บทที่ 2670 ตั้งใจจะมอมนางหรือไง?
“องค์หญิงช่างผ่าเผยนัก!”
นายพลเหล่านั้นยกนิ้วชมเชย
คนที่ใช้ชีวิตเสี่ยงภัยนองโลหิตอยู่เสมอล้วนมีนิสัยรุนแรง และเลื่อมใสคนที่ตรงไปตรงมา เมื่อก่อนพวกเขายังรู้สึกว่าองค์หญิงผู้นี้ขี้ขลาดใจเสาะ นอกเหนือจากฐานะองค์หญิงแล้ว อย่างอื่นล้วนไม่ได้เรื่องได้ราวเลย
และไม่ได้เก็บนางมาใส่ใจ ตอนนี้เห็นนางเป็นเช่นนี้ กลับมีความเคารพในตัวนางขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
มือนับไม่ถ้วนยื่นเข้ามา เล่นทายนิ้วกับองค์หญิงพร้อมกัน คึกคักมีชีวิตชีวายิ่ง
เยี่ยนเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาไล่ตามองค์หญิงผู้นั้นไปอย่างไม่อาจควบคุมได้
แม้แต่หลานไว่หูที่อยู่ข้างกาย ดึงเขาอย่างต่อเนื่องกันสองคราแล้วก็ยังดึงความสนใจของเขากลับมาไม่ได้
ห้านำตามด้วยหกหกหก… (คำพูดขณะเล่นทายนิ้ว)
ฝ่ามือเจ็ดแปดข้างเปลี่ยนท่าไปมาเป็นครั้งคราว การเล่นทายนิ้วง่ายดายและได้รับความนิยมเป็นที่สุด ฝ่ามือน้อยๆ ขาวกระจ่างข้างหนึ่งปะปนอยู่ท่ามกลางมือชายฉกรรจ์เจ็ดแปดข้างดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
เยี่ยนเฉินรู้สึกว่ารูปแบบการเล่นทายนิ้วนี้ค่อนข้างคุ้นตา ผ่านไปครู่หนึ่ง หัวใจเขาพลันสั่นไหว นึกขึ้นได้แล้ว!
ในอดีตตอนกู้ซีจิ่วเพิ่งเข้าสู่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ กลายเป็นสหายกับจิ้งจอกน้อยและเชียนหลิงอวี่ กู้ซีจิ่วเคยสอนวิธีเล่นทายนิ้วเช่นนี้ให้จิ้งจอกน้อย เพื่อใช้เล่นฆ่าเวลา
จิ้งจอกน้อยเคยเอามาสาธิตต่อหน้าเขาครั้งหนึ่ง แต่ต่อมาก็ได้ถูกแทนที่ด้วยเกมปรับสุราแบบอื่น ไม่ได้เล่นสิ่งนี้อีก
เป็นเรื่องราวเมื่อสองร้อยกว่าปีมาแล้ว หากมิใช่เพราะเยี่ยนเฉินความจำดี เกรงว่าถึงเขานึกจนหัวแตกก็คงนึกไม่ออก
ยามนี้พอเห็นพวกเขาเล่นสิ่งนี้กัน ความสงสัยก็ผุดขึ้นในใจเขา
การเล่นทายนิ้วเช่นนี้เป็นผู้ใดที่สอนให้พวกเขา? หรือว่าเดิมทีชาวดาวจิ้งจอกครามก็เล่นกันเป็นอยู่แล้ว?
หรือว่า…
หรือเป็นองค์หญิงผู้นี้ที่สอนให้พวกเขา?!
การเล่นทายนิ้วเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการหาผู้ชนะ พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายตาแล้ว ในระหว่างนี้องค์หญิงผู้นั้นแพ้ไปอีกสองรอบ ดื่มสุราไปสองจอกแล้ว ใบหน้าพริ้มเพราที่ซีดขาวซับสีแดงอ่อนจางขึ้นมานิดๆ แล้ว ดวงตาที่เดิมทีราวกับบึงมรณะทอประกายขึ้นบ้างแล้ว
นางดื่มสุราคล่องยิ่งกว่าดื่มน้ำเสียอีก ไม่ลังเลเลยสักนิด
เยี่ยนเฉินอดมองหลานไว่หูที่อยู่ข้างกายไม่ได้ จิ้งจอกน้อยไม่ชำนาญการดื่มสุรา ดื่มสุราก็จิบทีละนิดเท่านั้น แถมส่วนใหญ่ยังให้เขาดื่มแทนด้วย…
เห็นทีว่าสตรีนางนี้จะไม่ใช่จิ้งจอกน้อยจริงๆ…
และไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด หลังจากสรุปผลได้เช่นนี้ ขณะที่เยี่ยนเฉินโล่งอกยิ่งนัก ก็รู้สึกผิดหวังอยู่รางๆ ด้วย
ดูคนกลุ่มนี้ดื่มสุราไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด เยี่ยนเฉินรู้ว่าตนควรจากไปได้แล้ว แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเท้าจึงเสมือนติดตรึงอยู่บนพื้น เขาไม่อยากก้าวเดินไปชั่วขณะ ยามที่เห็นองค์หญิงผู้นั้นดื่มสุราคำโต เขาเกิดความรู้สึกชั่ววูบที่อยากจะก้าวเข้าไปฉวยจอกสุราของนางมาเสีย!
ดูจากท่าทางของนางแล้วเหมือนเพิ่งจะหายจากอาการป่วยหนัก ในสภาวะเช่นนี้ไม่อาจดื่มสุราได้กระมัง?!
สายตาของเยี่ยนเฉินหันเหไปยังร่าง ‘องครักษ์พิทักษ์บุปผา’ คนนั้นที่อยู่ข้างกายองค์หญิง ตั้งแต่ต้นจนจบคนผู้นั้นยิ้มบางๆ ในมือโคลงจอกสุราอย่างสบายๆ มองคนเหล่าหัวเราะเบิกบาน
จนกระทั่งองค์หญิงผู้นั้นดื่มสุราไปเจ็ดแปดจอกแล้ว องครักษ์พิทักษ์บุปผาคนนั้นถึงได้ห้ามปราม
“องค์หญิง เธอหยุดดื่มได้แล้วมั้ง? สุขภาพเธอไม่ดี…”
องค์หญิงผู้นั้นปัดมือเขาออก
“องค์หญิงอย่างข้าหายดีนานแล้ว เจ้าไม่ต้องมายุ่ง”
ดื่มสุราในจอกรวดเดียวหมดอีกครั้ง
“องค์หญิง ผ่าเผยมาก!”
“องค์หญิง ไม่คิดเลยว่าเธอจะห้าวหาญขนาดนี้ ก่อนหน้านี้พูดจาล่วงเกินไปมาก ฉันขอคารวะเธอหนึ่งจอก!”
นายพลคนหนึ่งที่มีเคราเต็มหน้าลุกขึ้นคารวะสุรา
องค์หญิงผู้นั้นไม่พูดอะไร ชนจอกกับนายพลคนนั้น จากนั้นก็ดื่มสุรารวดเดียวหมดจอก
“องค์หญิง เมื่อกี้นายพลผู้ต่ำต้อยก็ล่วงเกินไปเหมือนกัน นายผลผู้ต่ำต้อยก็ขอคารวะท่านหนึ่งจอก”
“ฉันขอคารวะด้วย!”
“ฉันด้วย…”
ไอ้สารเลวพวกนี้ ตั้งใจจะมอมนางหรือไง?!
เยี่ยนเฉินกำมือแน่น ปลายนิ้วเยียบเย็นนิดๆ…
————————————————————————————-
บทที่ 2671 (1) เจ้าเป็นใคร
หลานไว่หูที่อยู่ข้างกายเขากลับว่าง่ายอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก ไม่ส่งเสียงเลย เพียงมองไปที่ ‘องครักษ์พิทักษ์บุปผา’ คนนั้นอยู่บ่อยครั้ง
องค์หญิงผู้นั้นไม่ปฏิเสธสุราคารวะจากผู้อื่นเลย คารวะมานางก็ดื่ม พริบตาเดียวก็ดื่มต่อเนื่องกันไปห้าหกจอกแล้ว
แม้ว่าจอกสุรานั้นจะไม่ใหญ่ แต่หนึ่งจอกก็ครึ่งเหลี่ยง[1]แล้ว ถ่ายเทลงกระเพาะไปกว่าสิบจอกเช่นนี้ ก็เป็นสุราจำนวนเจ็ดแปดเหลี่ยงแล้ว ซ้ำยังเป็นเหล้าขาวฤทธิ์แรงอีก อย่าว่าแต่เด็กสาวเลย ต่อให้เป็นบุรุษก็เกรงว่าจะเมามายไปครึ่งตัวแล้ว!
องค์หญิงผู้นั้นแก้มแดงปานลูกผิงกั่วแล้ว ริมฝีปากที่ซีดขาวก็ราวกับแต้มชาดแล้วเช่นกัน
ในที่สุด ‘องครักษ์พิทักษ์บุปผา’ คนนั้นก็ยึดจอกสุราในมือนางแล้ว
“เอาล่ะ หยุดดื่มได้แล้ว!”
องค์หญิงผู้นั้นเมามายแล้ว ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง
“เหตุใดองค์หญิงอย่างข้าต้องฟังเจ้าด้วย?”
“ท่านจอมพล คุณเป็นห่วงหรือไง?”
“ฮ่าๆ ท่านจอมพล สาวสวยเมามายสิถึงจะมีรสชาติหน่อย”
“ท่านจอมพล ห่วงใยเธอขนาดนี้ ไม่แต่งกับเธอไปเลยล่ะ? แบบนั้นคุณจะได้กลายเป็นราชบุตรเขยแห่งดาวจิ้งจอกครามของพวกเราไง ฮ่าๆ”
แม่ทัพเหล่านั้นพากันหยอกเย้าคนทั้งสอง
‘องครักษ์พิทักษ์บุปผา’ คนนั้นเลิกคิ้ว มององค์หญิงด้วยรอยยิ้มแวบหนึ่ง
“องค์หญิง เธอคิดว่าฉันเป็นยังไง? อยากแต่งกับฉันหรือเปล่า?”
องค์หญิงผู้นั้นเอียงหัวมองเขา นัยน์ตาหรี่ปรือ ทว่าสุ้มเสียงกลับเรื่อยเฉื่อย
“ได้สิ…อือ…”
ถึงแม้รูปโฉมขององค์หญิงผู้นี้จะงดงามนัก แต่น้ำเสียงกลับไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้เลย แหบพร่าอย่างยิ่ง บัดนี้หลังจากเมามาย วาจาที่กล่าวออกมาล้วนอ้อแอ้คลุมเครือ
นางลุกขึ้นยืน แต่เมาหนักเกินไป ส่ายโงนเงน โซซัดโซเซ พลันสะดุดเท้า ล้มเข้าใส่อ้อมแขนของ ‘องครักษ์พิทักษ์บุปผา’ คนนั้น
‘องครักษ์พิทักษ์บุปผา’ คนนั้น โอบเอวนางไว้
“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ทว่านางที่อยู่ในอ้อมแขนของเขากลับประคองใบหน้าเขาไว้ เอียงคอมองเขา
“เจ้าหล่อ…จริงๆ…”
‘องครักษ์พิทักษ์บุปผา’ นิ่งไปเล็กน้อย
“…ขอบคุณองค์หญิงที่ชมเชย”
นางมองเขาต่อไป กะพริบตาปริบๆ
“เจ้า…เป็นใคร?”
‘องครักษ์พิทักษ์บุปผา’ ทำตัวไม่ถูกแล้ว…
คนที่อยู่รอบข้างต่างหัวเราะขึ้นมา
“ตวนมู่เหยี่ยน”
บุรุษคนนั้นแจ้งนามตน
“ตวนมู่…ถูกต้อง…หน้าตาเจ้าก็…ก็ถูกต้อง แต่ว่า เจ้า…ทำไมเจ้าถึงมีสองหัวล่ะ? แบบนี้…แบบนี้ไม่ถูกต้องแล้ว…”
ตวนมู่เหยี่ยนพูดไม่ออกเลย…
ทุกคนต่างหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง แม้แต่หลานไว่หูที่ฟังอยู่ด้านข้างก็หลุดขำแวบหนึ่ง นางมองเยี่ยนเฉินที่อยู่ข้างกาย ผงะไปเล็กน้อย ใจหายวาบ!
เยี่ยนเฉินไม่ได้หัวเราะอยู่ สีหน้าเขากลับซีดเผือดยิ่งนัก ดวงตาจับจ้ององค์หญิงคนนั้นเขม็ง ริมฝีปากสั่นระริก
“จ…จิ้งจอกน้อย!”
ช่วงเวลาที่หลานไว่หูเมามายมีน้อยยิ่งนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย เยี่ยนเฉินแต่งงานกับนางมาเนิ่นนานขนาดนี้ เคยเห็นอยู่หลายครั้งเช่นกัน เวลาที่นางเมามายจะจดจำผู้คนไม่ได้ ยามนั้นเรื่องที่นางทำบ่อยที่สุดคือโผเข้าใส่อ้อมแขนเขา ประคองใบหน้าเข้าไว้ เอียงคอถามเขาว่า
‘เจ้าเป็นใคร?’
ตอนที่นางประคองใบหน้าของเขาไว้ นิ้วก้อยข้างหนึ่งจะกระดกขึ้นเสมอ นิ้วกรีดกรายคล้ายดอกกล้วยไม้…
และตอนนี้ท่าทางในยามที่องค์หญิงผู้นี้เมามายเหมือนกับหลานไว่หูทุกกระเบียดนิ้ว! แม้แต่องศาการกระดกของนิ้วก้อยก็เหมือนกันทุกอย่าง ซ้ำยังมีทีท่าที่หรี่ตาแล้วเอียงหัวมองผู้อื่นด้วย เหมือนกันไม่มีผิด!
ตอนที่เห็นนางมีท่าทางเช่นนี้ เยี่ยนเฉินปานถูกฟ้าผ่า ลืมว่าตนอยู่ที่ไหนไปชั่วขณะ เปล่งเสียงนั้นออกมา!
เสียงนี้ย่อมมิใช่การส่งกระแสเสียง ถึงแม้เสียงจะไม่ดัง แต่ยังคงทำให้กลุ่มคนที่กำลังดื่มสุราอยู่ตรงนั้นตื่นตัวขึ้นมา
“ใคร?”
“ใครพูด?”
“ใครกัน!”
ภายในร้านนี้ไม่มีคนอื่น มีแต่โต๊ะนี้ของพวกเขา สายตานับไม่ถ้วนมองไปตามเสียงทิศทางที่พวกเยี่ยนเฉินอยู่
แต่ว่า มองไม่เห็นอะไรเลย…
————————————————————————————-
[1] เหลี่ยง เป็นหน่วยวัดน้ำหนักของจีนโดย 1 เหลี่ยง = 50 กรัม