บทที่ 1267 โอสถโฉสะคราญและโอสถเยาว์วัย

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

หลังจากรับประทานอาหารร่วมกันเสร็จแล้วหลิงหยุนกับจินเหยียวยังนั่งสนทนากันอยู่อีกครู่ใหญ่ ไม่มีเรื่องสำคัญอันใด เป็นการพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยเหมือนอย่างคนในครอบครัวพูดคุยกันระหว่างมื้ออาหาร
  ทั้งคู่คุยกันเรื่องต่างๆภายในตระกูลหลิงเรื่องการฝึกวิชา และแม้กระทั่งเรื่องของพรรคมาร รวมถึงเล่าเหตุการณ์เมื่อสิบแปดปีก่อนอย่างละเอียด ก่อนจะมาจบด้วยเรื่องของเย่ซิงเฉินและงานชุมนุมชาวยุทธที่กำลังจะเกิดขึ้น
  แต่เพราะจินเหยียวเป็นบ้าเสียสติไปนานถึงสิบแปดปีเรื่องที่นางเล่าตลอดสิบแปดปีจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหยินชิงเฉวียนแม่ของเขาเสียมากกว่า
  จากการพูดคุยที่ยาวนานนี้ทำให้หลิงหยุนได้ล่วงรู้ความลับต่างๆของพรรคมารไม่น้อยอีกทั้งได้รู้เรื่องราวของหยินชิงเฉวียนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งได้รู้ว่าจินเหยียวก็คือสาวใช้คนสนิทที่รักกันดั่งพี่น้องของแม่ตน..
  จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้รู้มาในตอนนี้ทำให้หลิงหยุนรู้ตัวว่าด้วยกำลังความแข็งแกร่งของตนในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบุกเข้าไปบดขยี้พรรคมาร นั่นเพราะยี่สิบผู้เฒ่าแห่งพรรคมารนั้นเมื่อสิบแปดปีก่อนยังแข็งแกร่งหาผู้ใดเทียบไม่ได้ แม้แต่หยินชิงเฉวียนยังเคยนึกอิจฉาพวกเขา
  จินเหยียวได้เล่าให้หลิงหยุนฟังว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้นางได้พลีชีพด้วยการระเบิดลมปราณตัวเอง และกระโดดหน้าผาลงไปหมายตายพร้อมกับซือกงถู แม้ครั้งนั้นซือกงถูจะรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ทำให้เขาไม่สามารถฝึกฝนวิชาได้นานถึงสิบปี ไม่เช่นนั้นแล้วในวันที่หลิงหยุนประมือกับซือกงถูนั้น มันคงจะไม่ได้อยู่เพียงแค่ระดับหกขั้นพลังเหนือธรรมชาติเป็นแน่..
  หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ตกตะลึงและได้แต่คิดในใจว่าไม่แปลกเลยที่พรรคมารสามารถต่อกรกับเหล่าชาวยุทธฝ่ายธรรมะมาได้นานถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้ ที่แท้เป็นเพราะพรรคมารแข็งแกร่งเช่นนี้นี่เอง!
  หลังจากได้ฟังจินเหยียวเล่าเรื่องภายในพรรคมารทำให้หลิงหยุนรู้ตัวว่าหากยังไม่สามารถเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ได้ ก็ยังไม่สามารถบุกเข้าไปช่วยหยินชิงเฉวียนที่พรรคมารได้!
  มิน่าทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าเย่ซิงเฉินและหลิงหยุนพูดถึงเรื่องที่จะไปช่วยท่านแม่ของเขา เย่ซิงเฉินจะรีบเปลี่ยนเรื่อง คล้ายไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้..
  แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวต่อพรรคมารและไม่รีบร้อน เวลานี้เขาเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่แล้ว จึงสามารถปกป้องคุ้มครองตัวเองได้อย่างไม่มีปัญหา เขามั่นใจว่าอีกภายในครึ่งปี ก็จะสามารถเข้าสู่ด่านสุดท้ายของขั้นพลังชี่ได้ และเมื่อถึงตอนนั้นเขาจะบุกไปบดขยี้พรรคมารด้วยตัวเอง!
  “ท่านน้าจินเหยียวอีกครึ่งปีข้าต้องสามารถไปช่วยท่านแม่ให้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาได้แน่!”
  ก่อนจะลากลับไปหลิงหยุนพูดกับจินเหยียวด้วยน้ำเสียงที่แม้จะไม่ดุดัน แต่ก็หนักแน่นมั่นคงยิ่งนัก!
  จินเหยียวเองก็เชื่อว่าด้วยความสามารถของหลิงหยุนในเวลานี้เขาจะสามารถทำอย่างที่พูดได้เป็นแน่ นางพยักหน้าด้วยแววตาซาบซึ้งใจ แล้วจึงเดินออกไปส่งหลิงหยุน
  ……
  หลิงหยุนกลับไปถึงบ้านของตนราวห้าทุ่มเกาเฉินเฉินเองก็นั่งรอการกลับมาของเขาอยู่แล้ว ในคืนที่เงียบสงบและน่ายินดีเช่นนี้ ทั้งคู่ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะใช้เวลาด้วยกันอย่างใกล้ชิดได้..
  แต่ครั้งนี้หลิงหยุนได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดจากครั้งก่อนแล้วเขาจึงได้วางค่ายกลไว้ที่สวนด้านนอกบ้านเพื่อป้องกันจิตหยั่งรู้ของผู้อื่น และเสียงที่จะดังรอดออกไปได้ จากนั้นทั้งคู่จึงเริ่มปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกของกันและกันโดยไม่ต้องกังวลใจใดๆอีก
  ระหว่างเสร็จสิ้นภารกิจเร่าร้อนไปแล้วหลิงหยุนก็ไม่ลืมที่จะสอบถามเกาเฉินเฉินถึงปัญหาในการฝึกวิชาหงส์เล่นไฟ และช่วยนางแก้ไขสิ่งที่ติดขัด
  ….
  เช้าวันใหม่..หลิงหยุนตื่นขึ้นมาฝึกวิชาดาราคุ้มกายต่อจนกระทั่งถึงแปดโมงเช้าจึงหยุด
  “โอ้!ด้วยอานุภาพพลังจันทราจากคืนพระจันทร์เต็มดวงติดต่อกันถึงเก้าคืน ข้าคงจะสามารถเข้าสู่ด่านสามของดาราคุ้มกายได้เสียที!”
  หลังจากฝึกเสร็จหลิงหยุนสามารถสัมผัสได้ว่าตนใกล้จะสามารถเข้าสู่ด่านสามของดาราคุ้มกายได้แล้ว  หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จหลิงหยุนก็ได้เรียกโม่วู๋เตาให้ไปยังสวนชั้นที่แปดพร้อมกับตน ห้องฝึกวรยุทธตระกูลหลิงเองก็อยู่ในสวนชั้นนี้ และติดกับห้องพักของจินเหยียว นางรู้ว่าหลิงหยุนจะมาฝึกวิชาจึงมารออยู่ก่อนแล้ว
  ที่นี่เป็นสถานที่ที่หลิงหยุนเก็บตัวฝึกฝนวิชาและเตรียมพร้อมสำหรับการประลองกับตระกูลซันและตระกูลเฉิน แต่ครั้งนี้หลิงหยุนไม่ได้มาเก็บตัวฝึกวรยุทธ แต่เขากำลังจะทำการกลั่นโอสถโฉมสะคราญ และโอสถเยาว์วัยต่างหาก..
  จินเหยียวได้จัดเตรียมสมุนไพรที่จำเป็นสำหรับใช้ในการกลั่นโอสถไว้ให้ตามที่หลิงหยุนร้องขอแล้ว
  ในเมื่อหลิงหยุนได้น้ำผึ้งหยกขาวมาแล้วเขาแทบจะอดใจรอที่จะกลั่นโอสถทั้งสองชนิดไม่ได้ ครั้งนี้หลิงหยุนไม่ได้ใช้หม้อใบใหญ่ที่เคยใช้เช่นเคย แต่กลับเรียกหม้อเสินหนงออกมาแทน  ในคืนที่หนิงหลิงยู่รับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จและได้รับรางวัลเป็นพลังอมตะสีม่วงนั้น หม้อเสินหนงก็ได้ดูดซับเอาพลังอมตะนั้นเข้าไปด้วย และเวลานี้หม้อเสินหนงก็คล้ายมีแสงสีม่วงทอประกายอยู่รอบๆ
  นี่นับเป็นครั้งที่สองที่หม้อเสินหนงมีการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกคือตอนที่มันดูดซับเอาอสุนีบาตจากเมฆสีเขียวเข้าไป
  “โอ้โห..ช่างเป็นของวิเศษที่ล้ำค่ายิ่งนัก!”
  ทันทีที่เห็นหม้อเสินหนงโม่วู๋เตาก็ถึงกับตาโตขึ้นมาทันที
  “นี่..ไว้เจ้าสามารถกลั่นโอสถได้เมื่อใด ข้าจะให้เจ้ายืมหม้อเสินหนงไปใช้!”
  หลิงหยุนยิ้มให้กับโม่วู๋เตาพร้อมกับพูดกระตุ้นให้เขามีความกระตือรือร้นที่จะฝึกฝนวิชา..
  แต่น่าเสียดายที่ยังขาดฝาถึงกระนั้นการกลั่นโอสถโฉมสะคราญ และโอสถเยาว์วัยนี้ แม้ไม่มีฝาก็ไม่ได้ส่งผลอันใดนัก จากนั้นหลิงหยุนจึงทำการติดไฟและเริ่มขั้นตอนการกลั่นโอสถทันที
  การกลั่นโอสถทั้งสองชนิดนี้จะต้องใช้เวลากลั่นถึงสามวัน..
  ในฐานะที่หลิงหยุนเป็นผู้รู้ด้านการกลั่นโอสถขั้นตอนต่างๆจึงดำเนินไปได้อย่างไม่มีสิ่งใดผิดพลาด สมุนไพรที่นำมาใช้ก็เป็นสมุนไพรชั้นเลิศทั้งสิ้น
  “หลิงหยุน..โอสถของเจ้าเหนือกว่าโอสถที่อาจารย์ของข้ากลั่นมากนัก!”
  นี่เป็นคำพูดที่หลิงหยุนได้ยินจากปากของโม่วู๋เตาตลอดสามวันที่ผ่านจนเขาสามารถจำได้ขึ้นใจ..
  ในสายตาของจินเหยียวกับโม่วู๋เตาการกลั่นโอสถของหลิงหยุนนั้น ไม่ต่างจากงานศิลปะที่ละเอียดอ่อนเลยแม้แต่น้อย..
  ระหว่างการกลั่นโอสถนั้นหลิงหยุนทำด้วยความสงบนิ่งเป็นอย่างนัก ไม่มีท่าทีตื่นตระหนก หรือกังวลใจแม้แต่น้อย นั่นเพราะในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้นเขากลั่นโอสถมากมายนับครั้งไม่ถ้วน การกลั่นโอสถของหลิงหยุนจึงไม่ต่างจากการทำอาหารสักหนึ่งมื้อ..
  แต่แน่นอนว่าก่อนที่หลิงหยุนจะสามารถได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ด้านการกลั่นโอสถนั้นเขาต้องผ่านการฝึกฝนที่ยากลำบากมาอย่างหนักหนาสาหัสเช่นกัน
  ครั้งนี้หลิงหยุนใช้น้ำผึ้งหยกขาวไปกว่าหนึ่งกิโลกรัมและสามารถกลั่นโอสถโฉมสะคราญและโอสถเยาว์วัยได้อย่างละสี่สิบเก้าเม็ด
  โอสถโฉมสะคราญนั้นช่วยให้มีผิวขาวและไร้ริ้วรอยเหี่ยวย่น เนื้อโอสถมีสีขาวใสราวกับไข่มุกล้ำค่า แต่ละเม็ดเปล่งประกายเจิดจ้าและมีพลังชีวิตอบอวล
  ส่วนโอสถเยาว์วัยนั้นมีสีม่วงใสราวกับคริสตัลประกายสีม่วงสะท้อนออกมาจากเม็ดโอสถกลมเล็กดั่งแสงอาทิตย์
  โอสถชนิดใดก็ตามที่มีประกายสะท้อนสว่างไสวโอสถนั้นคือโอสถพลังชีวิตที่แท้จริง..
  “เอาล่ะ..ในที่สุดข้าก็กลั่นโอสถพลังชีวิตชั้นเยี่ยมเสร็จแล้ว!”
  หลิงหยุนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจเวลานี้เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่มที่แผ่ซ่านทั่วทั้งจุดตันเถียนของตน ซึ่งมีเปลวไฟห้าธาตุบ่มเพาะอยู่ภายใน หลิงหยุนเชื่อว่าอีกราวครึ่งเดือนมันก็จะกลายเป็นเปลวไฟห้าธาตุหยินหยางได้แล้ว และเมื่อใดก็ตามที่เขาสามารถใช้เปลวไฟห้าธาตุหยินหยางกลั่นโอสถได้แล้ว โอสถของเขาก็จะเป็นโอสถพลังชีวิตชั้นเยี่ยมที่หากได้ยากยิ่ง
  ตลอดระยะเวลาสามวันที่ทำการกลั่นโอสถนี้หลิงหยุนก็ได้ใช้กระบี่กังฉีสลักหยกจักรพรรดิเป็นขวดได้สิบกว่าใบ ส่วนหนึ่งเพื่อใช้สำหรับในการบรรจุโอสถพลังชีวิตเหล่านี้..
  จากนั้นหลิงหยุนจึงเดินตรงไปหาจินเหยียวและสั่งให้นางแบมือออก แล้วเทโอสถสีขาวใสและสีม่วงใสลงไปบนฝ่ามือของนาง
  “นี่เจ้าคิดจะทำอะไรรึ!”   จินเหยียวพอจะรู้สรรพคุณของโอสถทั้งสองชนิดจากหลิงหยุนมาก่อนแล้วนางจึงมีท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
  โอสถโฉมสะคราญไม่เพียงทำให้ผู้ที่ได้กินมีผิวหน้าขาวใสแต่ผิวพรรณทั่วทั้งร่างยังจะขาวใสด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูเซลต่างๆในร่างกายทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้นเงางาม จึงมีอานุภาพในการลดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  แต่นั่นเป็นเพียงแค่สรรพคุณพื้นๆของโอสถโฉมสะคราญเท่านั้นโอสถพลังชีวิตชั้นสูงเช่นนี้ยังสามารถช่วยกำจัดร่องรอยแผลเป็นบนใบหน้าและตามร่างกายได้ อีกทั้งยังช่วยปรับผิวพรรณ และรูปหน้าของมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบอย่างหาที่ติไม่ได้อีกด้วย
  และหากเทียบกับสินค้าประเภทดูแลผิวพรรณทั่วไปในยุคปัจจุบันหรือแม้แต่การฉีดโบท็อกซ์และทำศัลยกรรมแล้วล่ะก็ สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นของไร้ค่าทันทีเมื่อเทียบกับโอสถโฉมสะคราญของหลิงหยุน!   ส่วนโอสถเยาว์วัยนั้นสรรพคุณก็ตรงตามชื่อของมันเลยคือ ทำให้ผู้ที่กินมีความอ่อนเยาว์ไปตลอดกาล หากเด็กสาวได้กินเข้าไป ก็จะมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์เช่นนั้นไปอีกนับสิบปี หากเป็นคนชรากินเข้าไป ก็จะอ่อนเยาว์ลงกว่าวัยนับสิบปีเช่นกัน
  ไม่เพียงอ่อนเยาว์แค่ใบหน้าเท่านั้นแม้แต่เรือนร่างก็อ่อนเยาว์ด้วยเช่นกัน..
  แต่ผู้ที่ฝึกฝนบ่มเพาะตนก็จะอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องพึ่งพาโอสถเหล่านี้..
  ไม่เช่นนั้นแล้วเหล่าอสูรที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่มาหลายพันปีเหตุใดจึงมีใบหน้าราวกับคนอายุสามสิบถึงสี่สิบปีเล่า ด้วยเหตุนี้ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่จึงไม่นับถือกันที่อายุ หรือรูปร่างหน้าตา แต่เป็นความแข็งแกร่ง!
  เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้นหลิงหยุนเคยพบเจอหญิงอายุสองพันปีที่ฝึกบ่มเพาะตน แต่ใบหน้าของนางกลับดูคล้ายเด็กสาวที่มีอายุเพียงแค่ยี่สิบปีเท่านั้น และสิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่พบเจอได้เป็นปกติในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่
  “ท่านน้าจินเยียวกลืนโอสถนี่ลงไปสิ!” หลิงหยุนคะยั้นคะยอ
  “มะ..ไม่.. ข้าไม่กิน!”
  เมื่อคิดว่าตนเองจะต้องเปลี่ยนเป็นเด็กสาวอ่อนเยาว์จินเหยียวก็รีบปฏิเสธหน้าแดงก่ำทันที
  “ท่านน้าจินเหยียวท่านต้องกิน!”
  หลิงหยุนคะยั้นคะยอต่อ“หากท่านน้าไม่กิน ข้าจะรู้ได้อย่างไรกันเล่าว่าโอสถของข้าใช้ได้ผลดีหรือไม่”
  จินเหยียวพยักหน้าและหยิบโอสถสีขาวใสขึ้นมา แต่หลิงหยุนกลับย้ำเสียงหนักแน่น “สีม่วงด้วยท่านน้า..”
  จินเหยียวได้แต่จำใจเอื้อมมือไปหยิบโอสถสีม่วงใสมาด้วยและกลืนเข้าไปในปากทั้งสองเม็ด
  แล้วความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที ทั้งใบหน้าของจินเหยียว และผิวพรรณทั่วร่างของนาง ก็แปรเปลี่ยนคล้ายกับเด็กสาวที่เพิ่งอายุยี่สิบปีเท่านั้น!
  “โอ้โห!”
  โม่วู๋เตาที่ยืนดูอยู่ถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้วยตาตัวเองเช่นนั้น เขาตกใจอย่างที่สุด!