หลิงหยุนแสร้งทำเป็นล้วงกระเป๋ากางเกงออกมาพร้อมกับความหาไปทั่วทั้งร่าง แต่ก็ไม่มีทั้งโทรศัพท์มือถือและเอกสารใดๆเลย
ศิษย์อารามจิ้งซินจึงได้แต่ยืนนิ่งด้วยความงุนงง..
เด็กหนุ่มผู้นี้จำอะไรไม่ได้มิหนำซ้ำยังไม่มีแม้แต่กระเป๋าเงินติดตัวมา เช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรต่อไปดี
“ไม่แน่ว่าบ้านของเขาอาจจะอยู่ใกล้ๆกับยอดเขาเทียนเหมินซานนี้ก็ได้จึงได้ออกมาวิ่งเล่นแถวนี้!” หนึ่งในศิษย์อารามจิ้งซินเอ่ยออกมา
“ต้องไม่ใช่เช่นนั้นแน่!เจ้าฟังสำเนียงพูดของเขาสิ ไม่คนพื้นที่แถวนี้เป็นแน่ แต่น่าจะมาจากปักกิ่ง!”
ศิษย์อารามจิ้งซินอีกคนค้านขึ้นทันทีเพราะนางสังเกตเห็นหลิงหยุนใช้ภาษาจีนแมนดารินในการสื่อสาร
“เฮ้อ..หากเป็นเช่นนี้พวกเราควรทำอย่างไรกันดี นี่ไม่เท่ากับงมเข็มในมหาสมุทรหรอกรึ?” หนึ่งในนั้นรำพึงรำพัน
เหล่าศิษย์อารามจิ้งซินไม่รู้ว่าควรทำเช่นใดดีพวกนางต้องเดินทางไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ จะสามารถออกค้นหาบ้านของเด็กหนุ่มผู้นี้ได้อย่างไร
“คงจะมีหนทางเดียวเท่านั้น..พวกเราจะพาเจ้าไปส่งให้กับเจ้าหน้าที่ดูแลสถานที่ท่องเทียวภายในบริเวณนี้ แล้วให้พวกเขาช่วยค้นหาข้อมูลของเจ้า ระหว่างที่พวกเราต้องไปทำธุระ เจ้าก็รอพวกเราอยู่ที่นี่ หากเจ้ายังไม่สามารถฟื้นคืนความทรงจำได้ ถึงตอนนั้นพวกเราค่อย..”
“ไม่!”
หลิงหยุนไม่รอให้เฉิงเม่ยเฟิงพูดจบและรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที เขาจับมือเฉิงเม่ยเฟิงไว้แน่นในขณะที่ปากก็พล่ามไม่หยุด “เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้แล้วคิดจะหนีงั้นรึ!เจ้าอย่าได้ฝันไปเลย!”
“เจ้าทิ้งข้าไปไม่ได้นะ!หากข้ายังจำอะไรไม่ได้ เจ้าต้องพาข้าไปด้วยทุกหนทุกแห่ง เจ้าทิ้งข้านะ!”
หลิงหยุนทำตัวเป็นปลิงเกาะเฉิงเม่ยเฟิงไม่ยอมปล่อย..
‘หึ!เจ้ากลืนโอสถไร้ใจเพื่อให้ลืมข้า แต่ข้าจะทำให้เจ้ากลับมาจดจำข้าให้ได้!’
“เด็กหนุ่มนี่แค่ความจำเสื่อมไม่ตายก็นับว่าบุญแล้ว!” หลี่ซื่อพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เฉิงเม่ยเฟิงขมวดคิ้วเข้าหากัน“ศิษย์พี่.. แต่ข้าเป็นคนผิด!”
หลี่ซื่อทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ“เจ้าจะผิดได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะเด็กหนุ่มผู้นี้วิ่งลงเขามาเช่นนั้น ก็คงจะไม่สะดุดล้มจนพุ่งเข้าชนเจ้าเข้า ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเขาต่างหาก!” หลิงหยุนได้ฟังก็ถึงกับกรอกตาไปมาจากนั้นจึงหันไปพูดกับหลี่ซื่อ “เจ้ากล่าวหาข้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ข้าวิ่งเล่นบนเขาเองแล้วยังไง? ข้าหกล้มเองแล้วทำไม? พวกเจ้าตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยวิ่งเล่น ไม่เคยหกล้มบ้างเลยรึ? เพียงแค่นี้เจ้าก็เห็นว่าข้าสมควรต้องตายเชียวรึ? พวกเจ้ายังมีหน้าอยู่ในเพศบรรพชิตอีกรึ?”
หลิงหยุนไม่พอใจหลี่ซื่อตั้งแต่ครั้งแรกที่พบแล้วที่แสร้งทำเป็นความจำเสื่อม เพราะต้องการตีสนิทให้ได้ใกล้ชิดกับเฉิงเม่ยเฟิงเท่านั้น เขาไม่สนว่าอีกฝ่ายจะจดจำตนได้หรือไม่
“นี่เจ้า..เจ้า..”
หลี่ซื่อถูกหลิงหยุนย้อนเช่นนั้นก็ถึงกับไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจโต้เถียงหลิงหยุนได้! และน้อยคนนักที่จะโต้เถียงชนะเขา
หลิงหยุนนิ่งเงียบและกำลังรอคอยการตัดสินใจของเฉิงเม่ยเฟิงอยู่..
“ศิษย์พี่ข้าเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้เองเถิด!”
เฉิงเม่ยเฟิงหันไปพูดกับหลี่ซื่อแล้วจึงมองไปทางหลิงหยุน “น้องชาย หากเจ้าไม่ยอมรับข้อเสนอของข้าเมื่อครู่ เช่นนั้นแล้วเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าต้องการให้ข้าทำเช่นใด”
“เฮ้อ..มีเพียงแม่ชีงดงามผู้นี้ที่ยอมพูดจาดีกับข้า!”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นโมโหน้อยอกน้อยใจพร้อมกับเหลือบมองไปทางหลี่ซื่อจากนั้นจึงหันไปพูดกับเฉิงเม่ยเฟิง
“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วยังไงเล่าตราบใดที่ข้ายังจำอะไรไม่ได้ ไม่ว่าเจ้าไปที่ใดก็ต้องพาข้าติดตามไปด้วย ข้ารับปากจะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน”
หลิงหยุนขอเพียงให้เฉิงเม่ยเฟิงจดจำเขาได้แล้วเท่านั้นส่วนศิษย์อารามจิ้งซินทั้งหมดล้วนไม่อยู่ในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นเจ้ามาด้วยตัวเอง เขาก็จะไม่ปล่อยให้นางต้องจากเขาไปอีกแน่ “เจ้าหยุดพูดเพ้อเจ้อได้แล้ว!ต้องการให้พวกเราพาเจ้าไปด้วยงั้นรึ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราจะไปที่ใดกัน?”
หลี่ซื่อได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนก็ได้แต่ร้องถามออกไปด้วยความกังวลใจ
“ศิษย์พี่..ข้าบอกแล้วว่าจะจัดการเรื่องนี้เอง!”
สีหน้าของเฉิงเม่ยเฟิงแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อยนางรู้สึกว่าศิษย์พี่ของตนนั้นปฏิบัติต่อชาวบ้านทั่วไปราวกับมดตัวหนึ่ง ไม่สนใจความเป็นความตายของอีกฝ่าย!
“น้องชายเจ้าปล่อยมือข้าก่อน เจ้าอย่าได้กังวลใจไป ข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไว้ตามลำพังแน่ตราบใดที่ความทรงจำของเจ้ายังไม่ฟื้นคืนมา”
ครั้งนี้หลิงหยุนเชื่อฟังเฉิงเม่ยเฟิงและยอมปล่อยมือของนางแต่โดยดี..
“เจ้าลุกขึ้นเดินเหินได้หรือไม่..”
เฉิงเม่ยเฟิงเห็นหลิงหยุนเชื่อฟังตนเช่นนี้นางจึงค่อยโล่งใจขึ้นบ้าง
“โอ๊ย..ข้าเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัว แผ่นหลังก็บวมไปหมด..”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นยืนขึ้นด้วยความยากลำบากและเซไปเซมา..
หลิงหยุนรู้ดีว่าหากเขาต้องการติดตามเฉิงเม่ยเฟิงไปที่งานชุมนุมชาวยุทธคงต้องเดินไปด้วยตัวเอง เพราะศิษย์อารามจิ้งซินมีแต่ผู้หญิงคงไม่สามารถแบกเขาไปได้แน่
“ดูจากท่าทางของน้องชายผู้นี้แล้วข้าว่าร่างกายของเขาคงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก เพียงแค่สูญเสียความทรงจำไปชั่วคราวเท่านั้น!”
เฉิงเม่ยเฟิงร้องบอกศิษย์อารามจิ้งซิน“ข้าคงต้องให้เขาติดตามไปด้วย หลังจากเขาฟื้นความทรงจำกลับมาได้ ค่อยส่งเขากลับไป!”
“น้องหลี่เฉินข้าเข้าใจเหตุผลของเจ้า แต่พวกเราเป็นแม่ชี ย่อมไม่สะดวกให้ชายหนุ่มร่วมเดินทางไปด้วยเช่นนี้ ข้าว่าเจ้านำเขาไปฝากไว้กับชาวบ้านแถวนี้ก่อนจะดีกว่า..”
หลี่ซื่อจ้องมองเฉิงเม่ยเฟิงนางรู้จักนิสัยของศิษย์ผู้น้องดีว่าหากตัดสินใจไปแล้ว ผู้ใดก็ยากที่จะเปลี่ยนใจนางได้ อีกทั้งเหตุผลของนางก็ยากที่จะโต้เถียง แล้วก็เป็นเช่นที่คิด
“ศิษย์พี่ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้! ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องพาเขาไปด้วย หากเขายังจำอะไรไม่ได้เช่นนี้ ข้าเองก็ไม่อาจทิ้งเขาไปได้”
ความจริงเฉิงเม่ยเฟิงอยากจะทิ้งหลิงหยุนไว้ที่นี่ด้วยซ้ำแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เมื่อมองตาหลิงหยุนนางกลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
ในที่สุดท่ามกลางแม่ชีทั้งหมดที่ศิษย์อารามจิ้งซิงก็มีบุรุษติดตามไปด้วยหนึ่งคน!
ในระหว่างที่เดินขึ้นเขานั้นหลิงหยุนก็สังเกตเห็นว่าแม่ชีสาวต่างก็จิตใจไม่อยู่กับการเดิน พวกนางหมั่นเหลียวมาทางหลิงหยุนอยู่ตลอดเวลา …..
–คุณชายหลิงแม่นางฉินให้ข้าสอบถามท่านว่าจะให้พวกเราทำเช่นใดต่อไป-
ระหว่างที่เดินขึ้นเขานั้นเสียงของหวังชงเซียวที่พูดผ่านกระแสจิตก็ดังขึ้นที่ข้างหูของหลิงหยุน
–พวกเจ้าตามข้ามาห่างๆอย่าให้พวกแม่ชีจับได้ แล้วค่อยฟังคำสั่งข้าอีกที!-
–ดูเหมือนพวกนางกำลังเร่งเดินทางไปที่หุบเขาหลงเฟย..-
หลิงหยุนรู้ว่าศิษย์สำนักจิ้งซินคงรู้แน่ชัดแล้วว่าหุบเขาหลงเฟยนั้นอยู่ที่ใดการติดตามพวกนางไปจึงเป็นการทุ่นเวลาได้มาก
ระหว่างที่เดินไปนั้นหลิงหยุนก็แสร้างทำเป็นร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดบ้าง แสร้งทำเป็นเหนื่อยและกระหายน้ำบ้าง แต่เมื่อเฉิงเม่ยเฟิงมาเดินข้างๆ เขาก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที
“พี่สาวเจ้าช่างงดงามนัก งดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ทีเดียว!”
“ก็แค่ถุงหนังหุ้มเนื้อมีอะไรงดงาม!”
“พี่สาวเจ้าชื่อว่าอะไรงั้นรึ”
“เฉิงหลี่เฉิน!”
หลิงหยุนยังนึกพอใจที่เฉิงเม่ยเฟิงยังไม่ลืมแซ่ที่แท้จริงของตนจากนั้นจึงเอ่ยถามต่อ “หลี่เฉิน.. ชื่อของเจ้าฟังแปลกหูนัก!”
“พี่สาวพอไม่มีหมวกแม่ชีแล้ว ข้าจึงเห็นว่าผมของเจ้ายาวแตกต่างจากแม่ชีคนอื่นๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น”
“ข้ายังเป็นแค่แม่ชีฝึกหัด!ส่วนพวกนางล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้าทั้งนั้น..”
เฉิงเม่ยเฟิงนึกแปลกใจตนเองไม่น้อยที่ช่างมีความอดทนต่อเด็กหนุ่มผู้นี้ยิ่งนัก ไม่ว่าเขาจะถามอะไร ตัวนางเองกลับยินดีตอบด้วยความเต็มใจ!
เพราะเหตุใดน่ะหรือคงมีแต่องค์เทพเท่านั้นที่รู้.. ‘ดูเหมือนท่านอาจารย์จะกล่าวได้ถูกต้องนัก!ท่านบอกว่าจิตใจของข้ายังติดข้องอยู่กับทางโลก การฝึกฝนวิชาไร้ใจจึงไม่ก้าวหน้ามากนัก และเวลานี้ข้าเองกลับไม่มีความรู้สึกต่อต้านเด็กหนุ่มผู้นี้แม้แต่น้อย..’
หลังจากตอบคำถามของหลิงหยุนไปมากมายแล้วเฉิงเม่ยเฟิงก็ได้แต่แอบครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ
‘เอ..แต่ก็ใช่ว่าจะถูกนัก! ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยพบเจอบุรุษมามากมาย แต่ข้ากลับมองเห็นพวกเขาไม่ต่างจากหินก้อนหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังนึกรังเกียจด้วยซ้ำไป แต่เหตุใดกับเด็กหนุ่มผู้นี้ ความรู้สึกของข้ากลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง!’
แม้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงจะลืมเลือนหลิงหยุนไปหมดสิ้นแล้วแต่นางก็ยังคงเป็นหญิงสาวที่เฉลียวฉลาด จึงสังเกตเห็นถึงความรู้สึกแตกต่างที่เกิดขึ้นภายในใจ และเริ่มลังเลสงสัย..
ระหว่างที่เดินไปนั้นเฉิงเม่ยเฟิงก็คอยแอบมองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มผู้นี้อยู่ตลอดเวลา พลันภาพในอดีตคล้ายอาการเดชาวูก็ปรากฏขึ้น ความรู้สึกไม่อยากแยกจากเด็กหนุ่มผู้นี้เริ่มผุดขึ้นภายในจิตใจ และนั่นทำให้นางรู้สึกตกใจไม่น้อย
ทันใดนั้นลมปราณภายในร่างของนางก็ราวกับถูกปิดกั้นพลังปราณที่ฝึกด้วยวิชาไร้ใจเริ่มหมุนเวียนไปตามเส้นลมปราณช้าลง และในที่สุดก็เริ่มติดขัด
เฉิงเม่ยเฟิงตกใจอย่างที่สุดและรีบร้องบอกหลิงหยุนทันที “น้องชาย เจ้าอยู่ให้ห่างจากข้าหน่อยจะได้หรือไม่”
เฉิงเม่ยเฟิงไม่กล้าให้หลิงหยุนเข้าใกล้ตนเองอีกและตัวนางเองก็รีบผละออกให้ห่างจากหลิงหยุนโดยเร็วที่สุด
“ทำไม่ล่ะพี่สาวคนสวยเจ้าจะทิ้งข้าไปอย่างนั้นรึ?”
ด้วยพลังจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนเวลานี้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงภายในใจของเฉิงเม่ยเฟิงได้ เขาแอบยิ้มออกมาอย่างมีความสุข แต่ก็เสแสร้งแกล้งโง่ถามออกไปเช่นนั้น
วิชาไร้ใจของสำนักจิ้งซินงั้นรึตราบใดที่หลิงหยุนสามารถทำกลายกระจกบางๆที่กั้นอยู่นี้ออกไปได้ พลังปราณที่เกิดจากการฝึกวิชาไร้ใจของเฉิงเม่ยเฟิงก็จะถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน..
เขาภาวนาให้เป็นเช่นนั้นโดยเร็ว!
“ไม่ไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าอย่าได้คิดมากจนเกินไป! ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย ข้าเพียงแต่เกรงว่าพวกเราเดินใกล้ชิดกันไปเช่นนี้ จะเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คน อีกทั้งยังเป็นการไม่เหมาะไม่ควรด้วย!”
ทันทีที่ได้ยินคำสนทนาของทั้งคู่หลี่ซื่อจึงได้แต่เหลือบมองเฉิงเม่ยเฟิง นางเองก็ฝึกวิชาไร้ใจมาเช่นกัน จึงสามารถสังเกตอาการของนางออกได้ไม่ยาก และนั่นทำให้นางแอบมีความสุขอยู่ลึกๆ!
เวลานี้ตัวนางอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8หากไม่มีเฉิงเม่ยเฟิง นางก็คงจะได้เป็นศิษย์เอกของอารามจิ้งซิน แต่เวลานี้มี่เจียวไท่ซือซึ่งเป็นอาจารย์ของนาง กลับรับเฉิงเม่ยเฟิงเข้าเป็นศิษย์ อีกทั้งยังเอ็นดูให้นางเป็นศิษย์ใกล้ชิด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตำแหน่งศิษย์เอกและเจ้าสำนักคนต่อไป คงไม่พ้นต้องตกเป็นของนาง ด้วยเหตุนี้ภายในใจลึกๆของหลี่ซื่อจึงเกลียดเฉิงเม่ยเฟิงยิ่งนัก!
เมื่อเป็นเช่นนี้หลี่ซื่อจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า“น้องหลี่เฉิน ในเมื่อเจ้าตัดสินใจที่จะพาเขามาด้วย ใยต้องใส่ใจกับสายตาของผู้คนรอบข้างด้วยเล่า ท่านอาจารย์เองก็ผ่านโลกมานาน ย่อมต้องมีเหตุมีผล หากท่านอาจารย์ได้รู้ถึงเหตุผลของเจ้า ท่านคงไม่ตำหนิเจ้าแน่!”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ซื่อสนับสนุนและอยู่ข้างหลิงหยุน!