“ย่อมได้อยู่แล้วพี่สาวคนสวย!เจ้าเองก็นับว่าเป็พี่สะใภ้ของข้า ข้าเองก็มีความสุขมากที่ได้พบเจ้า!”
หลิงหยุนร้องตะโกนบอกเฉิงเม่ยเฟิงด้วยความดีอกดีใจ
“เจ้าเรียกเขาว่าพี่หลิงหยุนงั้นรึ”
เฉิงเม่ยเฟิงได้ยินเด็กหนุ่มเรียกตนว่าพี่สะใภ้จึงร้องถามออกไปด้วยความสงสัย
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆแล้วเริ่มเล่าเรื่องของหลิงหยุนให้นางฟัง “สามีของเจ้าเก่งกาจแล้วก็แข็งแกร่งยิ่งนัก พวกเราเพิ่งจะรู้จักกันตอนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนี่เอง เขาสั่งให้ข้าเรียกเขาว่าพี่ และอนุญาตให้ข้าเป็นลูกน้องติดตามเขาได้..”
“งั้นรึ!”
เฉิงเม่ยเฟิงได้ฟังถึงกับหัวเราะออกมาและนางก็พบว่าเวลานี้วิชาไร้ใจที่นางฝึกนั้น ดูเหมือนว่าเวลานี้จะค่อยๆสิ้นฤทธิ์ลงไปเรื่อยๆ และไม่สามารถควบคุมจิตใจของตนได้อีกแล้ว ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกินที่เวลานี้นางกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานแต่อย่างใด!
“หินก้อนนี้..”
เฉิงเม่ยเฟิงยกความดีทั้งหมดให้กับก้อนหินที่อยู่ในมือของนางนางเชื่อว่าเป็นเพราะอานุภาพของหินก้อนนี้ทำให้เกิดความรู้สึกบางเบาแจ่มใสขึ้นภายในใจของตน และเวลานี้ภายในใจของนางก็มีภาพเลือนลางของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นแล้วก็หายไปอยู่เช่นนั้น
“เจ้าเล่าต่อสิข้าอยากรู้ว่าระหว่างเขากับข้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง เจ้าเล่าทุกอย่างที่ได้ยินได้ฟังมาจากเขา ยิ่งเล่าได้ละเอียดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!”
เฉิงเม่ยเฟิงต้องการให้ภาพที่ปรากฏในใจของตนนั้นชัดเจนยิ่งขึ้นนางจึงขอให้เด็กหนุ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตนฟังอย่างละเอียด นางต้องการจะรื้อฟื้นความทรงจำที่หายไปนั้นให้กลับมาได้โดยเร็วที่สุด เพราะนี่คือชีวิตของนาง!
“แต่..เรื่องนี้เล่าไปก็ยาวมาก”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า“นี่พี่สาว.. ในเมื่อเจ้าเองก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เหตุใดไม่รอพบหลิงหยุนด้วยตัวเองแล้วค่อยถามจากปากเขาเองเล่า ยังต้องให้ข้าเป็นผู้เล่าอีกทำไมกัน”
เฉิงเม่ยเฟิงได้แต่คิดในใจว่า‘หากมันง่ายเช่นนั้น ข้าก็คงไม่ต้องพาเจ้ามาที่หุบเขาหลงเฟย แล้วพาเจ้ามาหลบคุยกันอยู่ตรงนี้เป็นแน่’
การอยู่กับชายหนุ่มตามลำพังสองต่อสองนั้นเป็นกฏข้อห้ามแรกของสำนักจิ้งซินและหากผู้ใดกระทำการเช่นนั้นย่อมถือเป็นการทรยศหักหลังต่อสำนัก ด้วยความแข็งแกร่งของนางในเวลานี้ เฉิงเม่ยเฟิงเกรงว่าตนจะถูกอาวุโสในอารามจิ้งซินจับตัวไว้ก่อนที่จะได้พบหลิงหยุน และอาจถูกสังหารตายพร้อมกันทั้งสามคนด้วย!
เฉิงเม่ยเฟิงรู้ว่าหากมี่เจียวไท่ซือล่วงรู้เรื่องนี้เข้าไม่รู้ว่าตนจะถูกทำโทษเช่นใด และหลิงหยุนกับเด็กหนุ่มตรงหน้านี้จะต้องถูกสังหารตายอย่างแน่นอน!
และไม่มีทางที่เฉิงเม่ยเฟิงจะปล่อยให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นแน่ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องรีบหาทางสืบรู้เรื่องราวระหว่างตนกับหลิงหยุนให้ได้โดยเร็ว เพื่อที่นางจะได้ฟื้นฟูความทรงจำที่หายไปได้ จากนั้นตั้งใจว่าจะพาเด็กหนุ่มผู้นี้หนีออกไปจากหุบเขาพร้อมกับตนอย่างปลอดภัย
เฉิงเม่ยเฟิงจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้งลงแล้ว พร้อมเร่งเร้าให้หลิงหยุนบอกเล่าออกมา
“น้องชายเจ้ารีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังเถิด คำพูดของเจ้าจะทำให้ข้าตัดสินใจได้ว่าต้องจัดการกับเรื่องนี้เช่นใด”
หลิงหยุนพอเข้าใจได้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงกำลังวิตกกังวลใจเรื่องใดเขาจ้องมองแววตาที่เต็มด้วยความกระวนกระวายร้อนใจของอีกฝ่าย และได้แต่แอบถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะถ้าเช่นนั้นข้าจะเล่าทุกอย่างที่เขาบอกแก่ข้าให้เจ้าฟัง..”
จากนั้นหลิงหยุนก็เริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับเฉิงเมิ่ยเฟิงฟังอย่างละเอียดเริ่มตั้งแต่ที่วันที่ซันจิ้งขับรถชนนางจนเป็นเหตุให้เขาและนางได้พบเจอกัน คืนวันฝนตกหนักที่เฉิงเม่ยเฟิงเดินตากฝนไปหาเขาที่โรงเรียน รวมทั้งการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันของทั้งคู่ในอพาร์ทเมนท์เล็กๆแห่งหนึ่ง จนกระทั่งเรื่องของนักฆ่าสาวเสี่ยวเม่ยเม่ย และคืนที่เขาพาหลินเมิ่งหานกลับมารักษาที่บ้าน
แต่เหตุการณ์ที่เป็นเสมือนจุดสำคัญของเรื่องนั้นก็คือคืนที่เฉิงเม่ยเฟิงถูกจับตัวไป และหลิงหยุนบุกเข้าไปช่วยนางที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิง และเรื่องที่นางถูกแม่ชีมี่ยู่แห่งอารามจิ้งซินบีบบังคับให้กลืนโอสถไร้ใจเข้าไป รวมถึงเรื่องที่เขาบุกไปสังหารยอดฝีมือตระกูลซันและสังหารซันเทียนเปียวตาย…
แต่หลิงหยุนไม่ได้เล่ารายละเอียดในการต่อสู้มากนักเพราะหากเล่าทั้งหมดมันจะดูเหมือนภาพยนต์แอคชั่นมากจนเกินไป ระหว่างคนทั้งสองยังมีผู้คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวเม่ยเม่ย หลินเมิ่งหาน ตี้เสี่ยวอู๋ ถังเมิ่ง เกาเฉินเฉิน เสี่ยวเม่ยหนิง ไป๋เซีนเอ๋อ เหมี่ยวเสี่ยวเหมา เฉิงเทียน เฉิงเมี่ยน รวมทั้งเล่าเรื่องที่เขาขอให้นางเปิดบัญชีเล่นหุ้นให้ด้วย
หลังจากที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้เฉิงเม่ยเฟิงฟังไปแล้วหลิงหยุนยังไม่กล้าหวังว่าเฉิงเม่ยเฟิงจะสามารถจดจำตนได้ในทันที แต่ระหว่างเขากับเฉิงเม่ยเฟิงนั้นมีเรื่องราวร่วมกันมากมาย เขาหวังเพียงแค่ว่าเรื่องราวที่เล่าไปนั้นจะช่วยไปเติมเต็มชิ้นส่วนความทรงจำที่ขาดหายไปของนางให้ฟื้นคืนกลับมาได้บ้าง!
นับตั้งแต่ที่หลิงหยุนเริ่มเล่าจนกระทั่งจบนั้นเฉิงเม่ยเฟิงบ้างก็ร้องไห้ออกมา บางครั้งก็หัวเราะพร้อมน้ำตา เป็นภาพที่งดงามและสะเทือนใจหลิงหยุนยิ่งนัก..
เรื่องราวต่างๆที่หายไปจากความทรงจำของนางนั้นช่างเป็นเรื่องราวที่ปะปนไปทั้งทุกข์และสุข ชายหนุ่มที่นางหลงลืมไปจากชีวิตช่างดีกับนางอย่างมากเหลือเกิน ทั้งสองคนต่างก็ผ่านเหตุการณ์ความเป็นความตายมาด้วยกัน…
และนางก็ถูกบังคับให้กลืนโอสถไร้ใจจนกระทั่งลืมเลือนหลิงหยุนไปจากชีวิต!
“โอสถไร้ใจ..แม่ชีมี่ยู่งั้นรึ”
และเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่แม่ชีมี่ยู่ทำกับตนเองแล้วเฉิงเม่ยเฟิงก็ถึงกับกัดฟันกรอด นางกล้ำกลืนความเกลียดชังที่ปะทุขึ้นภายในใจไว้!
ในที่สุดเรื่องราวที่เฉิงเม่ยเฟิงพยายามนึกมาตลอดแต่ไม่ว่านึกอย่างไรก็นึกไม่ออกนั้น ในที่สุดก็กระจ่างชัดแจ่มแจ้ง!
เฉิงเม่ยเฟิงเชื่อว่าตราบใดที่ภาพของหลิงหยุนปรากฏขึ้นภายในใจของนางนางจะสามารถจดจำเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับเขาได้ในทันที ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่เคยมีร่วมกัน ความรู้สึกที่เคยมีต่อกัน และความรักของทั้งสองคน แต่ในระหว่างที่ฟังเด็กหนุ่มตรงหน้าเล่าเรื่องราวนั้นก็ใช่ว่าเฉิงเม่ยเฟิงจะจมดิ่งไปกับเรื่องราวที่เขาเล่าทั้งหมด นางยังคงเหลือบมองใบหน้าของเขาอยู่สองถึงสามครั้ง แต่เพราะนางมีความอยากรู้เรื่องราวของหลิงหยุนมากจนไม่ทันได้สังเกตให้ชัดเจน
นั่นเพราะบุคคลที่อยู่ตรงหน้านางเวลานี้ไม่ได้สำคัญต่อนางแต่คนที่เด็กหนุ่มกำลังพูดถึงต่างหากเล่าที่สำคัญกับนางยิ่งนัก!
อีกทั้งเมื่อครั้งก่อนที่หลิงหยุนจะลงไปใต้หลุมยักษ์นั้นเขาเพิ่งจะฝึกถึงขั้นปรับกายา-3 เท่านั้น น้ำหนักจึงยังไม่ได้ลดลงมากเหมือนเช่นตอนนี้ ความแตกต่างทางด้านรูปลักษณ์จึงมีค่อนข้างมาก
หลิงหยุนอยากจะใช้พลังของตนเปลี่ยนรูปร่างให้กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนแต่ก็ต้องกัดฟันอดกลั้นเอาไว้
“ทั้งหมดที่ข้ารู้ก็มีเท่านี้!”
หลังจากที่หลิงหยุนเล่าทุกอย่างให้ฟังจนหมดแล้วทั้งสองคนต่างนั่งนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่จากนั้นเฉิงเม่ยเฟิงที่ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาก็ลุกขึ้นยืน
“น้องชายเจ้าฟังคำพูดของข้าไว้ให้ดี หากเจ้ายังไม่อยากตาย ทุกคำพูดที่เจ้าเล่าให้ข้าฟัง อย่าได้แพร่งพรายให้ผู้อื่นรู้โดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าแม่ชีของอารามจิ้งซิน!”
“นับแต่นี้เป็นต้นไปข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตของเจ้าไว้ให้ได้ หลังจากคืนพรุ่งนี้หากข้ายังไม่ตาย ข้าจะตามเจ้ากลับไปพบหลิงหยุน แต่หากข้าจะต้องตายไปจริงๆ ข้าจะต้องสังหารหญิงชั่วเช่นแม่ชีมี่ยู่ให้ได้เสียก่อน! จากนั้นเจ้าช่วยบอกกับหลิงหยุนแทนข้าด้วยว่า ขอให้เขาช่วยทำลายอารามจิ้งซินแก้แค้นให้ข้าด้วย แล้วก็อย่าได้เป็นทุกข์เพราะข้าอีก!”
และในเวลานี้เฉิงเม่ยเฟิงก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเป็นศิษย์ของอารามจิ้งซินอีกต่อไปแล้ว นางกลับมองสำนักแม่ชีเป็นศัตรูที่จักต้องล้างแค้น! “ข้าเฉิงเม่ยเฟิงขอสาบานว่าไม่ว่าจะต้องเกิดใหม่อีกกี่ชาติ ก็จะขอเป็นภรรยาของหลิงหยุน และจะไม่มีวันลืมเขาอีก!”
ความจริงแล้วตลอดเวลาที่หลิงหยุนเล่าเรื่องทั้งหมดนั้นเฉิงเม่ยเฟิงก็มีอารมณ์ขึ้นๆลงๆตามอยู่ตลอดเวลา นางพยายามอยู่หลายต่อหลายครั้งที่จะนึกภาพหลิงหยุนให้ออก แต่ก็ไม่สามารถทำได้
“เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลยครั้งนี้ไม่ใช่เจ้าแน่ที่ต้องตาย!”
“ข้าตายได้!แต่เจ้าตายไม่ได้!”
เฉิงเม่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดมิด“นี่ก็ดึกมากแล้ว อีกไม่นานคนของอารามจิ้งซินก็คงใกล้จะมาถึงแล้ว ข้าคงยังไม่สามารถส่งเจ้าออกจากหุบเขาภายในคืนนี้ได้ คงต้องรอจนถึงพรุ่งนี้ พวกเราค่อยมองหาโอกาสอีกครั้ง..”
“น้องชายเจ้าฟังข้าให้ดีนะ! พรุ่งนี้ต่อหน้าทุกคน เจ้าต้องแสร้งทำเป็นว่าความทรงจำฟื้นคืนมาแล้ว จากนั้นก็ให้ร้องตะโกนบอกชื่อของเจ้าต่อหน้าทุกคน ข้าจะได้หาข้ออ้างส่งเจ้าออกจากหุบเขาแห่งนี้ ”
“หากถึงวันพรุ่งนี้แล้วเจ้ายังจำอะไรไม่ได้เจ้าก็ใช้ชื่อของผู้ใดแทนไปก่อนก็ได้ ข้าจะได้พาเจ้าออกไปจากที่นี่ได้!”
“พรุ่งนี้จะมีการต่อสู้จนถึงขั้นนองเลือดภายหุบเขาแห่งนี้ระหว่างที่ทุกคนกำลังต่อสู้กันนั้น ไม่มีใครสนใจว่าเจ้าจะเป็นหรือตายแน่..”
จากนั้นเฉิงเม่ยเฟิงก็ถอนหายใจพร้อมกับจ้องหน้าหลิงหยุนและย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ที่ข้าพูดมาทั้งหมดเจ้าเข้าใจหรือไม่ ”
หลิงหยุนจ้องหน้าเฉิงเม่ยเฟิงพร้อมทวนให้นางฟัง“ข้าเข้าใจและจำคำพูดของเจ้าได้ทั้งหมด!”
“พรุ่งนี้หลังจากที่เจ้าส่งข้าออกจากหุบเขาแห่งนี้แล้วให้ข้าไปพบพี่หลิงหยุน และขอให้เขาทำลายอารามจิ้งซินแก้แค้นให้กับเจ้าด้วย!” เฉิงเม่ยเฟิงได้ฟังคำพูดหนักแน่นของเด็กหนุ่มก็ได้แต่คิดในใจว่า เด็กหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนจะจงรักภักดีต่อหลิงหยุนยิ่งนัก เมื่อรู้ว่านางเป็นผู้หญิงของหลิงหยุน ก็แสดงท่าทีเกลียดชังอารามจิ้งซินออกมามากถึงเพียงนี้!
เฉิงเม่ยเฟิงได้แต่นึกประทับใจในตัวเด็กหนุ่มผู้นี้มากขึ้น..
“เอาล่ะพวกเรากลับกันได้แล้ว ออกมานานเกินไปเดี๋ยวทุกคนจะสงสัยได้!”
เฉิงเม่ยเฟิงได้แต่คิดในใจว่าโชคดีที่แม่ชีมี่ยู่และแม่ชีมี่เจียวยังมาไม่ถึง ไม่เช่นนั้นหากให้พวกนางทั้งสองพบเห็นตนอยู่ตามลำพังกับหลิงหยุนสองต่อสอง คงต้องเป็นเรื่องแน่!
หลิงหยุนลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นตามตัวพร้อมกับพูดออกไปว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลใจไปนัก แม้ข้าจะไม่เก่งเท่าพี่หลิงหยุน แต่เขาก็ได้สอนวิชาให้ข้ามากมาย ข้าจะปกป้องเจ้าแทนเขาเอง!”
เฉิงเม่ยเฟิงได้แต่ยิ้มออกมาและในที่สุดก็เพิ่งจะรู้ว่าเพราะเหตุใดเด็กหนุ่มผู้นี้จึงกล้าวิ่งลงจากเขาที่สูงชันเช่นนั้น
นั่นเพราะเด็กหนุ่มผู้นี้ฝึกวรยุทธนั่นเอง!
แต่น่าเสียดายที่เฉิงเม่ยเฟิงไม่อาจสัมผัสพลังปราณของหลิงหยุนได้และได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า
‘ไม่รู้ว่าหลิงหยุนสามีของข้าจะเก่งกาจสักเพียงใด!’
จากนั้นหลิงหยุนและเฉิงเม่ยเฟิงจึงเดินกลับไปในป่าแต่ต่างฝ่ายต่างก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่างในใจไปตลอดทาง..