หลิงหยุนค่อยๆเพิ่มความกระหายใคร่รู้ให้กับเฉิงเม่ยเฟิงทีละเล็กทีละน้อย และเวลานี้เขาก็แสร้งทำเป็นนึกชื่อของภรรยาเพื่อน และเป็นชื่อของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขานี้เอง
“ว่ายังไงล่ะ..นางชื่อว่าอะไร บอกมาว่านางชื่ออะไร?!”
เฉิงเม่ยเฟิงลืมตัวจนเผลอคว้าแขนหลิงหยุนไว้แน่นนางเขย่าแขนหลิงหยุนไปมาอย่างแรง พร้อมกับร้องตะโกนถามไม่หยุด
แต่เมื่อรู้ตัวเฉิงเม่ยเฟิงก็หยุดเขย่าแขนของหลิงหยุนทันที นางเพิ่งนึกได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ความจำเสื่อมเช่นเดียวกัน และนางก็กำลังพยายามช่วยเขาปะติดปะต่อความทรงจำอยู่ นางจึงเอ่ยถามออกไปอย่างระมัดระวัง
“เอ่อ..น้องชาย เจ้าไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ ค่อยๆคิดดู คิดออกเมื่อไหร่แล้วค่อยพูดออกมาก็ได้” “ข้าจำได้ว่าเพื่อนของข้าเคยเอ่ยชื่อนางของมาครั้งหนึ่งตอนนั้นพวกเราทั้งคู่ต่างก็ดื่มกันจนเมามาย ขอข้าคิดทบทวนดูก่อนนะ…”
หลิงหยุนยกมือขึ้นเกาศรีษะและทำท่าครุ่นคิดอยู่นานราวสองสามนาที เฉิงเม่ยเฟิงเห็นเช่นนั้นจึงรีบยื่นศิลากลั่นวิญญาณในมือให้หลิงหยุนทันที
เฉิงเม่ยเฟิงมีสีหน้ากระวนกระวายใจยิ่งนักมือของนางกำศิลากลั่นวิญญาณไว้แน่น
นี่เป็นช่วงวินาทีที่สำคัญต่อชีวิตของนาง..
ในช่วงวินาทีที่หลิงหยุนจะเอ่ยออกไปนี้หากนางมิได้กำศิลากลั่นวิญญาณไว้ในมือ หลิงหยุนเกรงว่าทันทีที่นางได้ยินคำตอบ ลมปราณภายในร่างกายของนางอาจแตกซ่านจนกลายเป็นมารไปได้ หรือไม่ลมปราณก็อาจตีกลับจนสิ้นใจตายได้เช่นกัน!
แต่นับว่าโชคดีที่เวลานี้นางได้รับพลังอมตะสีม่วงจากหลิงหยุนเข้าไปแล้ว..
“ข้าไม่เอา..”หลิงหยุนปฏิเสธ และไม่ยอมรับรับศิลากลั่นวิญญาณมาถือไว้ จากนั้นจึงแสร้งตบมือลงที่ตักตนเองฉาดใหญ่ พร้อมกับร้องตะโกนออกมาเสียงดัง
“ข้านึกออกแล้ว!ข้านึกออกแล้ว.. นางมีชื่อว่า.. เม่ยเฟิง!”
ทันทีที่เฉิงเม่ยเฟิงได้ยินชื่อของตนเองนางรู้สึกราวกับเกิดแรงระเบิดขึ้นในสมองของตน นางรู้สึกราวกับว่าถูกค้อนขนาดใหญ่ทุบลงกลางศรีษะอย่างรุนแรง จากนั้นก็ไม่สามารถทรงตัวอยู่อีก และหมดสติล้มหงายหลังลงไป..
หลิงหยุนซึ่งเป็นคนเมืองจิงฉูสูญเสียภรรยาของตนไปและภรรยาของเขาก็ชื่อว่าเม่ยเฟิง! คำบอกเล่านี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเฉิงเม่ยเฟิงรุนแรงยิ่งนัก!
แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่ได้เอ่ยออกมาว่าหญิงสาวผู้นั้นแซ่เฉิงแต่เพียงแค่ชื่อก็ทำให้เฉิงเม่ยเฟิงก็รับรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ย่อมหมายถึงตัวนาง และหลิงหยุนก็คือผู้ชายของนาง!
เฉิงเม่ยเฟิงถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันที! หลิงหยุนเห็นเฉิงเม่ยเฟิงเป็นลมหมดสติล้มลงไปเช่นนั้นจึงรีบคว้าร่างของนางไว้ในอ้อมแขน และจ้องมองใบหน้างดงามนั้น ดวงตาคู่งามเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยยิ่งนัก แล้วน้ำตามากมายก็เริ่มพร่างพรูออกมา
หลิงหยุนอยากจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เฉิงเม่ยเฟิงฟังตั้งแต่เริ่มต้นที่คนทั้งสองได้มารู้จักกัน จนกระทั่งใช้ชีวิตร่วมกัน นอนเตียงเดียวกัน จนกระทั่งผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันเช่นใดบ้าง
หลิงหยุนรู้ว่า..เรื่องราวทั้งหมดนี้ อาจจะยังไม่เพียงพอให้เฉิงเม่ยเฟิงจดจำเขาซึ่งอยู่ตรงหน้าได้ แต่อย่างน้อยมันก็พอจะช่วยให้นางได้รื้อฟื้นภาพความทรงจำต่างๆภายในใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สิ่งที่หลิงหยุนต้องการเล่านั้นมีรายละเอียดมากมายไม่แน่ว่าเมื่อเฉิงเม่ยเฟิงได้ฟัง อาจทำให้ชิ้นส่วนความทรงจำของนางสามารถปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวได้ จนแม้แต่ฤทธิ์ของโอสถไร้ใจก็อาจไม่มีผลต่อความทรงจำของนางอีก
….
พรึบ!
จู่ๆร่างสีดำร่างหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ดวงตาของคนผู้นั้นจับจ้องไปที่ร่างของเฉิงเม่ยเฟิงซึ่งหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของหลิงหยุน พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าทำสำเร็จแล้วสินะ”
หลิงหยุนแทบไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำเขายังคงจ้องมองใบหน้าซีดเซียวของเฉิงเม่ยเฟิงพร้อมกับส่ายหน้า แล้วตอบกลับไปว่า
“หากข้าทำสำเร็จข้าจะไม่ยอมให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกครั้งเป็นแน่!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าระหว่างที่เขาพูดกับเฉิงเม่ยเฟิงนั้นเย่ซิงเฉินคงจะได้รู้ได้เห็นจนหมดแล้ว
เย่ซิงเฉินยิ้มออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“นับว่ายังโชคดีที่ไม่สายเกินไป! เฉิงเม่ยเฟิงผู้นี้เป็นหญิงที่หาได้ยากนัก ความจริงแล้วโอสถไร้ใจมีฤทธิ์ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง มันถูกคิดค้นขึ้นโดยยอดฝีมือของอารามจิ้งซิน นางเป็นหญิงที่ต้องเจ็บปวดเพราะความรักจึงได้โกรธแค้นผู้ชายทั้งโลก หากหญิงสาวธรรมดาทั่วไปกลืนโอสถนี้ลงไปแต่กลับไม่ต้องการลืมชายที่รัก หญิงผู้นั้นก็จะต้องเจ็บปวดทรมานจนตาย! แต่หากโชคดีสามารถลืมชายที่รักได้ หญิงผู้นั้นก็จะมีชีวิตรอด แต่ก็จะไม่สามารถจดจำอีกฝ่ายได้เลย..”
“หลังจากที่กลืนโอสถไร้ใจนี้ไปแล้วและสามารถฝึกวิชาไร้ใจจนเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-7 ได้เมื่อใด หญิงผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนเย็นชาต่อผู้ชายทั้งโลก และจะลืมความรักในอดีตจนหมดสิ้น!”
เย่ซิงเฉินเอ่ยออกมาพร้อมกับชำเลืองตามองไปทางเฉิงเม่ยเฟิงด้วยความรู้สึกชื่นชม..
“หึ!”หลิงหยุนทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจก่อนที่จะกล่าววาจาเย้ยหยันออกไป
“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าต่อให้ข้าพบนางในยามที่นางเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-7 แล้ว หรือต่อให้เข้าสู่ขั้นที่สูงกว่านั้น ข้าก็ย่อมมีวิธีฟื้นคืนความทรงจำของนางให้สามารถกลับมาจดจำข้าได้เช่นเดิม!”
นี่คือความจริงหาใช่หลิงหยุนพูดจาโอ้อวดแต่อย่างใดไม่..
เย่ซิงเฉินเองก็เชื่อเช่นนั้นนางยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยถามออกไป “แล้วเจ้าคิดที่จะทำเช่นใดต่อไป ทำการรักษาฟื้นความทรงจำให้กับนางงั้นรึ?”
หลิงหยุนส่ายหน้า“ข้าจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปก่อน แต่ข้าหวังว่านางจะสามารถจดจำเรื่องราวทั้งหมดได้ภายในคืนนี้ เรื่องของเราขอให้เป็นไปตามแผนเดิม!”
เย่ซิงเฉินพยักหน้าพร้อมเอ่ยออกไปว่า“ข้าว่าอารามจิ้งซินคงรู้ว่าเจ้าต้องการพาตัวนางกลับไป ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นแผนให้นางมาที่เขาหลงหู่ก็เพื่อใช้นางเป็นเหยื่อล่อเจ้า…”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง“ฮ่า ฮ่า.. ไม่ใช่อาจจะ แต่นี่คือกับดักต่างหาก! แต่แล้วยังไง.. ข้านี่ล่ะจะเป็นผู้ทำลายกับดักของพวกมันเอง!”
สิ่งที่เย่ซิงเฉินชื่นชอบในตัวหลิงหยุนมากที่สุดก็คือความกล้าหาญและไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใดนั่นเอง
“เอาล่ะ..พวกเจ้าสองคนเพิ่งได้พบกัน ข้าไม่อยู่รบกวนแล้ว!”
“ข้าเพิ่งจะได้รับข่าวมาว่าคนของอารามจิ้งซินจะเข้าร่วมงานประมูลชาวยุทธในคืนนี้ด้วยข้าคงต้องไปจัดเตรียมการก่อน”
“เจ้านำนี่ติดตัวไปด้วย!”
หลิงหยุนร้องบอกเย่ซิงเฉินพร้อมกับเรียกโอสถสองขวดและแหวนพื้นที่ออกมาโยนให้อีกฝ่าย จากนั้นเย่ซิงเฉินก็กระโดดหายไป..
“ซิงเฉิน!”หลิงหยุนร้องตะโกนเรียกชื่อนางพร้อมกับเอ่ยออกไป “ขอบคุณเจ้ามาก!”
บางครั้งคำพูดมากมายก็ไม่ได้จำเป็นนักเพียงแค่ประโยคสั้นๆก็เพียงพอแล้ว.. “ข้าเต็มใจทำ!”
เย่ซิงเฉินยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยตอบ“หากสิ่งใดที่เจ้าต้องการจะทำ ข้ายินดีและเต็มใจทำเพื่อเจ้าเสมอ!” สิ้นคำพูดประโยคนี้ ร่างของเย่ซิงเฉินก็หายลับไปในทันที
หลิงหยุนรู้แก่ใจดีว่าแม้เย่ซิงเฉินจะมีท่าทีดุดัน แต่นางก็ไม่เคยมองหญิงสาวรอบตัวเขาเป็นศัตรูเลยแม้แต่คนเดียว ไม่เช่นนั้นเย่ซิงเฉินคงไม่จัดเตรียมการทั้งหมดให้กับเขาเป็นแน่
เพียงแค่คำพูดประโยคสั้นๆของหลิงหยุนนั้นก็ทำให้เย่ซิงเฉินอบอุ่นใจอย่างมากแล้ว!
……
อาศัยจังหวะที่เฉิงเม่ยเฟิงกำลังตกตะลึงนี้หลิงหยุนได้แนบฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของนาง และค่อยๆถ่ายเทพลังอมตะสีม่วงเข้าสู่ร่างกายของนางอีกครั้ง
พลงอมตะสีม่วงนี้ค่อยๆไหลเวียนเข้ารักษาจุดตันเถียนและเส้นลมปราณภายในร่างกายของนาง เวลานี้เฉิงเม่ยเฟิงยังคงกำศิลากลั่นวิญญาณไว้ในมือแน่น ส่วนในใจก็ครุ่นคิดเรื่องราวเกี่ยวกับหลิงหยุนที่ได้ฟังมา
ในที่สุดเฉิงเม่ยเฟิงก็ตื่นจากภวังค์ความคิดหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวมากมาย นางก็ตื่นเต้นตกใจจนถึงกับเป็นลมหมดสติไป!
“พี่สาวคนสวยนี่เจ้าเป็นอะไรไปรึ ข้าตกใจแทบแย่..”
หลิงหยุนเห็นเฉิงเม่ยเฟิงฟื้นคืนสติขึ้นมาจึงแสร้งทำเป็นร้องถามออกไปทันที
“ข้าไม่เป็นอะไร!”
เฉิงเม่ยเฟิงตื่นมาพบว่าตนกำลังนอยู่ในอ้อมแขนของหลิงหยุนความรังเกียจเล็กน้อยผุดขึ้นภายในจิตใจ จากนั้นจึงรีบผละออกจากอ้อมแขนของเด็กหนุ่มทันที
นั่นเพราะนางคิดว่าชายที่นางหลงลืมไปนั้นเป็นเพื่อนของชายหนุ่มผู้นี้นางจึงไม่อาจทนให้เด็กหนุ่มผู้นี้สัมผัสเรือนร่างของตนได้.. “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าภรรยาของเพื่อนเจ้าชื่อว่าเม่ยเฟิงใช่หรือไม่”
เฉิงเม่ยเฟิงถามย้ำอีกครั้งให้มั่นใจเพราะเกรงว่าเด็กหนุ่มผู้สูญเสียความทรงจำนี้ อาจจะทำผิดพลาดก็เป็นได้
แต่ครั้งนี้หลิงหยุนกลับยืนยันหนักแน่น“ใช้แล้ว! ชื่อนี้ไม่มีผิดแน่!”
“หญิงสาวผู้นี้ชื่อเม่ยเฟิงแล้วนางแซ่อะไร ใช่แซ่เฉิง.. นางชื่อเฉิงเม่ยเฟิงใช่หรือไม่?”
ที่เฉิงเม่ยเฟิงถามออกไปเช่นนั้นไม่ใช่เป็นการตั้งคำถาม แต่มันคือการย้ำเพื่อให้เกิดความมั่นใจต่างหาก
“ใช่แล้วพี่สาวคนสวย..ท่านพูดออกมาทำให้ข้านึกได้ ใช่แล้ว! เพื่อนของข้าบอกว่าภรรยาของเขาชื่อเฉิงเม่ยเฟิง!”
“พี่หลี่เฉิน..ท่านเองก็แซ่เฉิงนี่!”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นร้องถามออกไปด้วยความแปลกใจ..
“ข้าไม่ใช่แค่แซ่เฉิง..”เฉิงเม่ยเฟิงส่ายหน้าช้าๆ พร้อมเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“ภรรยาของเพื่อนเจ้าคือข้าเอง..ข้าชื่อว่าเฉิงเม่ยเฟิง!”
“ห๊ะ!”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นตกใจที่ได้ยินเช่นนั้นเขากระโดดลุกขึ้นยืนพร้อมกับทำท่าทางตกอกตกใจจนเกินควร..
“เป็นไปได้ยังไงกัน!ในโลกมีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้เชียวรึ?!”
ใบหน้าของเฉิงเม่ยเฟิงแดงก่ำในขณะที่เอ่ยขึ้นว่า“โลกกลมมากจริงๆ สวรรค์เข้าข้างข้าแล้ว น้องชาย.. ขอบใจเจ้ามาก!”
“ไม่เป็นไรๆ”หลิงหยุนรีบโบกไม้โบกมือพร้อมพูดออกไปด้วยความตื่นเต้น
“เฮ้อ..ช่างน่าเสียดายนักที่ข้าไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือมาด้วย ไม่เช่นนั้นข้าจะรีบโทรบอกเพื่อนของข้าเดี๋ยวนี้เลย เขาจะได้รีบมาเจ้าที่นี่!”
เฉิงเม่ยเฟิงได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของนางก็เปี่ยมไปด้วยความสุข แม้ว่าตอนนี้นางจะยังนึกใบหน้าของหลิงหยุนไม่ออก แต่เพียงแค่ได้ยินว่าชายที่รักยังจดจำนางได้ไม่รู้ลืม และยินดีที่จะมาพบนางทันทีเช่นนี้ เพียงแค่นี้นางก็ปลื้มปิติยิ่งนักแล้ว
“ฮ่า..ฮ่า..” หลิงหยุนหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วจึงพูดต่อว่า
“ครั้งนี้ข้าทำประโยชน์ให้กับเขามากมายหลิงหยุน.. เจ้าชอบทำตัวลึกลับ วันๆเอาแต่หมกตัวกลั่นโอสถบ้าง ปลุกเสกยันต์บ้าง แต่ข้าขอบ้างเขากลับไม่ให้ ครั้งนี้ข้าจะเค้นคอเขาขอมาให้หมดตัวเลยทีเดียว!”
หลิงหยุนรู้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงเริ่มกลับสู่ความเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆเพราะเมื่อครู่เขาได้ถ่ายเทพลังอมตะสีม่วงลงไปในร่างของนางอีก และเวลานี้พลังอมตะสีม่วงก็เริ่มออกฤทธิ์แล้ว
“น้องชาย..หากเจ้าสามารถช่วยให้ข้าได้พบกับเขา ข้าจะขอให้เขามอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าต้องการให้” “ว่าแต่..เจ้าพอที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับข้าให้ฟังหน่อยจะได้หรือไม่”