นับเป็นความชาญฉลาดอย่างยิ่งยวดของหลิงหยุนที่สามารถคิดหาหนทางช่วยให้เฉิงเม่ยเฟิงรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับตนกลับขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย
แม้หลิงหยุนจะต้องการนำตัวเฉิงเม่ยเฟิงกลับไปด้วยมากเพียงใดแต่เขาก็ไม่ต้องการเฉิงเม่ยเฟิงที่หลงลืมเรื่องราวระหว่างพวกเขาทั้งสองไปจนหมดสิ้น หลิงหยุนต้องการเฉิงเม่ยเฟิงที่ขี้หึง และรักเขาอย่างสุดหัวใจคนเดิม เฉิงเม่ยเฟิงคนที่ต้องการจะอยู่กับเขาไปตราบชั่วชีวิต!
ทั้งหลิงหยุนและเฉิงเม่ยเฟิงต่างก็ผ่านเรื่องราวหลายอย่างมาด้วยกันแทบไม่ต้องพูดถึงความทรงจำในช่วงเวลาที่ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน นอนเตียงเดียวกัน เขาไม่ต้องการให้เฉิงเม่ยเฟิงลืมความทรงจำที่ดีเหล่านี้ไปแม้แต่เรื่องเดียว
หาไม่แล้วด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่พบเจอเฉิงเม่ยเฟิงที่ตีนเขา หลิงหยุนสามารถบุกชิงตัวเฉิงเม่ยเฟิงไปได้ในทันที และไม่มีทางที่ผู้ใดจะสามารถขัดขวางได้เป็นแน่!
อีกทั้งด้วยความสามารถทางการแพทย์ของหลิงหยุนหลังจากที่พาตัวเฉิงเม่ยเฟิงกลับไปได้แล้ว เขาสามารถหาหนทางรักษาและฟื้นคืนความทรงจำของนางกลับมาได้อย่างแน่นอน แต่ถึงแม้เขาจะทำเช่นนั้นได้ แต่ไม่แน่ว่าอาจมีความทรงจำบางส่วนระหว่างพวกเขาทั้งสองหล่นหายไปก็เป็นได้.. ซึ่งหลิงหยุนไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น!
และการที่เขาใช้วิชาแพทย์รักษาฟื้นฟูความทรงจำให้กับเฉิงเม่ยเฟิงกับการที่ค่อยๆช่วยให้นางรื้อฟื้นความทรงจำกลับมาได้ด้วยตัวเองนั้น สองสิ่งนี้ล้วนแตกต่างกันยิ่งนัก..
หลิงหยุนมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเฉิงเม่ยเฟิงเขามั่นใจว่าโอสถไร้ใจนั้นไม่อาจทำลายความรักที่เฉิงเม่ยเฟิงมีให้ตนได้แน่!
แต่กลับกลายเป็นว่าเฉิงเม่ยเฟิงไม่เพียงได้รับโอสถไร้ใจ แต่วิชาไร้ใจที่นางฝึกฝนนั้นยังมีผลต่อการล้างความทรงจำในสมอง อีกทั้งยังคุกคามและเป็นอันตรายต่อร่างกายของนางด้วย
“หลิงหยุน..น้องชาย เพื่อนของเธอชื่อหลิงหยุน…”
เฉิงเม่ยเฟิงพึมพำออกมาเสียงเบาในขณะที่หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงนางพูดประโยคนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน
ช่างบังเอิญนักที่ชื่อกลับเหมือนกันอย่างน่าตกใจ!
ระหว่างที่เฉิงเม่ยเฟิงพร่ำพูดประโยคนั้นนางคล้ายกับไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว และกำลังต้องการใครสักคนอย่างมากในเวลานี้ แต่ในระหว่างนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหูของนาง!
“พี่หลี่เฉินนี่ท่านเป็นอะไรไปรึ”
เฉิงเม่ยเฟิงตกใจและรีบมีสีหน้าท่าทางที่ผิดปกตินางรู้สึกผิดหวังไม่น้อยที่หลี่สุ่ยและศิษย์คนอื่นๆสังเกตเห็นความผิดปกติ และเดินเข้ามาถามเช่นนี้
“เอ่อ..ข้าไม่เป็นอะไรนี่”
เฉิงเม่ยเฟิงรับรู้ได้ถึงความตึงเครียดภายในจิตใจและร่างกายของตนนางจึงค่อยๆสงบจิตสงบใจ และพลันนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบตอบกลับไปทันที
“น้องชายผู้นี้บอกกับข้าว่าเขาเริ่มจดจำบางสิ่งบางอย่างได้แล้วและหากเขาสามารถจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้แล้ว ข้าอยากจะส่งเขาออกจากหุบเขาหลงเฟยก่อนที่ฟ้าจะมืด..”
“อ่อ..ดูท่าจะสูญเสียความทรงจำชั่วคราวจริงๆ หากเจ้ารื้อฟื้นความทรงจำกลับมาได้ ท่านก็อย่าลืมรายงานศิษย์พี่ก่อนล่ะ!”
“ศิษย์พี่สองข้าต้องการคุยกับเด็หนุ่มผู้นี้ตามลำพัง เผื่อว่าจะสามารถช่วยเขาปะติดปะต่อความทรงจำได้โดยเร็ว!”
เฉิงเม่ยเฟิงได้ข้ออ้างที่จะพูดคุยกับหลิงหยุนตามลำพังจึงได้แต่โกหกศิษย์ร่วมสำนักไปเช่นนั้น
เฉิงเม่ยเฟิงไม่อาจทนเสียโอกาสที่จะได้ล่วงรู้ข้อมูลเกี่ยวกับหลิงหยุนไปได้แม้จะเป็นเพียงตัวอักษรแค่สองคำ แต่นางก็รู้สึกได้ว่าชื่อนี้มีความสำคัญกับตนมากเพียงใด เพราะชื่อนี้ได้ครอบงำจิตใจของนางมาตลอดเวลา เรียกได้ว่าแทบจะแทรกอยู่ในทุกอณูของร่างกาย จนเกือบจะกลายเป็นสัญชาติญาณไปแล้ว
นั่นเพราะเมื่อครั้งที่เฉิงเม่ยเฟิงกลืนโอสถไร้ใจเข้าไปนั้นนางต้องทนเจ็บปวดทรมานอย่างยิ่งยวดอยู่ถึงสองชั่วโมง แต่ถึงกระนั้นนางก็ได้บอกกับตัวเองซ้ำๆว่า ต่อให้นางต้องลืมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ไป แต่สิ่งเดียวที่นางจะไม่มีทางลืมเลือนเลยคือชื่อ ‘หลิงหยุน’!
“ก็ดีเหมือนกันเจ้ารีบช่วยให้เขาฟื้นความทรงจำได้โดยเร็ว จากนั้นก็รีบส่งเขาออกไปจากที่นี่ เพราะหลังจากคืนนี้ไปที่นี่คงจะไม่สงบนิ่งเช่นนี้อีกแล้ว!”
แม้แม่ชีผู้นี้จะรู้สึกรำคาญหลิงหยุนอยู่มากไม่ว่าจะเป็นท่าทางการแสดงออกหรือคำพูดคำจาของเขา แต่นางก็ยังนึกเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็กหนุ่มตรงหน้า..
เพราะหากจะพูดไปแล้วนางเองก็รู้สึกว่าการที่มีเด็กหนุ่มผู้นี้ร่วมเดินทางมาด้วย ก็ทำให้บรรยากาศรอบตัวสดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้น
หญิงมากกว่าครึ่งที่เข้าเป็นศิษย์อารามจิ้งซินนั้นล้วนแล้วแต่ผ่านประสบการณ์ความเจ็บปวดในเรื่องความรักมาแล้วแทบทั้งสิ้น..
ไม่เช่นนั้นแล้วหากต้องการเพียงแค่ฝึกฝนวรยุทธ เหตุใดจึงต้องเข้าเป็นศิษย์อารามจิ้งซิน มอบกายมอบใจถวายแด่พุทธองค์ด้วยเล่า
“ขอบคุณศิษย์พี่สอง!”
เฉิงเม่ยเฟิงกล่าวขอบคุณศิษย์พี่แล้วรีบหันไปพยักหน้าให้หลิงหยุน “เจ้าตามข้ามา!”
เวลานี้เฉิงเม่ยเฟิงแทบอดใจรอต่อไปไม่ได้จริงๆ หลิงหยุนเดินตามเฉิงเม่ยเฟิงไปอย่างมีความสุขทั้งสองคนรีบเดินออกไปจากบริเวณนั้นทันที หลังจากที่เดินไปสักครู่ใหญ่ เฉิงเม่ยเฟิงก็มองเห็นหินก้อนใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ จึงรีบเดินนำหลิงหยุนเข้าไปด้านหลังหินก้อนนั้นทันที
เวลานี้ตรงหน้าคนทั้งสองคือน้ำตกขนาดเล็ก และเสียงน้ำตกที่ดังซู่ๆนั้นก็ได้กลบเสียงพูดคุยของคนทั้งคู่ไว้ได้อย่างสนิท
ที่ตรงนี้ค่อนข้างมิดชิดและเฉิงเม่ยเฟิงเองก็ไม่ต้องการให้ผู้ใดได้ยินเรื่องที่พวกเขาทั้งคู่กำลังจะคุยกัน
ทั้งสองคนต่างก็เข้าใจความต้องการของกันและกันดีตลอดทางต่างฝ่ายต่างจึงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา จนกระทั่งมาถึงที่แห่งนี้
ทันทีที่มาถึงหลิงหยุนจึงรีบนั่งลงกับพื้นทันที เพื่อเตรียมตัวพูดคุยยาวกับเฉิงเม่ยเฟิง เรื่องนี้สำคัญกับหลิงหยุนยิ่งกว่างานชุมนุมชาวยุทธที่กำลังจะเกิดขึ้นเสียอีก เขาจึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ “น้องชายเจ้านึกชื่อตัวเองออกบ้างหรือยัง” ประโยคแรกที่เฉิงเม่ยเฟิงเอ่ยถามหลิงหยุน
หลิงหยุนส่ายหน้าไม่ใช่เพราะเขาต้องการจะปิดบัง เพียงแต่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม..
“ถ้าเช่นนั้น..เจ้า.. เจ้าจำชื่อของเพื่อนที่เพิ่งเอ่ยออกมาเมื่อครู่ได้หรือไม่”
เฉิงเม่ยเฟิงยังคงกำศิลากลั่นวิญญาณไว้ในมือแน่นเพราะเกรงว่าหากจิตใจของนางหวั่นไหวอย่างรุนแรงอีก นางจะไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้
“จำได้สิ!ข้าเองก็เกรงว่าตนเองจะลืม จึงเดินท่องชื่อของเขามาตลอดทาง เขามีชื่อว่าหลิงหยุน!”
“หลิงหยุนใหนตัวอักษรเขียนเช่นใด?”
“ก็หลิงหยุนที่เขียนว่าหลิงหยุนนั่นล่ะ!เขาเป็นเพื่อนนักเรียนที่ข้าเพิ่งพบตอนเข้ามหาวิทยาลัยนี่เอง พวกเราไม่ชอบเข้าเรียนเหมือนกัน ข้าหนีออกมาเที่ยว ทั้งโทรศัพท์มือถือแล้วก็กระเป๋าเงินอยู่ของข้าน่าจะอยู่ที่เขา”
“อ่อ..เป็นเพื่อนในมหาวิทยาลัยหรอกรึ แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าบ้านของเขาอยู่ที่ใด?”
เมื่อถามประโยคนี้ออกมาเฉิงเม่ยเฟิงรู้สึกได้ว่าหัวใจของตนนั้นเริ่มเต้นแรงมากขึ้น และน้ำเสียงก็เริ่มสั่นสะท้าน
จากนั้น..นางก็ได้ยินชื่อเมืองที่คุ้นเคย!
“เขาเคยบอกกับข้าว่าเขาเป็นคนจิงฉูเรื่องราวของเขาน่าสนใจมากทีเดียว เขาเป็นคนอ้วนมากแล้วก็ไม่กลัวใคร เป็นคนอารมณ์ร้อน หากผู้ใดทำให้เขาไม่พอใจแล้วล่ะก็ เขาจัดการคนผู้นั้นจนหมดท่าเลยทีเดียว ข้าเองก็สู้เขาไม่ได้!”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นถอนหายใจเสียงดัง..
และทันทีที่ได้ยินคำว่า‘จิงฉู’ ร่างของเฉิงเม่ยเฟิงก็ถึงกับสั่นสะท้านอย่างรุนแรง!
ครั้งนี้ึคลื่นแห่งความเจ็บปวดถาโถมเข้าในจิตใจของเฉิงเม่ยเฟิงอย่างรุนแรงนางปวดร้าวจนร่างกายสั่นสะท้าน และแทบจะทนไม่ไหว
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงแสร้งลุกขึ้นยืนพร้อมกับจับไหล่ทั้งสองข้างของเฉิงเม่ยเฟิงไว้“พี่สาวคนสวย ท่านเป็นอะไร หากท่านรู้สึกเหน็ดเหนื่อยก็นั่งลงก่อนเถิด แล้วค่อยๆคุยกันไป”
ระหว่างที่เอ่ยปากพูดกับเฉิงเม่ยเฟิงนั้นหลิงหยุนก็ได้แอบถ่ายเทพลังอมตะสีม่วงลงไปในร่างของนาง!
พลังอมตะสีม่วงที่ไหลเข้าร่างของเฉิงเม่ยเฟิงนั้นออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วประกอบกับพลังอำนาจของศิลากลั่นวิญญาณ ทำให้ความเจ็บปวดทั้งหมดที่เกิดขึ้นดับลงทันที
หลิงหยุนไม่นึกเสียดายพลังอมตะสีม่วงเลยแม้แต่น้อยเพราะหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้คือภรรยาของเขาเอง!
เฉิงเม่ยเฟิงไม่ได้นึกสงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อยนางค่อยๆคลายความเจ็บปวดลง และได้แต่นึกอัศจรรย์ใจกับศิลาที่อยู่ในมือ!
“เช่นนั้น..ก็หมายความว่าเจ้าเองก็ไม่ใช่คนเมืองจิงฉู เอ่อ.. เจ้าพอจะจำเรื่องราวอะไรของเพื่อนคนนี้บ้างอีกหรือไม่ อย่างเช่นเบอร์มือถือของเขา?”
คนแซ่หลิงนั้นแม้จะมีไม่มากนักแต่ก็ไม่น้อยเวลานี้ขอบเขตการค้นหาจำกัดอยู่แค่เมืองจิงฉู เฉิงเม่ยเฟิงจึงอยากจะติดต่อหลิงหยุนผู้นี้ก่อน นางต้องการที่จะค้นหาความทรงจำของตนที่หายไปผ่านหลิงหยุนผู้นี้ และต้องการรู้ว่าระหว่างตนกับหลิงหยุนนั้นเรื่องราวเป็นเช่นใดกันแน่
“พี่สาวคนสวย..”
หลิงหยุนพยุงร่างเฉิงเม่ยเฟิงให้นั่งลงพร้อมกับยิ้มให้นาง“นี่เจ้าต้องการช่วยข้ารื้อฟื้นความทรงจำ หรือต้องการถามข้อมูลของเพื่อนข้ากันแน่”
เฉิงเม่ยเฟิงถึงกับหน้าแดงก่ำและเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่มาถึงที่นี่ นางยังไม่ได้ถามเรื่องราวของเด็กหนุ่มตรงหน้าเลย เอาแต่ถามเรื่องของหลิงหยุนอย่างเดียว!
ในที่สุดเฉิงเม่ยเฟิงจึงตัดสินใจบอกกับหลิงหยุนไปตามความจริง“น้องชาย.. ความจริงข้าเองก็ไม่สามารถจดจำเรื่องราวบางอย่างในชีวิตได้เช่นกัน ความทรงจำบางส่วนของข้าได้หายไป และดูเหมือนจะเกี่ยวกับคนที่ชื่อหลิงหยุนด้วยเช่นกัน ชื่อของเขาเหมือนกับชื่อของเพื่อนเจ้า มิหนำซ้ำยังอยู่เมืองจิงฉูเหมือนกันอีกด้วย!”
ความจริงแล้วเฉิงเม่ยเฟิงเองก็จำไม่ได้ว่าหลิงหยุนอยู่เมืองจิงฉูแต่น้องสาวของนางเป็นผู้บอกให้นางรอจนกว่าหลิงหยุนจะกลับมาจิงฉู..
จากนั้นเฉิงเม่ยเฟิงจึงเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนด้วยแววตาเศร้าสร้อย“สุดท้ายแล้วเจ้ากับข้าก็ล้วนเป็นโรคเดียวกัน..”
“…”
หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกแต่ในใจได้แต่กรีดร้องว่า ‘สามีของเจ้าอยู่ต่อหน้าเจ้าแล้วยังไงเล่า! อย่าว่าแต่ชื่อเหมือนกัน หรืออยู่เมืองเดียวกันเลย พวกเราทั้งคู่ต่างก็นอนเตียงเดียวกันมาแล้วด้วย!’
‘พวกเราสองคนไม่ได้ป่วยเป็นโรคเดียวกันสักหน่อยเจ้าอาจลืมข้า แต่ข้าไม่เคยลืมเจ้าเลย!’
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองหรอกรึช่างบังเอิญยิ่งนัก พี่สาวคนสวยท่านช่างน่าเห็นใจจริงๆ”
หลิงหยุนได้แต่ถอนหายใจและแสร้งทำเป็นพูดออกไปเช่นนั้น ทั้งที่ภายในจิตใจกลับรู้สึกเศร้าสร้อยยิ่งนัก
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับหลิงหยุนเพื่อนของเจ้าให้ข้าฟังจะได้หรือไม่เจ้าก็เล่าเท่าที่เจ้าพอจะนึกออกเถิด!”
จากนั้นเฉิงเม่ยเฟิงก็รีบพูดต่อว่า“ไม่แน่ว่าพวกเราอาจช่วยกันหาเขาพบโดยเร็วก็เป็นได้!”
“ได้สิ!เจ้าอยากรู้อะไรบ้างล่ะ ถามมาได้เลย หากข้าจำได้ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังจนหมด!” หลิงหยุนตอบยิ้มๆ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเพื่อนของเจ้าอ้วนมากเขาอ้วนแค่ใหน แล้วก็สูงเท่าไหร่?”
“เขาก็สูงเท่ากับข้าเลยล่ะแต่อาจจะเตี้ยกว่าสักหนึ่งเซ็นติเมตรได้ แต่เขาอ้วนกว่าข้าถึงสามเท่า น้ำหนักของเขาร้อยกว่ากิโลกรัมเลยทีเดียว!”
รูปร่างที่หลิงหยุนเอ่ยออกมานั้นเป็นรูปร่างของตนก่อนที่จะกลับขึ้นมาจากหลุมยักษ์ และเป็นภาพสุดท้ายของเขาก่อนที่เฉิงเม่ยเฟิงจะหลงลืม เขาต้องค่อยๆช่วยให้นางรื้อฟื้นภายในใจเหล่านี้ขึ้นมาก่อน
เฉิงเม่ยเฟิงตั้งอกตั้งใจฟังคำบอกเล่าของหลิงหยุนโดยไม่ขัดแม้แต่คำเดียวและค่อยๆนึกภาพตามในใจ
“แล้วที่เจ้าบอกว่าเขาเป็นคนน่าสนใจแต่ก็เป็นคนอารมณ์ร้อนเล่า หมายความเช่นใด”
หลิงหยุนนึกขันอยู่ในใจแต่ก็อธิบายให้นางฟัง “ที่ข้าบอกว่าเขาเป็นคนน่าสนใจ ก็เพราะเขามีความสามารถและทักษะหลายอย่างที่น่าเหลือเชื่อน่ะสิ!” หลิงหยุนย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ขอบอกตามตรง ความสามารถของเขาจัดว่าอัศจรรย์และน่าทึ่งมากทีเดียว!”
และตบท้ายด้วยประโยคสำคัญ“ส่วนเรื่องอารมณ์ของเขานั้น แม้แต่ข้าเองยังแทบทนรับไม่ไหว..”
“แล้วยังมีเรื่องอะไรที่น่าสนใจเกี่ยวกับเขาอีกหรือไม่!”เฉิงเม่ยเฟิงร้องถามออกมาด้วยความร้อนรนใจ
แต่จู่ๆหลิงหยุนก็ยืดตัวตรงพร้อมกับจ้องหน้าเฉิงเม่ยเฟิง และเอ่ยออกไปอย่างช้าๆ “เขาเคยเล่าให้ข้าฟังว่าเมื่อครั้งที่อยู่จิงฉูนั้น เขาได้สูญเสียภรรยาไป ดูเหมือนภรรยาของเขาจะชื่อว่า.. ชื่อว่าอะไรนะ…”