“ห๊ะ!นี่ข้าพลาดไปได้อย่างไรกัน?!”
หลี่ซื่อศิษย์ผู้พี่ของหลี่เฉินที่สังเกตเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่หลิงหยุนพุ่งตรงเข้ามาในกลุ่มของตนจึงรีบซัดฝ่ามือเข้าใส่ร่างของเขาหมายให้กระเด็นออกไป แต่กลังต้องร้องอุทานออกมาอย่างประหลาดใจปนตกใจ เมื่อพบว่าฝ่ามือของตนไม่อาจทำอะไรหลิงหยุนได้
“เหตุใดจึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้!”
หลี่ซื่อร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจและเริ่มไม่มั่นใจว่าเมื่อครู่ตนได้ซัดฝ่ามือออกไปจริงหรือไม่
แต่หลังจากที่ใคร่ครวญอย่างไม่เข้าข้างตัวเองนางจึงพบว่าฝ่ามือของนางนั้น ไม่สามารถทำอะไรหลิงหยุนได้ต่างหากเล่า
“นี่เจ้าทำอะไรกัน”
จู่ๆเสียงกรีดร้องตะโกนของเหล่าแม่ชีที่เหลือ ก็ดังสนั่นกึกก้องไปทั่วทั้งขุนเขา! แม่ชีน้อยเหล่านี้ล้วนเติบโตขึ้นภายในอารามจิ้งซินจึงไม่เคยพบเห็นภาพที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้ามาก่อน สำหรับพวกนางแล้ว มันจึงเป็นภาพที่ชวนหวาดผวายิ่งนัก!
“พวกเจ้ากรีดร้องอันใดกันรึ!”
ศิษย์ผู้พี่หลี่ซื่อรีบหันกลับไปมองทันทีและภาพที่นางเห็นในตอนนี้ก็คือ หลิงหยุนอยู่ในอ้อมแขนของศิษย์ผู้น้องหลี่เฉิน ฝ่ามือทั้งสองข้างของเขากำแน่นอยู่ที่… แล้วนางก็ไม่อาจทนมองภาพนั้นต่อไปได้อีก!
“นี่เจ้า..ศิษย์น้องเจ้า…”
เฉิงเม่ยเฟิงไม่คาดคิดว่าจู่ๆเด็กหนุ่มผู้นี้จะเดินสะดุด แล้วร่างพุ่งจากด้านบนตรงเข้าใส่ตนเองเช่นนี้ อีกทั้งฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างของเขายังจับอยู่ที่… ของตนอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้นฝ่ามือของเด็กหนุ่มผู้นี้ยังบีบเค้นรุนแรง และทำเหมือนจะไม่ยอมปล่อยอีกด้วย
ตลอดหกเดือนที่อยู่ในอารามจิ้งซินเฉิงเม่ยเฟิงไม่เคยพบพานชายใดแม้แต่ครั้งเดียว แต่จู่ๆ กลับถูกเด็กหนุ่มกอดรัดแนบแน่นจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ทำให้นางจิตใจปั่นป่วนและโกรธจนแทบเสียสติ
“ลุกขึ้น!”
ภายใต้โทสะที่รุนแรงพลังปราณขั้นเซียงเทียนพวยพุ่งออกจากร่างของนางทันที พร้อมกับซัดฝ่ามือเข้าใส่ร่างของหลิงหยุน
ปัง!
ครั้งนี้ร่างของหลิงหยุนกระเด็นลอยละลิ่วออกไปไกลมากกว่าสิบเมตรก่อนจะร่วงลงไปในลำธารด้านข้างจนน้ำพุ่งกระจายออกมา
ตูม!
ร่างของเด็กหนุ่มที่ลอยละลิ่วออกไปกลางอากาศและตกลงไปในลำธารใหญ่ด้านข้างนั้น ศรีษะของเขากระแทกเข้ากับก้อนหินอย่างแรงจนหมดสติไป
‘อืมมความรู้สึกเดิมๆที่ข้าชื่นชอบ..’
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นสลบไปเพราะอาการสาหัสแต่ในในใจนั้นกลับครุ่นคิดถึงสัมผัสของฝ่ามือที่อยู่บนเนินเนื้อของเฉินเม่ยเฟิงอย่างมีความสุข
“แย่แล้ว!”
“หลี่เฉินดูเหมือนเด็กนั่นจะตายเพราะน้ำมือของเจ้าแล้ว..”
“เขาเป็นเพียงคนธรรมดาไร้วรยุทธ..ท่านอาจารย์ย้ำนักย้ำหนาให้เรามีเมตตาต่อสรรพสัตว์ แม้แต่มดยังไม่ให้ฆ่า นี่คนทั้งคนเชียวนะ!”
“หลี่สุ่ยเจ้าหุบปากได้แล้ว!”
หลี่ซื่อที่เพิ่งจะหายจากอาการตื่นตระหนกจึงรีบหันไปบอกกับหลี่สุ่ยทันที “สิ่งที่เด็กหนุ่มผู้นั้นทำกับน้องหลี่เฉินเมื่อครู่ ต่อให้ตายอีกนับร้อยครั้งก็ยังไม่สาสม เหตุใดยังต้องเมตตาเขาอีกเล่า”
หลี่สุ่ยนิ่งเงียบไม่กล้าตอบโต้แต่ก็บ่มพำพำกับตัวเอง “แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะตกลงมาจากที่สูงเช่นนั้น..” “ดูพวกเจ้าแต่ละคนสิ!เพียงพบเจอเหตุการณ์เล็กน้อยแค่นี้ ก็ตื่นตระหนกมากมายถึงเพียงนี้เชียวรึ ต่อไปจะทำการใหญ่อันใดได้..”
หลี่ซื่อดุศิษย์น้องทั้งหมดที่มาด้วยกันและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เขายังไม่ตายสักหน่อย!”
“ห๊ะ!ยังไม่ตายงั้นรึ?!”
หลี่สุ่ยได้ยินจึงรีบวิ่งออกไปดูทันทีหลังจากที่สำรวจดูอย่างละเอียดแล้ว นางจึงร้องออกมาอย่างโล่งใจ
“เฮ้อ..เขายังหายใจ ยังไม่ตายจริงๆด้วย คงจะเพียงแค่สลบไป!”
“ไม่ตายก็ดีแล้ว!ช่างโง่เขลานัก ทางลงเขาลาดชันเพียงนี้ แต่กลับวิ่งลงมาเช่นนั้น เด็กนั่นทำตัวเองแท้ๆ พวกเราไปกันต่อได้แล้ว!”
หลี่ซื่อร้องบอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดรำคาญแต่เวลานี้นางเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายขึ้นในใจ มันคล้ายกับไฟที่กำลังเผาผลาญจิตใจอยู่
“อะไรกัน!”
หลี่สุ่ยถึงกับตกตะลึงพร้อมกับพูดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้“พวกเราจะไม่ไปช่วยเขาจริงๆรึ เวลานี้เขานอนสลบอยู่ในน้ำ หากปล่อยไว้เช่นนี้ ไม่ถูกสายน้ำพัดพาไป ก็ต้องจมน้ำตาย..”
“คนโง่เขลาเช่นนั้นจมน้ำตายก็สามควรยิ่งแล้ว!”
หลี่ซื่อคร้านที่จะสนใจว่าหลิงหยุนจะเป็นหรือตายทัศนียภาพสวยงามกลับถูกอีกฝ่ายทำลายสิ้น นางอยากจะรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
ระหว่างที่ศิษย์พี่กับศิษย์น้องกำลังโต้เถียงกันอยู่นั้นพวกนางไม่ทันสังเกตเห็นว่าเฉิงเม่ยเฟิงกำลังเดินตรงไปที่ธารน้ำด้านข้าง และกำลังจ้องมองไปยังร่างของเด็กหนุ่มที่ลอยอยู่ในน้ำ หลังจากที่จิตใจที่เคยสงบนิ่งดั่งสายน้ำถูกเด็กหนุ่มผู้นี้ทำให้ปั่นป่วนเฉิงเม่ยเฟิงจึงได้เดินวิชาไร้ใจ และไม่เพียงไม่นานจิตใจของนางก็กลับมาสงบนิ่งดังเดิม และเริ่มรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป
นางเพิ่งจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-6จึงยังไม่เคยทดสอบความแข็งแกร่ง และความรุนแรงของพลังในขั้นนี้ เมื่อครู่ด้วยความโกรธนางจึงออกแรงซัดฝ่ามือออกไปอย่างเต็มที่..
เฉิงเม่ยเฟงยังจำได้ว่าเมื่อครึ่งปีก่อนหน้านี้นางเองก็ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มผู้นี้ เป็นเพียงหญิงไร้วรยุทธ และไม่สามารถรับมือแม้กระทั่งศิษย์พี่หลี่ซื่อผู้นี้ได้
หลี่สุ่ยนั้นพูดไม่ผิดนักเด็กหนุ่มผู้นี้ลอยละลิ่วตกลงกระแทกับหินก่อนจะร่วงลงสู่ธานน้ำเช่นนั้น อย่างน้อยก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งยังสลบไสลเป็นตายไม่อาจรู้
ท่านอาจารย์ได้เคยสอนไว้ว่ากายนี้เป็นเพียงแค่ก้อนเนื้อที่ครอบด้วยผิวหนัง การเมตตาช่วยชีวิตสรรพชีวิตนั้นเหนือกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นเสียอีก
แต่ในระหว่างที่เฉิงเม่ยเฟิงกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นสายตาของนางก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างไร้สติของเด็กหนุ่ม แต่กลับเกิดความรู้สึกพิเศษบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้อยู่ภายในจิตใจของตน
นางเองก็ไม่เข้าใจว่ามันคือสิ่งใดกันแน่เพียงแต่มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดยิ่งนัก และมันก็สามารถทำให้จิตใจที่หนักแน่นของนางสั่นคลอนได้เช่นกัน
“เจ้าจะต้องปลอดภัย!”
สัญชาติญาณภายในสั่งนางเช่นนั้น
และเวลานี้ศิษย์คนอื่นๆของอารามจิ้งซินก็กำลังยืนมองเฉิงเม่ยเฟิงกระโดดลงไปในธารน้ำด้วยความตกตะลึงนางไม่สนใจชุดแม่ชี่ที่เปียกโชก และค่อยๆโน้มตัวลงอุ้มร่างของเด็กหนุ่มขึ้มาจากน้ำ
‘โอสถไร้ใจงั้นรึ!ไร้สาระสิ้นดี โอสถชั้นต่ำเช่นนี้ยังกล้าอวดอ้างเป็นโอสถไร้ใจ!’
หลิงหยุนนึกหยันอยู่ในใจเขาแสร้งทำเป็นสลบไสลอยู่ในอ้อมแขนของเฉิงเม่ยเฟิงเช่นนั้น เพียงไม่กี่อึดใจร่างของหลิงหยุนก็ถูกนำมาวางลงบนพื้น
“ศิษย์พี่ข้าไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายคนผู้นี้ พวกเรายังไปจากที่นี่ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องรอให้เขาฟื้นขึ้นมาก่อน ไม่เช่นนั้นพวกก็อย่าได้อ้างตนเป็นชาวยุทธฝ่ายธรรมะอีกเลย!”
เฉิงเม่ยเฟิงยืดตัวตรงพร้อมกับร้องบอกหลี่ซื่อผู้เป็นศิษย์พี่..
“หลี่เฉินคำพูดของเจ้ามีเหตุมีผล” หลี่ซื่อเห็นว่าเฉิงเม่ยเฟิงยืนยันหนักแน่นเช่นนั้น จึงไม่ต้องการขัดแย้งกับนาง
กลุ่มแม่ชีต่างก็ตรงเข้ามารายล้อมร่างเปียกปอนไร้สติของหลิงหยุนไว้แววตาของทุกคนเต็มไปด้วยความสงสาร
“น้องหลี่เฉินเขานอนหมดสติเช่นนี้ แม้แต่น้ำทีเย็นเฉียบในลำธารยังไม่อาจปลุกเขาให้ตื่นได้ เช่นนี้แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดี”
หลี่สุ่ยซึ่งยืนห่างออกไปนั้นเอาแต่จ้องมองพินิจพิจารณาร่างเปียกปอนตรงหน้าและพบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงมีใบหน้าหล่อเหลายิ่งนัก แต่ยังมีเรือนร่างกำยำสมส่วนอีกด้วย แล้วจู่ๆใบหน้าของนางก็แดงก่ำ..
ในบรรดาศิษย์ทั้งหมดของอารามจิ้งซินนั้นหลี่ซื่อนับว่าอาวุโสที่สุดเพราะมีอายุถึงสามสิบห้าปีแล้ว ส่วนหลี่สุ่ยนับเป็นน้องเล็กสุดเพราะอายุเพิ่งจะสิบเจ็ดปีเท่านั้น อีกทั้งยังอ่อนด้อยที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมดด้วย จึงไม่แปลกที่เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้จะดึงดูดความสนใจของนางได้มาก
อีกทั้งสิ่งสวยงามล้วนเป็นเรื่องที่ผู้คนทุกคนต่างชื่นชอบทั้งสิ้นไม่เว้นแม้แต่ผู้ฝึกวรยุทธและผู้บ่มเพาะตน ใช่ว่ายิ่งฝึกฝนถึงขั้นที่สูงมากเท่าไหร่ จะกลับยิ่งชอบสิ่งที่น่าเกลียดมากขึ้นเท่านั้น..
“วิชาไร้ใจคงใช้กับคนผู้นี้ไม่ได้คงต้องใช้วิธีที่คนธรรมดาทั่วไปใช้ หลี่สุ่ย.. เจ้าจัดการหยิกให้เขาตื่น!”
หลี่ซื่อผ่านโลกมากว่าครึ่งชีวิตแล้วจึงรู้ว่าควรทำเช่นใด
แต่ในระหว่างที่หลี่สุ่ยกำลังจะคุกเข่าลงข้างหลิงหยุนนั้นเสียงของเฉิงเม่ยเฟิงก็ดังขึ้น “ไม่ต้อง ตระกูลของข้าค้าขายยาและสมุนไพร เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าสามารถทำได้..”
ระหว่างที่พูดนั้นเฉิงเม่ยเฟิงก็ย่อตัวลงข้างหลิงหยุนจากนั้นจึงยื่นนิ้วเรียวงามออกไปหยิกเข้าที่ร่างของหลิงหยุน
เฉิงเม่ยเฟิงรู้ว่าเหตุผลของตนนั้นฟังดูไม่เข้าท่านักแต่นางก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นแตะเนื้อต้องตัวเด็กหนุ่มผู้นี้
ผ่านไปราวครึ่งนาทีในที่สุดหลิงหยุนก็ฟื้นคืนสติ เขาลืมตาขึ้นมาพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเฉิงเม่ยเฟิง
“โอ้..นี่มันอะไรกัน! เจ้าเป็นใคร? เหตุใดข้าจึงมาอยู่ท่ามกลางหมู่แม่ชีเช่นนี้? โอ๊ย.. ข้าเจ็บหัว! นี่ข้าเป็นใครกัน? แล้วที่นี่ที่ไหน? เหตุใดข้าจึงนึกอะไรไม่ออกเช่นนี้?”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆจากนั้นจึงเอื้อมมือไปกุมศรีษะของตนเองไว้ พร้อมกับพรั่งพรูคำถามมากมายออกจากปาก
….
“โอ้โหหลิงหยุน..นี่เจ้าถึงกับต้องแกล้งลื่นล้มหัวฟาดพื้นจนความจำเสื่อมเชียวรึ หน้าไม่อายจริงๆ!”
โม่วู๋เตาที่อยู่บนยอดเขาได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกดูเช่นกันและเมื่อได้เห็นแผนการที่หลิงหยุนทำลงไป เขาก็ถึงกับพึมพำออกมาอย่างอดไม่ได้
ทางด้านเหล่าศิษย์อารามจิ้งซินนั้นเมื่อได้ฟังคำพูดของหลิงหยุน ต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง เพราะดูเหมือนเด็กหนุ่มตรงหน้าพวกนางได้สูญเสียความทรงจำไปแล้ว! จากนั้นเฉิงเม่ยเฟิงจึงได้เอ่ยออกไปว่า“น้อง.. น้องชาย เมื่อครู่ระหว่างทางที่เจ้าวิ่งลงเขานั้น เจ้าคงจะสะดุดก้อนหินแล้วลอยพุ่งเข้าใส่พวกเรา ตอนนี้เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง ลองพยายามลุกขึ้นยืนดู?”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นดิ้นรนพยายามลุกขึ้นยืนตามที่เฉิงเม่ยเฟิงบอกแต่แล้วก็ทำได้เพียงแค่นั่งลงกับพื้นเท่านั้น
“ข้าเจ็บมากข้ายืนไม่ไหว! แล้วที่นี่ที่ใหนกัน ข้าเป็นใครงั้นรึ?”
แววตาของหลิงหยุนเต็มไปด้วยความตระหนกตกใจราวกับว่าตนได้สูญเสียความทรงจำไปจริงๆ
แต่นั่นทำให้เฉิงเม่ยเฟิงได้แต่นึกตำหนิการกระทำของตนเองอยู่ในใจ“น้องชาย เจ้าอย่าได้หวาดกลัวไปเลย เจ้าตกลงไปในน้ำและหัวกระแทกกับหินเข้า เป็นความผิดของข้าเอง.. แต่อีกประเดี๋ยวก็คงจะหาย เจ้าคงจำอะไรไม่ได้ชั่วครู่เท่านั้น!”
“ห๊ะ!นี่เจ้าทำร้ายข้าหรอกรึ?!” หลิงหยุนกระโจนกอดขาของเฉิงเม่ยเฟิงไว้ทันทีพร้อมกับร้องตะโกนออกมา “ในเมื่อเจ้าทำให้ข้าต้องเป็นเช่นนี้ เจ้าต้องหาทางรักษาข้าให้หาย แล้วก็ส่งข้ากลับบ้าน!”
และแล้วหลิงหยุนก็บรรลุเป้าหมาย!
“เจ้าสงบจิตสงบใจลงก่อน!”
เฉิงเม่ยเฟิงไม่ทันได้ระวังตัวเมื่อถูกหลิงหยุนกอดขาไว้แน่นเช่นนี้ นางจึงมีท่าทางกระอักกระอ่วน แต่ก็ไม่สามารถสะบัดหลุดออกไปได้ในเวลานี้ จึงได้แต่อดทนไว้ก่อน..
“พวกเราไม่ทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ตามลำพังแน่เจ้าค่อยๆนึกดูว่าเจ้าชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน แล้วพวกเราจะพาเจ้ากลับไปส่งเอง!”
“แล้วเจ้ามีโทรศัพท์มือถือหรือว่าบัตรประชาชนติดตัวมาด้วยหรือไม่”
เฉิงเม่ยเฟิงค่อยๆปลอบประโลมหลิงหยุนและเริ่มถามหาหลักฐานอย่างบัตรประชาชน แต่หลิงหยุนก็ได้โยนทุกอย่างที่พูดมาเข้าไปเก็บไว้ในแหวนจักรวาลของตนหมดแล้ว “อ่อ..ขอข้าหาดูก่อน! ..โอ้ ไม่มีอะไรเลย!”
��