หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลี่ซื่อหลิงหยุนก็ได้แต่นึกชื่นชมอยู่ในใจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใด เป็นความตั้งใจดีหรือไม่ดีก็ตาม แต่นั่นก็เป็นประโยชน์ต่อหลิงหยุนยิ่งนัก
หลิงหยุนพอจะมองออกว่าหลี่ซื่อเป็นคนเช่นใดเขาสังเกตเห็นว่าหลี่ซื่อนั้นชอบวางท่าเป็นศิษย์พี่อยู่ตลอดเวลา และในใจก็แอบไม่ชอบเฉิงเม่ยเฟิงอยู่เงียบๆ เพียงแต่ไม่แสดงความรู้สึกเหล่านั้นออกมาทางสีหน้า หลิงหยุนรู้สึกได้ว่านางคงจะคอยแอบแก่งแย่งสถานะบางอย่างกับเฉิงเม่ยเฟิงอยู่เงียบๆ
ไม่เช่นนั้นมีหรือที่นางจะยอมช่วยหลิงหยุน!
หลิงหยุนยิ่งมั่นใจเมื่อหลี่ซื่อหันมาพูดกับตน“ประสกน้อย เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลย น้องหลี่เฉินมาจากตระกูลที่ร่ำรวย ครอบครัวของนางทำธุรกิจเกี่ยวกับยา ในเมื่อนางรับปากจะรักษาเจ้าให้หายแล้วจึงค่อยส่งเจ้ากลับบ้าน เจ้าก็วางใจได้ว่าพวกเราไม่ทิ้งเจ้าเป็นแน่..”
“เจ้าไม่ต้องคิดมากความจำของเจ้าจะค่อยๆฟื้นขึ้นมาทีละเล็กละน้อย และก่อนที่เจ้าจะจดจำได้ว่าตนเองเป็นใคร พวกเราจะให้เจ้าติดตามไปด้วยทุกหนทุกแห่ง”
คำพูดของหลี่ซื่อฟังดูมีนัยยะซ่อนเร้นยิ่งนักนางพูดราวกับว่า หากความทรงจำของหลิงหยุนไม่กลับมาก็ไม่เป็นไร เพราะเฉิงเม่ยเฟิงจะพาเขาติดตามไปทุกหนทุกแห่ง นี่ไม่เท่ากับเป็นการผูกคนสองคนติดไว้ด้วยกันหรอกรึ
จุดประสงค์ที่แท้จริงก็เพื่อให้เฉิงเม่ยเฟิงมีจิตใจหวั่นไหวนั่นเอง!
และถึงแม้หลี่ซื่อจะตัดสินใจให้หลิงหยุนติดตามไปยังหุบเขาหลงเฟยด้วยทั้งที่รู้แก่ใจว่างงานชุมนุมชาวยุทธนั้นมีอันตรายมากเพียงใด แต่นางก็หาได้สนใจใยดีต่อชีวิตของเด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้ไม่!
“จริงรึโอ้.. แม่ชีนางนี้สมกับเป็นเพศบรรพชิต เปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อสรรพสัตว์ยิ่งนัก ข้าเกือบจะเข้าใจเจ้าผิดไปแล้ว น่าอายจริงๆ”
หลิงหยุนหันไปมองหลี่ซื่อพร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าแววตาประทับใจแต่ในใจนั้นกลับนึกเย้ยหยัน
จากนั้นจึงรีบหันไปถามเฉิงเม่ยเฟิง“พี่สาวคนสวย เจ้าต้องเชื่อฟังศิษย์พี่ อย่าทำให้ข้ารู้สึกเป็นกังวลและไม่สบายใจอีก…”
“เอ่อ..ได้ๆ”
แมีเฉิงเม่ยเฟิงจะมีสีหน้าลำบากใจแต่นางก็พยักหน้าหงึกๆ พร้อมตอบกลับไปว่า “เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลย!”
เวลานี้เฉิงเม่ยเฟิงถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนางไม่ได้กังวลเกี่ยวกับคำพูดของหลี่ซื่อเลย แต่สิ่งที่นางกังวลคือความปลอดภัยของหลิงหยุน แม้เด็กหนุ่มผู้นี้จะมีรูปร่างที่ดูแข็งแรง แต่เขาก็ไม่ใช่ชาวยุทธ หากนางพาหลิงหยุนไปที่งานชุมนุมชาวยุทธด้วย เกรงว่าเขาจะได้รับอันตราย “ยอดเยี่ยมไปเลยพี่สาว!”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นร้องตะโกนออกมาอย่างดีอกดีใจและมีความสุขอย่างมาก!
“นี่พี่สาวคนสวยเหตุใดคนพวกนั้นจึงได้แต่งตัวราวกับในหนังกำลังภายใน พกกระบี่ติดตัวด้วยดูสิ! เอ๊ะ.. แต่พี่สาวเองก็มีกระบี่เหมือนกันนี่ นี่เจ้าเป็นดารา และกำลังจะไปถ่ายหนังสินะ!”
ในช่วงเวลาที่เฉิงเม่ยเฟิงกับคนอื่นๆกำลังมุ่งหน้าไปยังหุบเขาหลงเฟยนั้นระหว่างทางก็มีทั้งคนธรรมดาทั่วไปซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวเดินอยู่ตามท้องถนนด้วย แต่จะมีจำนวนชาวยุทธที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นมากกว่า
และดูเหมือนชาวยุทธเหล่านี้จะไม่คิดหลบซ่อนตัวพวกเขาเดินถือกระบี่ไปตามถนนหนทางอย่างเปิดเผย โดยไม่คิดที่จะหลบหลีกคนธรรมดาทั่วไปที่เดินอยู่บนท้องถนน
“หยุดพูดจาเพ้อเจ้อได้แล้ว!” novel-lucky
เฉิงเม่ยเฟิงเห็นหลิงหยุนร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายพร้อมกับชี้นิ้วไปทางเหล่าชาวยุทธเช่นนั้นจึงรีบร้องห้ามปรามทันที พร้อมกับอธิบายให้หลิงหยุนฟัง
“ความจริงแล้วพวกเราไม่ต้องการให้เจ้าติดตามไปด้วยเลยพวกเราล้วนเป็นชาวยุทธ แล้วก็กำลังจะเดินทางไปร่วมงานชุมนุมในหุบเขาแห่งหนึ่ง ที่นั่นล้วนเต็มไปด้วยอันตราย ข้าเป็นห่วงว่าเจ้าจะ…”
เฉิงเม่ยเฟิงได้แต่บอกเล่าความจริงบางส่วนให้หลิงหยุนฟังเพื่อให้เขาได้รับรู้ถึงอันตรายและจะได้ตัดสินใจใหม่อีกครั้ง เพราะหากอีกฝ่ายยืนกรานจะไปต่อจริงๆ นางเองก็เกรงว่าตนจะไม่สามารถปกป้องเด็กหนุ่มผู้นี้จากอันตรายไว้ได้
“ห๊ะ!งานชุมนุมชาวยุทธ?! จะมีการประลองเหมือนในหนังสินะ คงสนุกน่าดู!”
หลิงหยุนแสร้งทำทำตาโตด้วยความตื่นเต้นดีใจแววตาเป็นประกายด้วยความสนุกสนาน
“มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าเห็นในหนังหรอกนะ!”
เฉิงเม่ยเฟิงคิดไม่ถึงว่าคำพูดของตนกลับไปสร้างความตื่นเต้นดีใจให้กับเด็กหนุ่มแทนนางจึงรีบอธิบายเพิ่มเติม
“มันเป็นการต่อสู้กันจริงๆแล้วก็มีผู้คนเสียชีวิตจริงๆ เจ้าลองใคร่ครวญให้ดีว่าเช่นนี้แล้วเจ้ายังจะรู้สึกสนุกตื่นเต้นอยู่อีกงั้นรึ”
“มีผู้คนเสียชีวิตจริงๆงั้นรึพี่สาวคนสวย.. เจ้าอย่าได้หลอกข้าจะดีกว่า ประเทศนี้มีกฏหมาย หากมีการฆ่ากันตายเกิดขึ้นจริงๆ พวกเราก็แจ้งตำรวจให้มาจับพวกมันสิ!”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นโง่และเล่นบทเป็นคนธรรมดาที่ไร้วรยุทธ..
เฉิงเม่ยเฟิงถึงกับหัวเราะออกมาแต่นางก็ไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากกว่านี้ และได้แต่คิดว่ามีหรือที่ตำรวจจะสามารถควบคุมงานชุมนุมชาวยุทธเช่นนี้ได้
นั่นเพราะภายในงานล้วนมียอดฝีมือตั้งแต่ขั้นโฮ่วเทียน-8ขึ้นไปทั้งสิ้น และไม่เคยมีคนธรรมดาทั่วไปเข้าไปเลยสักครั้ง
“น้องหลี่เฉินในเมื่อประสกน้อยดูสนอกสนใจเช่นนี้ เจ้าก็ให้เขาติดตามไปด้วยเถิด เขาจะได้รู้ว่างานชุมนุมชาวยุทธจริงๆนั้นเป็นเช่นใด อีกอย่างพวกเราก็สามารถปกป้องคุ้มครองเขาได้!” หลี่ซื่อเอ่ยขึ้นสนับสนุนหลิงหยุนอีกครั้ง
อารามจิ้งซินมุ่งมั่นที่จะปลุกปั้นเฉิงเม่ยเฟิงแม้แต่มี่เจียวไท่ซือเองยังถึงกับเดินทางไปสำนักเขาหลงหู่ด้วยตัวเอง เพื่อขอโอสถเขาหลงหู่มาให้เฉิงเม่ยเฟิง จุดประสงค์เพื่อให้นางได้มีความสามารถโดดเด่นระหว่างที่เข้าร่วมงานชุมนุมชาวยุทธในครั้งนี้
ครั้งนี้หลี่ซื่อต้องการเห็นเฉิงเม่ยเฟิงทำพลาดและเห็นเฉิงเม่ยเฟิงสร้างความเสื่อมเสียให้กับอารามจิ้งซิน
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่สังเกตเห็นว่าหลิงหยุนมีอิทธิพลต่อจิตใจของเฉิงเม่ยเฟิง อย่าว่าแต่หลิงหยุนกำลังสูญเสียความทรงจำเลย ตอนนี้ต่อให้หลิงหยุนฟื้นความทรงจำได้แล้วหลี่ซื่อก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลิงหยุนได้ติดตามที่งานชุมนุมชาวยุทธด้วย!
เฉิงเม่ยเฟิงเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของหลี่ซื่อแต่นางก็ไม่ต้องการพูดอะไรออกไปมากนัก จึงหันไปบอกกับหลิงหยุนว่า
“น้องชายเจ้าอย่าด่วนคิดฟุ้งซ่าน เวลานี้เจ้าค่อยๆรื้อฟื้นความทรงจำของตนเองไปจะดีกว่า!”
เฉิงเม่ยเฟิงเป็นห่วงว่าหากหลิงหยุนกระทำการใดที่ทำให้ชาวยุทธบางคนไม่พอใจเข้า และยอดฝีมือเหล่านั้นต้องการจะหาเรื่องกับเขา ก็คงจะเกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย
“ได้ๆข้าจะเชื่อฟังพี่สาวคนสวย!”
หลิงหยุนรีบตอบตกลงทันทีในเมื่อเขาบรรลุเป้าหมายของตนเองแล้ว จึงคร้านที่จะเสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระ
“น้องหลี่เฉินในเมื่อประสกน้อยผู้นี้ตัดสินใจที่จะไปกับพวกเราเช่นนี้ ก็คงไม่ต้องดึงเวลาให้เขารื้อฟื้นความทรงจำอีกลแล้วล่ะ เรื่องที่อาจารย์สั่งย่อมสำคัญกว่า พวกเราเร่งเดินทางไปให้ถึงหุบเขาหลงเฟยโดยเร็วจะดีกว่า!”
หลี่ซื่อเกรงว่าความทรงจำของหลิงหยุนจะกลับคืนมาเสียก่อนจึงรีบเร่งรัดให้ทุกคนเดินทางไปถึงหุบเขาหลงเฟยโดยเร็ว
“ถ้าเช่นนั้นก็ทำตามที่ศิษย์พี่บอกก็แล้วกัน!”
เฉิงเม่ยเฟิงไม่อาจขัดจึงได้แต่ทำตามถึงกระนั้นนางก็พยายามหลีกหนีให้ห่างจากหลิงหยุนให้มากที่สุด และแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของหลิงหยุน พร้อมกับใช้วิชาไร้ใจโคจรลมปราณภายในร่างกายไปด้วย แต่กลับพบว่าลมปราณไหลเวียนได้ไม่ราบรื่นนัก
จนกระทั่งเวลาบ่ายสามโมงครึ่งเฉิงเม่ยเฟิงและทุกคนก็มาถึงหุบเขาหลงเฟย..
หุบเขาหลงเฟยนี้เป็นพื้นที่แคบตั้งอยู่ตรงกลางและล้อมรอบไปด้วยภูเขาหลายลูก อีกทั้งยังมีหน้าผาที่อันตรายอยู่มากมาย
ส่วนที่อันตรายที่สุดคือพื้นที่ที่แคบมากที่สุดแต่ยิ่งเดินเข้าไปด้านในลึกมากเท่าไหร่ ก็จะพบพื้นที่ที่กว้างมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นพื้นที่มีลักษณะคล้ายแอ่งราบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดหนึ่งตารางกิโลเมตร
หลิงหยุนมาเห็นสถานที่แห่งนี้กับตาจึงได้รู้ว่าเหตุใดจึงมีการจัดงานชุมนุมชาวยุทธขึ้นที่นี่เพราะหุบเขาหลงเฟยนั้นห่างจากจุดชมวิวและแหล่งท่องเที่ยวมากถึงสิบกิโลเมตร และรอบๆก็มีแต่หน้าผาอันตรายและหุบเขาสูง เป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาทั่วไปจะปีนเข้ามาภายในหุบเขาแห่งนี้ได้
อีกอย่างคนในยุคนี้เคยชินกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยหากจะต้องปีนเขาขึ้นมาอย่างยากลำบากเพื่อที่จะมาชมวิวทิวทัศน์เช่นนี้ น้อยคนนักที่จะเลือกมากท่องเที่ยวอย่างยากลำบาก
‘เข้าออกได้ทางเดียวอีกทั้งยังแคบเช่นนี้ เหมาะที่จะใช้เป็นที่สังหารผู้คนยิ่งนัก!’ ระหว่างทางที่เดินไปนั้น หลิงหยุนก็แอบคิดอยู่ในใจคนเดียวเงียบๆ
เวลานี้ทั้งหมดก็ได้เข้าไปถึงจุดที่ลึกที่สุดของหุบเขาหลงเฟยแล้วทั่วทั้งบริเวณมีทั้งยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน และขั้นพลังเหนือธรรมชาติ หลิงหยุนสังเกตเห็นว่าราวเจ็ดถึงแปดคนดูเหมือนจะไม่พยายามปิดบังขั้นของตน แต่จงใจปลดปล่อยพลังปราณที่แข็งแกร่งของตนออกมาด้วยซ้ำ
ดูเหมือนชาวยุทธที่มารวมกันอยู่เวลานี้จะมีไม่ต่ำกว่าสองร้อยคนมีทั้งหลวงจีน นักบวช นักพรต และยอดฝีมือที่แต่งกายเช่นคนธรรมดาทั่วไป ทุกคนล้วนจับตัวกันเป็นกลุ่ม และกำลังพูดถึงคนอื่นๆ
แต่เหล่าศิษย์อารามจิ้งซินทั้งหมดกลับไม่เข้าไปรวมกับฝูงชน พวกนางเลี่ยงไปหลบอยู่ในป่าแทน..
“นี่..มิน่าเจ้าจึงกล้าวิ่งลงเขาเช่นนั้น! ขนาดพวกข้าเดินขึ้นเขาชันเป็นสิบกิโลเมตรเช่นนี้ยังถึงกับหอบเชียวล่ะ..”
ทันทีที่หยุดเดินหลี่สุ่ยก็รีบวิ่งตรงไปหาหลิงหยุนทันที พร้อมกับร้องอุทานออกมาอย่างแปลกใจ!
ตลอดทางมาหุบเขาหลงเฟยนี้เฉิงเม่ยเฟิงจงใจที่จะอยู่ให้ห่างจากหลิงหยุน หลิงหยุนจึงต้องพูดคุยกับศิษย์อารามจิ้งซินคนอื่นๆแทนโดยเฉพาะหลี่สุ่ย นั่นเพราะนางเป็นเด็กสาวอายุน้อยที่สุด นางจึงช่างพูดช่างเจรจาอยู่มาก
“ข้าเป็นผู้ชายนะ!จะให้อ่อนแอกว่าผู้หญิงอย่างเจ้าได้อย่างไรกัน”
หลิงหยุนตอบหลิงสุ่ยกลับไปและได้แต่คิดว่าหากไม่ใช่เพราะต้องร่วมเดินทางมากับพวกนาง เขาคงเหาะไปด้วยกระบี่เหินเงาธนูแล้ว
“น้องหลี่เฉินเจ้านั่งพักที่นี่ไปก่อน ข้าจะไปคุยกับอาจารย์เรื่องการประมูลก่อน!”
เฉิงเม่ยเฟิงพยักหน้าจากนั้นจึงมองหาก้อนหินสะอาดนั่งทำสมาธิ แต่นางยังคงอยู่ห่างจากหลิงหยุนเช่นเคย หลังจากนั่งทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่งนางกลับรู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างจนต้องลืมตาขึ้นดู แล้วสายตาของนางก็พลันปะทะเข้ากับสายตาของเด็กหนุ่มที่กำลังยืนจ้องมองอยู่ตรงหน้า
“นี่เจ้ามองอะไร!”
เฉิงเม่ยเฟิงเห็นหลิงหยุนยืนจ้องมองตนเองเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกอึดอัดและเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย จึงรีบร้องตะโกนถามออกไป
“ก็มองพี่สาวน่ะสิ!เจ้าสวยงดงามราวกับเทพธิดา ผู้ใดจะอดใจไม่มองได้เล่า”
ริมฝีปากสีแดงของหลิงหยุนแย้มยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงราย..
ในเมื่อมาถึงหุบเขาหลงเฟยแล้วหลิงหยุนจึงไม่สนใจสิ่งใดอีก และที่นี่เขาคือผู้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด!