท่านน้าจินเหยียวท่านเองก็ต้องกินด้วยเช่นกัน อย่ามัวแต่เป็นห่วงข้านัก..”
  ……
  ภายในบ้านตระกูลหลิงอบอวลไปด้วยความสุขสงบ..
  ในขณะที่ภายนอกกลับมีข่าวคราวที่ทำให้คนทั่วทั้งปักกิ่งและบุคคลระดับสูงของประเทศนี้ถึงกับตกใจอย่างยิ่ง!
  เรื่องแรก..ผู้เฒ่าสองคนแห่งหน่วยนภาได้พายอดฝีมือหลายคนบุกไปที่ตระกูลหลิง แต่กลับถูกหลิงหยุนบดขยี้จนหมดทางสู้ คลิปวีดีโอการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายบางส่วนได้ถูกนำออกเผยแพร่..
  เรื่องที่สอง..หลังการประมูลชาวยุทธที่ตระกูลเย่จัดขึ้นนั้นสิ้นสุดลง ได้มียอดฝีมือใน
  เรื่องที่สาม..หลิงหยุนกับบุคคลอันดับหนึ่งของประเทศ ได้นั่งสนทนากันกว่าหนึ่งชั่วโมงที่คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยหยานจิง
  ข่าวใหญ่โตทั้งสามนี้ได้แพร่สะพรัดไปทั่วภายในคืนเดียวไม่มีบุคคลระดับสูงคนใดของประเทศนี้แม้แต่คนเดียวที่ไม่รู้เรื่อง..
  และเมื่อสายลมผ่านพ้นสายฝนก็กำลังจะตาม..