บทที่ 1283 ความฉลาดของหลิงหยุน

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

หลิงหยุนปากหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง..
  ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาวยุทธหรือหญิงสาวทันสมัย และไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด ขอเพียงแค่เป็นหญิงเท่านั้น ทุกคนย่อมต้องชื่นชอบกับคำชมทั้งสิ้น
  แม้กระทั่งศิษย์อารามจิ้งซินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น..
  การที่พวกนางฝึกวิชาไร้ใจเพื่อให้ไม่ใยดีต่อบุรุษแต่หากลองเอามีดจ่อเพื่อกรีดใบหน้าของพวกนางให้เสียโฉมสิ ดูว่าพวกนางจะโกรธมากเพียงใด
  “เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไร!”
  ใบหน้าของเฉิงเม่ยเฟิงแดงก่ำขึ้นมาทันทีและเมื่อได้เห็นสายตาของหลิงหยุนที่จ้องมองมา นางยิ่งเพิ่มความระมัดระวังในตัวหลิงหยุนมากขึ้น
  สายตาของหลิงหยุนนั้นบ่งบอกความรู้สึกอย่างเปิดเผยอีกทั้งใบหน้าของเขาก็หล่อเหลาอย่างหาที่ติไม่ได้ แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งดึงดูดความสนใจของเฉิงเม่ยเฟิงได้มากเท่าสายตาของเขา
  สายตาของหลิงหยุนจ้องมองโลมเลียอย่างเปิดเผยดวงตาทั้งคู่เป็นประกายบ่งบอกถึงความคิดลามกในหัว ทำให้เฉิงเม่ยเฟิงรู้สึกราวกับว่าตนกำลังเปลื้องผ้าล่อนจ้อนต่อหน้าเด็กหนุ่มผู้นี้ คล้ายกับว่าเขาสามารถมองทะลุเสื้อผ้าที่ปกคลุมร่างกายได้
  หลังจากที่เด็กหนุ่มผู้นี้ตื่นขึ้นมาจากอาการหมดสติไปท่าทีของเขาก็ดูเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอดทางที่เดินขึ้นเขา
  สายตาของเขาคล้ายมีบางอย่างแสดงออกมาอย่างชัดเจน..
  คนที่เป็นโรคความจำเสื่อมอาจจะจำไม่ได้ว่าตนเป็นใครมาจากไหนส่วนความสามารถอื่นๆก็น่าจะเป็นไปตามความเคยชินหรือสัญชาติญาณ แต่แววตาไม่ควรจะแหลมคมเป็นประกายเจิดจ้าเช่นนี้
  เฉิงเม่ยเฟิงจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย“นี่ความทรงจำของเจ้ากลับมาแล้วรึ! หรือเริ่มจะนึกบางสิ่งบางอย่างออกมาได้บ้างแล้ว?”
  “เอ่อ..ดูเหมือนข้าจะจำอะไรได้มากขึ้น แต่ยังมีความทรงจำบางส่วนที่หายไป แล้ก็เป็นความทรงจำที่สำคัญยิ่งด้วย คล้ายกับว่ามันเป็นกุญแจสำคัญที่จะเชื่อมต่อกับความทรงจำอื่นๆของข้า ข้ารู้สึกคล้ายๆกับว่าหลงลืมคนผู้หนึ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป ข้าจึงไม่สามารถจดจำได้ว่าตนเองเป็นใคร”
  หลิงหยุนแสร้งทำเหมือนเรื่องของเฉิงเม่ยเฟิงเป็นเรื่องของตนจากนั้นจึงยกมือทั้งสองข้างกุมศรีษะไว้พร้อมกับทำสีหน้าเจ็บปวด และร้องตะโกนออกมา
  “โอ๊ย!ข้าปวดหัว ข้าคิดออกเพียงเท่านี้! ข้าไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เจ้าฟังว่ามันเจ็บปวดเช่นใด เพราะเจ้าก็คงไม่เข้าใจความรู้สึกของข้าอยู่ดี”   “เอ่อ….”
  เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่เจ็บปวดของหลิงหยุนเฉิงเม่ยเฟิงก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป และได้แต่คิดอยู่ในใจว่า มีหรือที่นางจะไม่เข้าใจความรู้สึกของหลิงหยุนเวลานี้ นางต่างหากที่เข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ดีที่สุด!
  เพราะนางเองก็เคยรู้สึกเช่นนี้เมื่อครึ่งปีก่อน!
  นางเองก็รู้สึกคล้ายหลงลืมคนผู้หนึ่งที่สำคัญยิ่งในชีวิตไปมีภาพความทรงจำมากมายที่ผุดขึ้นมาให้ห้วงความคิด แต่นางก็ไม่สามารถปะติดปะต่อมันได้สำเร็จ เศษเสี้ยวความทรงจำเหล่านี้จึงค่อยๆเลือนลางไปตามกาลเวลา และเวลานี้นางก็เกือบจะหลงลืมจนหมดสิ้นแล้ว…
  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสองเดือนก่อนหน้าที่นางเร่งฝึกฝนวิชาไร้ใจราวกับบ้าคลั่งจนเป็นเหตุให้เกือบต้องเสียชีวิต แต่หลังจากนั้นนางเองก็ลืมสิ้นทุกสิ่ง แม้กระทั่งชื่อนั้น..
  เฉิงเม่ยเฟิงแทบลืมไปแล้วว่าเมื่อครั้งที่ตนถูกนำตัวกลับมายังอารามจิ้งซินนั้น ศิษย์ผู้พี่ยังเคยเอ่ยถามตนว่า “เจ้ายังคงรอหลิงหยุนอยู่งั้นรึ”
  หลิงหยุน!
  และเมื่อชื่อนี้ผุดขึ้นมาในจิตใจของนางอีกครั้งเฉิงเม่ยเฟิงก็ถึงกลับปวดศรีษะขึ้นมาอย่างรุนแรง นางรู้สึกราวกับว่าภายในศรีษะของตนมีเข็มนับร้อยเล่มกำลังทิ่มแทงอยู่ และพลังปราณที่หมุนเวียนอยู่ในร่างก็เริ่มปั่นป่วน
  หลิงหยุนจ้องมองเฉิงเม่ยเฟิงที่มีอาการเจ็บปวดขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนั้นแววตาของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที ในใจได้แต่คิดว่า หากโอสถไร้ใจของอารามจิ้งซินรุนแรงถึงเพียงนี้ เขาก็ไม่อาจปล่อยให้มันได้อยู่ต่อเช่นกัน!
  หากเป็นการใช้พลังปราณที่แก่กล้าลบล้างความทรงจำบางส่วนของผู้คนโดยไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่เจ็บปวดเช่นนี้ เหมือนอย่างที่หลิงหยุนเคยทำมาก่อนนั้น เขาคงจะไม่รู้สึกเดือดดาลถึงเพียงนี้แน่!   แม้โอสถไร้ใจจะสามารถทำให้ผู้กลืนโอสถนี้หลงลืมคนบางคนได้ก็จริงแต่ก็ใช่ว่าจะสามารถกำจัดความทรงจำนั้นได้จนหมดสิ้น และหากคนผู้ที่กลืนโอสถคิดถึงบุคคลที่ต้องการให้ลืมขึ้นมา ก็จะถูกตอบโต้กลับด้วยพลังที่รุนแรงจนเจ็บปวดรวดร้าว เช่นนี้แล้วจะต่างกับพรรคมารอย่างไรกัน
  ยิ่งเฉิงเม่ยเฟิงเจ็บปวดรวดร้าวมากเท่าใดหลิงหยุนก็ยิ่งโกรธแค้นอารามจิ้งซินมากยิ่งขึ้น และเวลานี้ความโกรธในใจของเขาก็เพิ่มทวีมากขึ้นจากเดิมเป็นร้อยเท่า โดยเฉพาะอย่างแม่ชีมี่ยู่!
  หลิงหยุนกำหมัดแน่นพร้อมกับเอ่ยออกไปว่า“ข้าไปเดินเล่นดีกว่า..”
  หลังจากนั้นหลิงหยุนก็หันหลังเดินออกไปทันทีไม่นานนักเขาก็เดินไปในที่ลับตาคนซึ่งห่างออกไปราวสองสามเมตร และแสร้งทำเป็นก้มลงหยิบบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาจากกอหญ้า มันคือก้อนหินสีเทาขนาดเท่าฝ่ามือ
  มันไม่ใช่ก้อนหินธรรมดาแต่คือศิลากลั่นวิญญาณที่พ่อของหลินเมิ่งหานนำมามอบให้หับเขา!
  มือของหลิงหยุนนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วต่อให้มียอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติอยู่แถวนี้ เขาก็มั่นใจว่าจะไม่มีผู้ใดเห็นเขาเรียกหินก้อนนี้ออกมาจากแหวนจักรวาล ทุกคนต้องคิดว่าเขาเก็บมันมาจากพื้นอย่างแน่นอน..
  จากนั้นหลิงหยุนจึงแสร้งทำเป็นถือศิลากลั่นวิญญาณวิ่งเข้าไปหาเฉิงเม่ยเฟิงด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้นดีใจ
  “พี่สาวคนสวยนี่เป็นหินที่งดงามนัก ข้ามอบให้เจ้าเป็นของขวัญ!”
  หลังจากที่หลิงหยุนเดินจากไปเฉิงเม่ยเฟิงจึงได้พยายามทำเหมือนเมื่อหกเดือนก่อนคือ บีบบังคับตนเองให้หยุดนึกถึงชื่อ ‘หลิงหยุน’ และค่อยๆใช้วิชาไร้ใจเดินลมปราณภายในร่างกายให้สงบ และในที่สุดจิตใจที่พลุ่งพล่านก็ค่อยๆสงบลงไป แต่ถึงกระนั้นร่างกายของนางก็คล้ายกับมีเข็มนับพันเล่มทิ่มแทง นางต้องอดทนต่อความเจ็บปวดนี้จนกระทั่งเหงื่อไหลท่วมตัว..
  ‘หลิงหยุน’ข้าต้องไม่นึกถึงชื่อนี้.. ต้องไม่นึกถึงชื่อนี้..
  “นี่มันอะไร”เฉิงเม่ยเฟิงจ้องมองหินสีเทาในมือหลิงหยุนพร้อมเอ่ยถามออกไป
  เวลานี้ดูเหมือนเฉิงเม่ยเฟิงจะกลัวหลิงหยุนมากเพราะเด็กหนุ่มผู้นี้สามารถทำให้อารมณ์ที่นิ่งสงบของตนพุ่งพล่านกวัดแกว่งได้อย่างน่าประหลาด อีกทั้งหลังจากที่ได้ฟังหลิงหยุนเล่าอาการที่เจ็บปวดคล้ายคลึงกับของตน ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกสงสารและเห็นใจเด็กหนุ่มผู้นี้ยิ่งนัก
  ก่อนหน้านี้นางคิดว่ามีตนเพียงคนเดียวที่ต้องรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้แต่หลังจากที่ได้รู้จักเด็กหนุ่มผู้นี้ ทำให้นางรู้ว่ามีคนที่เจ็บปวดเช่นเดียวกับนางด้วย..
  “ของขวัญไงล่ะ!ข้าให้เจ้า เจ้าดูสิลวดลายของมันงดงามมากเลยนะ เจ้ากำมันไว้แน่นๆล่ะ!”   ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็ยัดศิลากลั่นวิญญาณนี้ลงไปในมือของเฉิงเม่ยเฟิง โดยไม่สนใจว่านางจะอยากได้ของขวัญของตนหรือไม่
  “ข้าไม่ต้องการของขวัญ..นี่เจ้า.. ห๊ะ!”
  แต่ทันทีที่ฝ่ามือของเฉิงเม่ยเฟิงสัมผัสกับเข้ากับศิลากลั่นวิญญาณจิตใจของนางก็เปลี่ยนเป็นเป็นสดชื่นบางเบาขึ้นมาทันที และฤทธิ์ของโอสถไร้ใจก็สลายหายไปไม่สามารถทำร้ายนางได้อีก
  ใช่ว่าทุกคนจะต้องรู้จักหลิงหยุนแต่ผู้ฝึกยุทธทุกคนย่อมต้องสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดคือสมบัติล้ำค่า และหากได้พบเข้าย่อมต้องตื่นเต้นดีใจเป็นธรรมดา..
  เฉิงเม่ยเฟิงถึงกับนิ่งไปด้วยความตกตะลึงนางอ้าปากค้างพร้อมกับจ้องมองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ในใจได้แต่คิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ช่างโชคดีนัก โชคดีอย่างน่าเหลือเชื่อ!
  จู่ๆกลับเดินไปเจอสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน  แม้เวลานี้เฉิงเม่ยเฟิงจะยังไม่รู้ว่าหินนี้คือสิ่งใดกันแน่แต่นางก็รับรู้ได้ว่ามันคือสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน!
  สิ่งใดคือสมบัติล้ำค่างั้นหรือ
  สำหรับผู้ที่กำลังจะอดตายเพราะความหิวโหยสมบัติล้ำค่าก็คงจะเป็นอาหาร ส่วนผู้ที่ป่วยหนักใกล้ตาย สมบัติล้ำค่าก็คงจะเป็นสุขภาพที่ดีนั่นเอง!
  สิ่งใดที่คนผู้นั้นต้องการที่สุดก็คือสมบัติล้ำค่าของคนผู้นั้นนั่นเอง!
  “หลิงหยุน”
  ระหว่างที่กำศิลากลั่นวิญญาณไว้ในมือนั้นเฉิงเม่ยเฟิงก็ลองนึกถึงชื่อหลิงหยุนดูอีกครั้ง แล้วนางก็ต้องตกใจอย่างที่สุดเมื่อพบว่าไม่มีอาการใดๆเกิดขึ้นแม้แต่น้อย นางดีใจจนกระทั่งเผลอเรียกชื่อหลิงหยุนออกมา แม้จะเป็นน้ำเสียงที่บางเบายิ่ง แต่หลิงหยุนก็ได้ยินอย่างชัดเจน!
  ‘ได้ผลจริงๆด้วย!’หลิงหยุนแอบดีใจอยู่เงียบๆ
  แต่ผู้ที่ดีใจมากกว่าหลิงหยุนก็คือเฉิงเม่ยเฟิงเพราะทุกครั้งที่นางนึกถึงชื่อนี้ ความเจ็บปวดอย่างที่สุดจะแผ่ซ่านไปทั่วทั้งศรีษะและร่างกาย แต่เมื่อนางกำหินก้อนนี้ไว้ในมือ นางกลับสามารถนึกถึงชื่อของหลิงหยุนได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอีก!
  “น้องชาย..เจ้าเก็บเอาไว้เองเถิด ข้าไม่ต้องการ!”
  เฉิงเม่ยเฟิงรู้ดีว่านี่คือสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งแต่นางไม่สามารถบอกเด็กหนุ่มผู้นี้ไปตามตรงได้ แต่ก็ไม่อยากฉวยโอกาสเอาสมบัติล้ำค่านี้มาเป็นของตนเองเช่นกัน จึงได้บอกหลิงหยุนไปเช่นนั้น
  “พี่สาวคนสวยหากเจ้าไม่อยากได้ของขวัญที่ข้าให้ เจ้าก็โยนทิ้งไปเลย ก็แค่หินแตกๆก้อนหนึ่งเท่านั้น!” หลิงหยุนตอบกลับพร้อมทำท่าไม่สนใจใยดีหินก้อนนั้น
  แต่ในที่สุดเฉิงเม่ยเฟิงก็อดรนทนไม่ได้จนต้องพูดกับหลิงหยุนผ่านทางกระแสจิต  –น้องชายเจ้าฟังข้าให้ดี! หินก้อนนี้เป็นสมบัติล้ำค่า มันจะช่วยให้เจ้าสามารถฟื้นคืนความทรงจำกลับมาได้ เจ้ารับกลับเถิดแล้วกำมันไว้ในมือเช่นนี้!-
  หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของเฉิงเม่ยเฟิงจึงได้แต่คิดในใจว่า ‘ภรรยาของข้า แม้เจ้าจะตกไปอยู่ในอารามจิ้งซินซึ่งมีแต่คนจิตใจชั่วช้า แต่จิตใจของเจ้ากลับยังคงบริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนเลยแม้สักนิด!’
  หลิงหยุนยิ้มให้เฉิงเม่ยเฟิงพร้อมตอบกลับไปทันที“มิน่า! ข้าจึงได้รู้สึกว่าความทรงจำของข้าค่อยๆฟื้นกลับคืนมาแล้ว ตอนนี้ข้าพอจะนึกขึ้นมาได้แล้วว่า คนที่ข้าลืมไปเป็นเพื่อนของข้าเอง เขาชื่ออะไรนะ… ชื่ออะไรกันนะ”
  หลิงหยุนแสร้งทำเป็นเกาศรีษะพร้อมกับทำท่าทางครุ่นคิดอย่างหนักและในที่สุดก็ระเบิดโพล่งออกามา
  –ข้านึกออกแล้วเพื่อนของข้าคนนี้ชื่อว่าหลิงหยุน!-   และแน่นอนว่าประโยคสุดท้ายนี้หลิงหยุนพูดกับเฉิงเม่ยเฟิงผ่านทางกระแสจิตนางจึงได้ยินแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น จากนั้นจึงรีบหันไปบอกเฉิงเม่ยเฟิงด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้น
  “นี่พี่สาวคนสวย!เจ้าต้องช่วยข้าจดจำชื่อนี้ไว้ด้วย ไม่เช่นนั้นข้าเกรงว่าข้าจะลืมไปอีก!”
  “อะไรนะ!”
  ทันทีที่ได้ยินชื่อ‘หลิงหยุน’ เฉิงเม่ยเฟิงก็ถึงกับลุกพรวดขึ้นมาทันที ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นซีดเผือด แววตาเป็นประกายด้วยความประหลาดใจปนตื่นเต้น..
  นี่เป็นความบังเอิญหรือเป็นโชคชะตานางตั้งใจที่จะขึ้นไปยังยอดเขาเทียนเหมินซาน แต่กลับต้องมาพบกับเด็กหนุ่มที่สูญเสียความทรงจำชั่วคราวผู้นี้
  เพราะสิ่งที่เฉิงเม่ยเฟิงคิดไม่ถึงก็คือคนสำคัญของเด็กหนุ่มผู้นี้กลับมีชื่อเหมือนกับชื่อที่นางไม่เคยสามารถลืมได้จนบัดนี้!
  ในโลกใบนี้มีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้เชียวหรือ