เมื่อรถจอดสนิทแล้วหลิงหยุนจึงเดินไปหยิบก้อนดินสีแดงขึ้นมาขยี้ ก่อนจะใช้จมูกสูดดมฟึดฟัด
“อืมม..เป็นดินที่มีคุณสมบัติเยี่ยมยอดยิ่งนัก ไม่แปลกที่จางเต้าหลิงเลือกที่นี่เป็นสถานที่กลั่นโอสถ ไม่ว่าดิน หรือน้ำล้วนแล้วแต่มีพลังชีวิตเข้มข้น เหมาะแก่การเล่นแร่แปรธาตุยิ่งนัก!”
ในที่สุดหลิงหยุนก็ค้นพบดินแดนล้ำค่าที่เหมาะแก่การเล่นแร่แปรธาตุยิ่งนัก!
“เอาล่ะทุกคนพวกเรารีบขึ้นไปบนยอดเขาให้กันดีกว่า!”
กลุ่มของหลิงหยุนเดินขึ้นเขาไปอย่างไม่รีบร้อนนักทั้งหมดเดินชมทิวทัศน์ที่งดงามรอบตัวไปด้วย แล้วก็พูดคุยกันไปด้วย ระหว่างทางก็มองหาเหล่าชาวยุทธที่เดินทางไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธในครั้งนี้ด้วย ระหว่างทางขึ้นเขาพบเจอเหล่าชาวยุทธหนาตาขึ้น บ้างก็เป็นมือกระบี่ บ้างก็มาจากตระกูลชาวยุทธเก่าแก่ บ้างก็เป็นหลวงจีน เป็นแม่ชี และศิษย์สำนักต่างๆ ทุกคนต่างก็แยกกันเดินเป็นกลุ่มๆ
และในที่สุดหลิงหยุนก็พบยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติบ้างแล้ว แต่พวกเขาอาจไม่ใช่ศัตรูของหลิงหยุน พวกเขาอาจเดินทางมาเพื่อเตรียมเข้าร่วมงานประมูลชาวยุทธที่จะจัดขึ้นในคืนนี้หรือวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้..
ส่วนหลิงหยุนนั้นไม่ได้สนใจที่จะเข้าร่วมงานประมูลชาวยุทธครั้งนี้มากนักแต่เขาก็ต้องไปเพราะต้องการตามหาเฉิงเม่ยเฟิง เพราะเขาเชื่อว่ากลุ่มแม่ชีจากอารามจิงซินจะต้องไปร่วมประมูลด้วยเป็นแน่
จนกระทั่งใกล้เที่ยงในที่สุดหลิงหยุนกับพวก็ได้ขึ้นมาถึงยอดเขาที่มีชื่อว่าเทียนเหมินซาน ซึ่งสูงจากพื้นดินราวหนึ่งพันสามร้อยเมตร
“เมื่อมายืนอยู่บนยอดเขาเช่นนี้ภูเขาลูกอื่นๆกลับดูเล็กลงไปถนัดตา!”
หลิงหยุนยืนอยู่บนยอดเขาพร้อมกับพึมพำออกมาแต่แล้วจู่ๆจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็คล้ายสัมผัสบางสิ่งบางอย่าง แววตาคู่งามของเขาเป็นประกายวูบวาบขึ้นมาทันที และความตื่นเต้นดีใจก็บังเกิดขึ้นอย่างไม่อาจปิดบังได้
ร่างสวยงดงามคุ้นตาร่างหนึ่งได้ปรากฏขึ้นภายใต้จิตหยั่งรู้ของเขานางเดินร่วมทางมากับหญิงสาวคนอื่นๆอีกราวเจ็ดแปดคน และกำลังขึ้นมาบนยอดเขาแห่งนี้
เฉิงเม่ยเฟิง!
…..
โชคชะตาเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!
หากต้องพบเจอแม้จะหลบหลีกเช่นใด ก็ยากที่จะเลี่ยงหลีกได้พ้น.. เช่นเดียวกับที่เขาได้พบกับเฉิงเม่ยเฟิงโดยบังเอิญ และได้ช่วยนางให้รอดพ้นจากน้ำมือของซันจิ้ง
ตลอดเวลาที่นางถูกคนของอารามจิ้งซินนำตัวกลับไปหลิงหยุนก็เฝ้าคิดถึงและโหยหานางมาตลอด แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะมาถึงเขาหลงหู่ เฉิงเม่ยเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว!
หลิงหยุนแทบไม่ต้องใช้ความพยายามในการตามหาตัวนางเลยแม้แต่น้อยหลิงหยุนจึงตื่นเต้นดีใจ และมีความสุขยิ่งนัก
ภายใต้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนเฉิงเม่ยเฟิงสวมชุดคลุมสีเทาแบบแม่ชี อาจเป็นเพราะการฝึกวรยุทธทำให้นางดูสูงขึ้นจากเดิมราวสองหรือสามเซ็นติเมตร อีกทั้งยังบอบบางและสง่างามยิ่งกว่าเดิม แต่เวลานี้นางดูอ่อนล้าเล็กน้อย..
ไม่ได้พบกันมานานกว่าหกเดือนเวลานี้ผมสีบลอนด์งดงามของนางถูกปกปิดไว้ไม่ให้เห็น ที่เอวมีผ้าสีดำและน้ำเงินคาดไว้ ดวงตาคมเฉี่ยวดั่งหงส์แม้จะยังคงสวยงาม แต่ก็ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก เหลือเพียงความทระนงและเย็นชาให้เห็น
‘ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-6!’
“นั่นพี่เม่ยเฟิงนี่!” จิตหยั่งรู้ของไป๋เซียนก็มีพลังไม่น้อยเช่นกันนางร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นเมื่อสำรวจพบร่างของเฉิงเม่ยเฟิง!
“นางอยู่ที่ใด!”
ฉินตงเฉี่วยซึ่งสังเกตเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของหลิงหยุนรีบร้องถามออกไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนของไป๋เซียนเอ๋อ
“นางอยู่ที่ตีนเขาและกำลังเดินขึ้นบนยอดเขาแห่งนี้!”
ตี้เสี่ยวอู๋ซึ่งมีจิตหยั่งรู้ครอบคลุมรัศมีสองพันเมตรจึงสามารถมองเห็นร่างของเฉิงเม่ยเฟิงเช่นกัน เป็นผู้ตอบฉินตงเฉี่วยแทน
ฉินตงเฉี่วยเปิดจิตหยั่งรู้ของตนออกสำรวจไปทางตีนเขาทันทีและถึงกับถอนหายใจออกมาพร้อมกับคิดในใจว่า ไม่แปลกเลยที่หลิงหยุนจะกระวนกระวายใจเช่นนี้!
แม้ฉินตงเฉี่วยจะไม่เคยพบเห็นเฉิงเม่ยเฟิงมาก่อนแต่เพียงแค่ความงดงามที่โดดเด่นของนาง ก็ทำให้ฉินตงเฉี่วยคาดเดาได้ว่าหญิงสาวที่งดงามผู้นี้ก็คือเฉิงเม่ยเฟิง!
“เจ้าเด็กดื้อในเมื่อเจ้าพบนางแล้ว เจ้าคิดจะทำเช่นใด!” ฉินตงเฉี่วยเอ่ยถามหลิงหยุนที่ยังคงยืนนิ่งไม่พูดไม่จา
หลิงหยุนหลุดจากห้วงความคิดและหันไปตอบฉินตงเฉี่วยทันที “ข้าก็จะไปพบนางทันที!”
“เช่นนั้นแล้วเจ้ายังยืนนิ่งอยู่ทำไมกันเล่ายังไม่รีบไปอีก..”
แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายขึ้นมาทันที“ข้าจะไปพบนางเพียงลำพัง น้าหญิง.. ท่านยืนชมทิวทัศน์อยู่ที่นี่ก่อน!”
“หากเหล่าแม่ชีขึ้นมาบนยอดเขาแห่งนี้ข้าก็จะตามขึ้นมาด้วย แต่หากพวกนางแยกไปทางอื่น ข้าจะตามพวกนางไป พวกท่านล้วนมีเครื่องมือสื่อสาร แล้วข้าจะติดต่อกลับมา..”
จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปบอกกังหวังชงเซียว“หวังชงเซียว หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกนาง ข้าจะจัดการกับเจ้า!” หลิงหยุนพาหวังชงเซียวมาด้วยในครั้งนี้ก็เพื่อให้เขามาทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์คอยปกป้องทุกคนในกลุ่มนั่นเอง
“คุณชายหลิงอย่าได้เป็นห่วง!”หวังชงเซียวโค้งคำนับรับคำสั่งของหลิงหยุน
“เซียนเอ๋อเจ้าอยู่กับน้าหญิงที่นี่ก่อน อย่าเที่ยววิ่งเล่นไปที่ใด ต้องเชื่อฟังคำสั่งน้าหญิงด้วย!”
ไป๋เซียนเอ๋อพยักหน้าหงึกๆดวงตาคู่งามหรี่ลงเล็กน้อย “พี่หลิงหยุน พี่ต้องพาพี่เม่ยเฟิงกลับมาให้ได้นะ!”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข“เจ้าไม่ต้องห่วง นางหนีข้าไม่พ้นแน่!”
พูดจบ..ร่างของหลิงหยุนก็หายลับไปจากตรงนั้นทันที
……
ที่ตีนเขา..เฉิงเม่ยเฟิงกำลังเดินอยู่ท่ามกลางแม่ชีอีกเจ็ดแปดคน ไม่ต่างจากดวงเดือนที่ถูกล้อมรอบด้วยดวงดาว ทั้งหมดเดินขึ้นเขาไปอย่างเชื่องช้า
“น้องหลี่เฉินเจ้าช่างมีพรสวรรค์สูงส่งยิ่งนัก เพียงแค่กลืนโอสถหลงหู่เข้าไปเมื่อคืนนี้ ก็สามารถก้าวหน้าจากขั้นเซียงเทียน-5 เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-6 ได้ทันที!”
“พี่สามท่านอาจารย์บอกว่าหากไม่ใช่เพราะระยะเวลาสั้นจนเกินไป น้องหลี่เฉินคงจะสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-7 ได้แล้ว!”
“ไม่แปลกใจเลยที่น้องหลี่เฉินเป็นศิษย์ที่อาจารย์โปรดปรานยิ่งนัก!”
“นี่หลี่เฉินเจ้าเองก็เข้ามาอยู่ในอารามจิ้งซินเกือบครึ่งปีแล้ว เหตุใดยังไม่ปลงผมอีกเล่า”
แม่ชีสาวทั้งเจ็ดแปดคนนั้นแม้จะเป็นศิษย์อารามจิ้งซิน แต่ก็ยังคงมีจิตใจตามแบบหญิงสาวทั่วไป เมื่อไม่มีแม่ชีอาวุโสคอยตักเตือน พวกนางต่างก็รู้สึกผ่อนคลาย และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน และเรื่องที่พูดคุยกันก็ล้วนเป็นเรื่องของเฉิงเม่ยเฟิงทั้งสิ้น! “หลี่เฉินงั้นรึ!ใครตั้งชื่อเช่นนี้ให้นางกัน?!”
หลิงหยุนลงเขามาพร้อมกับเปิดจิตหยั่งรู้คอยสังเกตดูเฉิงเม่ยเฟิงอยู่ตลอดเวลาราวกับเกรงว่านางจะหนีหายไป จึงได้ฟังเหล่าแม่ชีสาวพูดคุยกันไปด้วย
“ปลงผมบ้าบออะไรกันข้าอยู่ที่นี่แล้ว พวกเจ้าอย่าได้ฝันไปเลย!”
หลิงหยุนเดินลงเขามาอย่างไม่รีบร้อนนักและระหว่างทางก็คอยแอบฟังแม่ชีคุยกันเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับอารามจิ้งซินไปด้วย
“น้องหลี่เฉินพวกเรามาที่ยอดเขาแห่งนี้ทำไมกันรึ”
เฉิงเม่ยเฟิงหรือที่เหล่าแม่ชีเรียกขานว่าหลี่เฉินนั้นไม่พูดไม่จามาตลอดทาง นางเดินขึ้นเขาพร้อมกับเหลียวมองชื่นชมทัศนียภาพรอบตัวอย่างเงียบๆ แต่ในที่สุดก็พูดออกมา
“ไร้ซึ่งเหตุผลข้าอยากขึ้นมาบนยอดเขาเพื่อชื่นชมทิวทัศน์เท่านั้น!” “ข้าได้ยินมาว่าบนยอดเขาเทียนเหมินซานแห่งนี้มีโพรงหินธรรมชาติอยู่ด้านบน หากมองจากด้านล่างจะดูคล้ายกับประตูขนาดใหญ่ที่เปิดทางเข้าสู่เบื้องบน และในยามที่แสงอาทิตย์รอดผ่านโพรงหิน จะดูตระการตาราวกับประตูสวรรค์ที่กำลังเปิดต้อนรับผู้คน ”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเฉิงเม่ยเฟิงบรรดาแม่ชีต่างก็พากันนิ่งเงียบ และไม่ถามสิ่งใดอีก..
จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่หนึ่งในนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “น้องหลี่เฉิน เหตุใดสองเดือนมานี้เจ้าจึงฝึกหนักเช่นนั้น”
“พี่ห้า..เหตุใดท่านจึงมีคำถามมากมายเช่นนี้”
หนึ่งในเม่ชีสาวอีกคนจึงพูดขึ้นว่า“ข้าได้ยินมาว่าคืนหนึ่งเมื่อสองเดือน น้องหลี่เฉินออกไปเดินเล่นข้างนอกผู้เดียว กลับมาหลังจากนั้น เจ้าก็เอาแต่ฝึกฝนวิชาอย่างหนักหน่วงใช่หรือไม่”
แววตาของนางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงได้เอ่ยถามออกไปตามตรง “คืนนั้นเกิดอะไรขึ้นงั้นรึ เจ้าเล่าให้พวกเราฟังได้หรือไม่?”
คืนที่ศิษย์สาวของอารามจิ้งซินพูดถึงนั้นก็คือคืนที่หลิงหยุนรับสายฟ้าเทวะสีทองอยู่ที่บ้านเลขที่-1 ในเมืองจิงฉูนั่นเอง!
เฉิงเม่ยเฟิงถอนหายใจออกมา“เฮ้อ.. ทุกสิ่งล้วนผ่านเลยไปแล้ว!”
นับจากคืนนั้นมาจิตใจของเฉิงเม่ยเฟิงก็หม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก นางเริ่มฝึกวิชาไร้ใจอย่างหนักหน่วง ทำให้สามารถก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว และเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-5 ในที่สุด!
และด้วยเหตุนี้มี่เจียวไท่ซือจึงได้รับเฉิงเม่ยเฟิงเข้าเป็นศิษย์อารามจิ้งซินเต็มตัว และได้ให้ชื่อกับนางใหม่ว่าหลี่เฉิน!
มี่ยู่ไท่ซือพยายามที่จะปลงผมให้นางอยู่หลายครั้งหลายคราแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ภายใต้จิตสำนึกของนางกลับรู้สึกต่อต้านและปฏิเสธ แต่ถึงกระนั้นแม่ชีมี่ยู่ก็ไม่ได้เร่งรัดนักเพราะวิชาไร้ใจของอารามจิ้งซินนั้น ยิ่งฝึกสูงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งสูญสิ้นความรักทางโลก จึงไม่แปลกหากเฉินเม่ยเฟิงจะยังคงหลงเหลือความรู้สึกรักใคร่อยู่บ้าง..
ตราบใดที่เฉิงเม่ยเฟิงฝึกจนถึงขั้นเซียงเทียน-7ได้ แม้เวลานั้นโอสถไร้ใจจะหมดฤทธิ์แล้ว ต่อให้หลิงหยุนมายืนอยู่ตรงหน้า นางก็จะปฏิบัติต่อหลิงหยุนเช่นคนแปลกหน้า อารมณ์ความรู้สึกของนางจะนิ่งและแน่วแน่ดั่งหินผาเลยทีเดียว!
แม้ศิษย์อารามจิ้งซินจะเดินไปคุยไปแต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกนางล่าช้าไปมากเท่าใดนัก เพราะเพียงไม่นานพวกนางก็เดินขึ้นมาจนเกือบถึงยอดเขาเทียนเหมินซานแล้ว..
แต่ขณะนั้นชายหนุ่มสวมชุดกีฬาสีขาวที่กำลังวิ่งลงจากเขาด้วยความรวดเร็วนั้น ดูเหมือนจะเบรคไม่อยู่ และกำลังพุ่งเข้าชนกลุ่มแม่ชีทั้งหกเจ็ดคนนั้น!
“โอ้..โอ้..” ชายหนุ่มสูญเสียการทรงตัวและพุ่งเข้าใส่กลุ่มของแม่ชีสาว จนเกือบชนเข้ากับร่างของเฉิงเม่ยเฟิง
ร่างของเด็กหนุ่มพุ่งลงไปอย่างรวดเร็วจนเกือบตกลงไปหน้าผาด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก มือของเขาจึงไขว่คว้าปัดป่ายไปมาอยู่ตรงหน้า
“โอ้..โอ้..”
ความเร็วที่พุ่งลงมาของชายหนุ่มนั้นกลับเร็วขึ้นเรื่อยๆและดูเหมือนเขาเองก็ไม่อาจหยุดตัวเองได้ ในที่สุดก็พุ่งตรงเข้าใส่อ้อมแขนของเฉิงเม่ยเฟิง!
เฉิงเม่ยเฟิงเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่ขมวดคิ้วแต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจ นางจึงรีบซัดฝ่ามือเพื่อดันร่างของชายหนุ่มที่พุ่งตรงเข้ามานั้นไว้ แต่ดูเหมือนจะช้าไปเพียงหนึ่งก้าว
“โอ้!เจ้าคนหน้าโง่!”
ศิษย์ผู้พี่ของหลี่เฉินเห็นเช่นนั้นจึงรีบซัดฝ่ามือเข้าใส่ร่างของเด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายทันทีแม้ฝ่ามือของนางจะไม่ได้หมายเอาชีวิต แต่อย่างน้อยก็ต้องกระเด็นลอยละลิ่วออกไปไกลถึงเจ็ดแปดเมตรทีเดียว
แต่ในระหว่างที่ทุกคนกำลังตกใจนั้นร่างของเด็กหนุ่มก็ได้พุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของเฉิงเม่ยเฟิงแล้ว ส่วนมือทั้งสองข้างที่ไขว่าคว้าปัดป่ายไปมาอยู่กลางอากาศนั้น ก็ได้คว้าหมับเข้ากับหน้าอกของเฉิงเม่ยเฟิงเข้าอย่างพอดิบพอดี!
‘เม่ยเฟิงไม่ได้พบเจ้าเสียนาน!’
หลิงหยุนร้องตะโกนอยู่ในใจพร้อมกับสูดดมกลิ่นหอมที่คุ้นเคยนั้นเข้าไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจยิ่งนัก