สายตาของจินเหยียวเหลือบมองไปทางรถของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่ขับอยู่ด้านหน้านางหวนระลึกถึงอดีต พร้อมตอบคำถามของหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้ารู้สึกถูกชะตากับนางยิ่งนัก!”
“เมื่อครั้งที่ข้ายังเป็นเด็กสาวอายุสิบห้าถึงสิบหกปีเห็นจะได้ข้าฝึกฝนการใช้พิษจนเก่งกาจยิ่งนัก แต่เป็นเพราะยังเด็กจึงใจร้อน เมื่อเกิดการโต้เถียงกับคนที่นั่น ข้าจึงแอบหนีออกมาอาศัยอยู่ในเซียงซีเพียงลำพัง ครั้งหนึ่งข้าต้องสู้กับชาวเซียงซีจำนวนมากจนเกือบถูกฆ่าตาย แต่ในที่สุดก็ช่วยพี่สาวไว้ได้ นับแต่นั้นมาข้าจึงได้ติดตามพี่ชิงเฉวียนไปอยู่ที่พรรคมาร..”
จินเหยียวบอกเล่าชีวิตเดิมของตนให้กับหลิงหยุนฟัง“ข้ายังจำได้ว่าในสายตาของข้าเวลานั้น พี่ชิงเฉวียนไม่ต่างจากนางฟ้า นางปฏิบัติต่อข้าดีเสียยิ่งกว่าพี่สาวแท้ๆของข้าเสียอีก เมื่อข้าต้องการฝึกฝนวรยุทธ พี่ชิงเฉวียนก็ได้ถ่ายทอดวิชาให้กับข้าอย่างเต็มที่ เพียงแค่สองปีข้าก็สามารถเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นเซียงเทียนได้แล้ว!”
“พี่ชิงเฉวียนมักเอ่ยชมเชยข้าอยู่เสมอนางบอกว่าในบรรดาน้องๆของนางนั้น แม้แต่ชิงหลวนกับชิงเฟิงก็ยังไม่อาจเทียบข้าได้..”
เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ใบหน้าของจินเหยียวก็เปี่ยมไปด้วยความสุขจนต้องยิ้มออกมา “ข้าตามติดพี่ชิงเฉวียนไม่ห่าง ไม่ว่าจะฝึกวิชา หรือเดินทางไปตามที่ต่างๆอย่างมีความสุข ข้าไม่อยากจากนางไปไหนอีกแล้ว นับแต่นั้นมาจึงไม่เคยกลับไปที่หมู่บ้านชาวเหมี่ยวเจียงอีกเลย”
“แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขก็อยู่กับข้าเพียงแค่สองหรือสามปีเท่านั้นเพราะหลังจากที่พี่ชิงเฉวียนได้พบกับพ่อของเจ้า ก็เกิดเหตุการณ์อย่างที่เจ้ารู้ นางถูกนำตัวกลับไปพรรคมารและให้กำเนิดเจ้า ข้ายังจำได้ว่านางมีความสุขยิ่งนัก..” “พี่ชิงเฉวียนให้กำเนิดเจ้าได้ไม่ถึงครึ่งเดือนผู้เฒ่าพรรคมารทั้งสิบสองคนก็สั่งให้นางเข้าร่วมพิธีบูชายัญ แต่เมื่อนางกลับมาก็พบว่าเส้นลมปราณหยางเจี๋วยของเจ้าได้ถูกคนทำลายไปแล้ว แม้นางจะโกรธมาก แต่นางก็รู้ว่าด้วยพลังของนางในเวลานั้น ย่อมไม่อาจเอาชนะผู้เฒ่าทั้งสิบสองคนและผู้คุ้มกฏอีกแปดคนได้ ในที่สุดนางจึงตัดสินใจให้ข้านำเจ้าหนีออกมาจากแดนต้องห้ามของพรรคมาร!”
“พี่ชิงเฉวียนเป็นหญิงที่เฉลียวฉลาดอย่างหาใครเทียบได้ยากนักพวกเราสองคนวางแผนกันอย่างรอบคอบ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงสามารถพาเจ้าหนีออกจากดินแดนต้องห้ามได้ไม่ยาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าทันทีที่ออกมาได้ กลับถูกซือกงถูไล่ฆ่า..”
“แผนการที่พวกเราวางไว้แต่แรกคือนำเจ้ากลับไปอยู่ที่เผ่าเหมี่ยวเจียง และข้าจะเลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อผ่านเมืองจิงฉูกลับถูกซือกงถูดักรออยู่ที่นั่น แล้วหลังจากนั้น..”
จินเหยียวหยุดเล่าเพียงแค่นั้นเพราะเรื่องราวหลังจากนั้นหลิงหยุนเองก็ได้รับรู้หมดแล้ว..
จากนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปทางรถของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้งพร้อมกับพูดยิ้มๆ
“หากครั้งนั้นข้าสามารถนำเจ้ากลับไปเลี้ยงดูที่เผ่าเหมี่ยวเจียงได้สำเร็จเจ้ากับแม่นางผู้นั้นจะต้องเติบโตขึ้นมาพร้อมกัน..”
หลิงหยุนถึงกับนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะถามกลับไปทันที“ท่านน้าจินเหยียว นี่ท่านรู้จักกับย่าของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่ชื่อเหมี่ยวเฟิงหวงงั้นรึ”
“แน่นอนข้าย่อมรู้จัก!”
จินเหยียวยิ้มให้หลิงหยุน“ในเผ่าเหมี่ยวเจียงของเรามีหญิงสาวที่ชุบเลี้ยงหนอนกู่ และฝึกฝนการใช้พิษมากมาย วิชาเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น แต่ละหมู่บ้านล้วนฝึกฝนหญิงสาวขึ้นมาเพื่อแข่งขันคัดเลือกเป็นธิดาเหมี่ยวเจียง!”
“เมื่อครั้งที่ข้าอายุได้สิบกว่าปีเหมี่ยวเฟิงหวงเป็นธิดาเหมี่ยวเจียงก่อนรุ่นของข้าหนึ่งรุ่น อีกทั้งยังเชี่ยวชาญการใช้หนอนกู่ยิ่งนัก มีหรือที่ชาวเหมี่ยวเจียงจะไม่รู้จักนาง”
“ส่วนตัวนางเองก็ไม่เพียงแค่รู้จักข้าแต่ยังเลี้ยงดูข้ามาอย่างดี และเมื่อใดที่ข้าอายุครบสิบแปดปี ข้าก็จะได้ขึ้นเป็นธิดาเหมี่ยวเจียงรุ่นต่อไป แต่น่าเสียดาย พออายุได้สิบหกปีข้าก็หนีออกมาจากที่นั่นเสียก่อน แล้วก็ไม่เคยกลับไปอีกเลย…”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่าที่แท้พวกนางก็นับเป็นครอบครัวเดียวกันจึงได้เอ่ยถามต่อทันที
“ท่านน้ารู้เรื่องระหว่างเหมี่ยวเฟิงหวงกับท่านเสี่ยวหมอเทวดาหรือไม่”
“ข้าเคยได้ยินมาบ้าง…”จินเหยียวพยักหน้า “แต่เรื่องนี้ชนชาวเหมี่ยวเจียวต่างก็เลือกที่จะนิ่งและไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยหรือพูดถึงนัก..”
ในที่สุดหลิงหยุนก็ได้รู้ว่าเหมี่ยวเฟิงหวงก็คือธิดาเหมี่ยวเจียงและจินเหยียวก็คือผู้ที่นางตั้งใจจะให้มารับตำแหน่งนี้ต่อจากนาง แต่เพราะจินเหยียวเลือกที่จะหนีออกไปเช่นนี้ ความสัมพันธ์ที่ดีจึงกลับกลายเป็นห่างเหิน
หากนับจากรุ่นของเหมี่ยวเฟิงหวงเหมี่ยวเสี่ยวเหมาจึงน่าจะเป็นผู้ที่นางตั้งใจเลี้ยงดูปลูกฝัง เพื่อให้มารับตำแหน่งธิดาเหมี่ยวเจียงรุ่นที่สามเป็นแน่
มิน่า..ทันทีที่จินเหยียวพบหน้าเหมี่ยวเสี่ยวเหมา นางจึงได้มีท่าทีแปลกประหลาดเช่นนั้น!
“ท่านน้าจินเหยียวท่านควรจะบอกเรื่องนี้กับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาไปตามตรง ข้าคิดว่านางเองก็คงดูออกเช่นกันว่าท่านก็ชุบเลี้ยงหนอนกู่!”
จินเหยียวพยักหน้า“สำหรับหญิงชาวเหมี่ยวเจียงที่ชุบเลี้ยงหนอนกู่ หากขั้นกำลังไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ย่อมต้องมองอีกฝ่ายออกเช่นกัน”
จินเหยียวหัวเราะออกมาเบาๆ“เด็กสาวเหมี่ยวเสี่ยวเหมาผู้นี้ ก้าวหน้ากว่าข้าเมื่อครั้งที่หนีออกมาจากเผ่าเหมี่ยวเจียงเสียอีก!”
หลิงหยุนฟังแล้วก็แต่ยิ้ม“ท่านน้า รอให้ไปถึงเมืองอิงถานก่อน ข้าจะหาโอกาสให้ท่านกับนางได้อยู่กันตามลำพัง ท่านจะได้อาศัยโอกาสนี้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง”
“ก็ดี!”จินเหยียวพยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากผ่านไปชั่วโมงกว่าหลิงหยุนและคนอื่นๆต่างก็มาถึงเมืองอินถาง..
หลังจากที่เข้าสู่เมืองอินถางหลิงหยุนเริ่มสัมผัสได้ว่ามีเหล่ายอดฝีมือทยอยเดินทางมามากขึ้นเรื่อยๆ บ้างมาเป็นกลุ่มสามคนบ้าง ห้าคนบ้าง ทุกคนล้วนแต่งกายหลากหลายรูปแบบปะปนอยู่ในฝูงชน แต่ทุกคนล้วนดูรีบร้อนไม่ต่างกัน
หลิงหยุนพบเจอยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนอยู่ไม่กี่คนแต่กลับไม่พบยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติเลยแม้แต่คนเดียว
“ทำตามแผนเดิมที่วางไว้กระจายกันออกเป็นสามกลุ่ม!”
ศัตรูเริ่มปรากฏตัวขึ้นแล้วหลิงหยุนจึงสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปตามแผนที่วางไว้ เพื่อไม่ให้พวกตนต้องเป็นที่สะดุดสายตาของผู้คนมากจนเกินไป
“ซิงเฉินเจ้าแยกย้ายไปพร้อมท่านน้าเสี่ยวเม่ยเม่ย แล้วก็เหมี่ยวเสี่ยวเหมา กลุ่มนี้ข้าขอมอบให้ซิงเฉินเป็นหัวหน้า!”
“เอ็ดเวิร์ดพวกเจ้าทั้งห้าแยกไปพร้อมกับนักโทษทั้งสองคน แล้วไปหาที่พักชั่วคราวก่อน หากไม่มีคำสั่งของข้าห้ามผู้ใดเข้าใกล้เขาหลงหู่โดยเด็ดขาด..”
“ที่เหลือตามข้ามุ่งหน้าไปยังเขาหลงหู่!”
แผนการนี้ได้เจรจาตกลงกันมาก่อนหน้าแล้วจึงไม่มีผู้ใดเห็นขัดกับหลิงหยุน หลังจากที่หลิงหยุนพูดจบ ทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปตามที่ตกลงทันที!
แต่ก่อนที่จะแยกย้ายหลิงหยุนก็ได้กำชับสี่ยวเม่ยเม่ยกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมา“พวกเจ้าทั้งสองคนอย่าลืมเปิดเครื่องมือสื่อสารทิ้งไว้ด้วย หากฝ่ายใดพบเห็นเฉิงเม่ยเฟิงแห่งอารามจิ้งซินก่อน ต้องรีบรายงานอีกฝ่ายทันที!”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็เดินนำไป๋เซียนเอ๋อฉินตงเฉี่วย ตี้เสี่ยวอู๋ โม่วู๋เตา และหวังชงเซียวไปยังเขาหลงหู่ทันที!
……
หลิงหยุนในวันนี้แตกต่างจากหลิงหยุนเมื่อครั้งอยู่ในเมืองจิงฉูที่เพิ่งเริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธ ยังไม่รู้จักโลกยุทธภพดีนัก และต้องต่อสู้กับศัตรูที่จ้องสังหารตนแต่เพียงลำพัง ไม่ว่าศัตรูที่บุกมาจะอ่อนหัดหรือแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็ต้องพึ่งพาสองขาและสองแขนของตนเท่านั้น
แต่เวลานี้..ไม่เพียงหลิงหยุนเข้าใจโลกยุทธภพได้อย่างลึกซึ้ง แต่ยังมีสหายที่พร้อมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับตน เขาจึงสามารถสะสางปัญหาต่างๆได้อย่างสงบนิ่ง และสามารถเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
นั่นเพราะเวลานี้หลิงหยุนมีอำนาจบารมีแล้วนั่นเอง!
ในปักกิ่ง..หลิงหยุนมีตระกูลหลิง ตระกูลเกา ตระกูลหลี่ และแม้กระทั่งตระกูลเสี่ยวกับตระกูลหลินคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง นี่คืออำนาจ!
อีกทั้งตอนนี้เขาก็อยู่ในตำแหน่งผู้เฒ่าหน่วยนภาฐานะของหลิงหยุนในเวลานี้อาจเรียกได้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวซิงหวู่หัวหน้าหน่วยมังกรเลย!
นอกจากนี้เขายังมีเย่ซิงเฉินธิดาพรรคมารเป็นกองหนุนด้วย..
แต่ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้เพียงแค่อำนาจของตระกูลหลิง และกองกำลังของเย่ซิงเฉินก็มากจนเกินพอแล้ว!
แม้เย่ซิงเฉินจะไม่บอกกล่าวหลิงหยุนไปเสียทุกเรื่องแต่นางก็มักจะเตรียมการที่จำเป็นไว้ให้เขาเสมอ และหากเขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจ นางก็จะคอยช่วยวางแผนไว้ให้เขาอยู่เงียบๆ
เหมือนเช่นครั้งนี้เย่ซิงเฉินก็ได้แอบสืบมาจนรู้ว่า ครั้งนี้อารามจิ้งซินภายใต้การนำของมี่ยู่ซือไท่ จะนำศิษย์ลงเขาชิงเฉิงมาร่วมยี่สิบคน และนางก็ได้รายงานเรื่องนี้ให้หลิงหยุนรู้ล่วงหน้าสองวันก่อนเดินทางออกจากปักกิ่ง
คนของอารามจิ้งซินมาถึงเมืองอิงถานก่อนกลุ่มของหลิงหยุนแต่ทันทีที่มาถึงเหล่าแม่ชีก็ได้หลบไปซ่อนตัวจนไม่สามารถพบเห็นได้อีก ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงได้กำชับเสี่ยวเม่ยเม่ยกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก่อนแยกย้ายกัน
เพราะหญิงสาวทั้งสองคนต่างก็เคยพบเจอเฉิงเม่ยเฟิงมาก่อนและเสี่ยวเม่ยเม่ยเองก็เคยอยู่กับเฉิงเม่ยเฟิงมาหลายวันก่อนที่นางจะถูกมี่ยู่ไท่ซือนำตัวไป ทั้งคู่ต่างรักใคร่กันดุจพี่น้อง
ต่อให้เฉิงเม่ยเฟิงกลืนโอสถไร้ใจจนลืมเลือนหลิงหยุนไปแล้วจริงๆแต่นางต้องไม่ลืมเสี่ยวเม่ยเม่ยเป็นแน่!
และนี่คือเหตุผลสำคัญที่หลิงหยุนต้องพาเสี่ยวเม่ยเม่ยมากที่นี่ด้วย!
หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินแยกกันออกเดินทางเป็นสองสายก็เพื่อค้นหาเฉิงเม่ยเฟิงไปด้วยนั่นเอง..
และหากได้พบกับเฉิงเม่ยเฟิงในครั้งนี้หลิงหยุนจะไม่ยอมให้ผู้ใดนำตัวนางไปจากเขาอีกอย่างเด็ดขาด!
หากผู้ใดขัดขวางโทษของมันคือตายสถานเพียวเท่านั้น!
เขาหลงหู่อยู่ห่างจากเมืองอิงถานไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราวยี่สิบกิโลเมตรรถของหลิงหยุนใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงก็เข้าใกล้เขาหลงหู่แล้ว เขาแทบอดทนรอไม่ได้ และปรารถนาให้ร่างของหญิงสาวมาปรากฏตรงหน้าในทันที
–เจ้าเด็กดื้อเจ้าอย่าได้กังวลใจไปนักครั้งนี้จะต้องพบกับนางเป็นแน่ แต่หากไม่พบ อารามจิ้งซินก็อยู่บนเขาชิงเฉิง อย่างไรนางก็หนีเจ้าไม่พ้นแน่ หลังสิ้นสุดงานชุมนุมชาวยุทธ ข้าจะไปอารามจิ้งซินพร้อมกับเจ้าเอง!-
ระหว่างที่หลิงหยุนกำลังกระวนกระวายใจอยู่นั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหูของเขา พร้อมกับมือนุ่มนวลก็เอื้อมมาตบบ่าของเขาด้วยความอ่อนโยน
ฉินตงเฉี่วยตั้งใจปลอบประโลมให้หลิงหยุนบรรเทาความทุกข์ในใจ!
เมื่อครั้งที่ฉินตงเฉี่วยมาถึงจิงฉูครั้งแรกนั้นนางได้เห็นหลิงหยุนสับซันเทียนเปียวเป็นชิ้นๆด้วยความแค้น นางจึงเป็นผู้เดียวที่เข้าใจดีที่สุดว่าเฉิงเม่ยเฟิงมีความสำคัญต่อจิตใจของเขามากเพียงใด!
–ขอบคุณน้าหญิงที่เข้าใจข้า!-
และเมื่อหลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาหลงหู่ก็อยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว..
เขาหลงหู่นั้นเป็นภูเขาที่ก่อตัวขึ้นจากทรายสีแดงอัดแน่นจนกลางเป็นภูเขาขนาดใหญ่ว่ากันว่าเป็นต้นกำเนิดของลัทธิเต๋าในประเทศจีน ตามบันทึกในหนังสือโบราณของลัทธิเต๋ากล่าวไว้ว่าหลานชายรุ่นที่สี่ของจางต้าหลิง ก็ได้มาตั้งรกรากอยู่ที่เขาหลงหู่นี้สืบทอดกันมานานกว่าหกสิบชั่วอายุคน หรือกว่า 1900 ปี
มาในยุคสมัยปัจจุบันเขาหลงหู่ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก เพราะไม่เพียงมีภูมิทัศน์ที่งดงาม แต่ยังเป็นมรดกเต๋าที่ตกทอดมากว่าสองพันปีด้วย
ในยุคที่เต๋ารุ่งเรืองอย่างมากบนเขาหลงหู่นี้มีวัดนิกายเต๋าอยู่มากถึงสามสิบหกแห่งเลยทีเดียว..
“สมกับเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเต๋าพลังชีวิตช่างรุนแรงยิ่งนัก!”
หลิงหยุนซึ่งอยู่ในรถยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตรุนแรงที่แพร่กระจายออกมาจากเขาหลงหู่แม้จะอยู่ด้านนอกของเขา แต่ความเข้มข้นของพลังชีวิตยังเหนือกว่าที่อยู่ในค่ายกลหลุมพลังตระกูลหลิงเสียอีก
“ก็ไม่เท่าไหร่!เหนือกว่าที่เขาเหมาซานของข้าเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจ..”
หลิงหยุนถึงกับถอนหายใจเมื่อได้ยินเสียงบ่นแสดงความไม่พอใจของโม่วู๋เตา