หลังจากที่หลิงหยุนกับเฉิงเม่ยเฟิงกลับออกไปแล้วที่หน้าผาไกลๆแห่งหนึ่ง ร่างทั้งห้าก็ค่อยๆปรากฏขึ้นในความมืดอย่างช้าๆ เป็นฉินตงเฉี่วย ไป๋เซียนเอ๋อ และคนอื่นๆนั่นเอง
  “ไม่น่าเชื่อจริงๆ!มันน่าทึ่งมากที่หลิงหยุนสามารถทำให้ภรรยาของเขาค่อยๆ รื้อฟื้นความทรงจำกลับมาได้ แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม ข้าชื่นชมหมอนั่นจริงๆ!”
  โม่วู๋เตาที่แอบดูหลิงหยุนกันเฉิงเม่ยเฟิงมาตลอดนั้นได้แต่ร้องอุทานออกมาด้วยความชื่นชม!
  “หญิงสาวผู้นั้นเหมาะสมแล้วที่หลิงหยุนจะทำอะไรเช่นนี้เพื่อนาง..”
  ฉินตงเฉี่วยถึงกับถอนหายใจพร้อมกับพึมพำออกมาเรื่องราวของเฉิงเม่ยเฟิงและความรู้สึกของนางที่มีต่ออารามจิ้งซินเวลานี้ ทำให้ฉินตงเฉี่วยอดนึกถึงคำพูดของเย่ซิงเฉินไม่ได้ ตัวนางเองกลับไม่เด็ดเดี่ยวต่อสำนักดาบสวรรค์ได้เหมือนกับเฉิงเม่ยเฟิงในตอนนี้
  “เฮ้อ..ข้าอยากจะไปบอกพี่เม่ยเฟิงด้วยตัวเองจังเลยว่า ผู้ชายที่อยู่ต่อหน้านางเวลานี้ก็คือพี่หลิงหยุน…”
  ไป๋เซียนเอ๋อพูดขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำใบหน้าของเธอบูดบึ้งบ่งบอกว่าไม่มีความสุขอย่างมาก เพราะนางเองก็อยู่กับคนทั้งคู่มาโดยตลอด จึงรู้เรื่องราวระหว่างทั้งสองคนเป็นอย่างดี
  “คุณชายหลิงเป็นเซียนหรืออย่างไรกัน!”
  แม้แต่หวังชงเซียวที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็อดทึ่งไม่ได้เช่นกันแต่ครั้งนี้เขาไม่ได้นึกอัศจรรย์ใจในความสามารถหรือความแข็งแกร่งของหลิงหยุนแต่อย่างใด เขานึกทึ่งในความมุ่งมั่นของหลิงหยุนที่ตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างต่างหาก หลังชงเซียวได้แต่ส่ายหน้าไปมาพร้อมรำพึงรำพันกับตัวเอง
  “นับว่าข้าเลือกติดตามคนไม่ผิดจริงๆ!”
  โม่วู๋เตาหันไปพูดกับตี้เสี่ยวอู๋“นี่เจ้าท่อนไม้ หลิงหยุนมีเรื่องน่าประทับใจเช่นนี้เหตุใดข้าจึงไม่ล่วงรู้มาก่อน”
  ตี้เสี่ยวอู๋ทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายก่อนจะตอบกลับไปอย่างหมดความอดทน“ยังมีเรื่องของพี่หยุนอีกมากมายที่เจ้าไม่รู้!”
  ตี้เสี่ยวอู๋หาใช่คนที่มีความอดทนเช่นหลิงหยุนหากไม่ใช่เพราะคำสั่งของหลิงหยุนแล้วล่ะก็ เขาคงจะกระโดดไปยืนตรงหน้าเฉิงเม่ยเฟิง แล้วบอกเล่าความจริงทั้งหมดให้นางฟังเป็นแน่!
  ความอดกลั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก!
  และในเวลานั้นเองเครื่องมือสื่อสารของฉินตงเฉี่วยก็สั่นนางได้รับข้อความจากเย่ซิงเฉิน หลังจากเปิดออกอ่านจึงร้องบอกทุกคนว่า
  “ซิงเฉินแจ้งมาว่าการประมูลจะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมงขอให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมด้วย!”
  ในเมื่อหลิงหยุนย้ำนักย้ำหนาว่าเขาต้องการมอบของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อทำให้เฉิงเม่ยเฟิงประหลาดใจ ฉินตงเฉี่วยจึงอยากเห็นความปรารถนาของเขาเป็นจริง!
  …………
  เมื่อหลิงหยุนกับเฉิงเม่ยเฟิงกลับเข้าไปภายในหุบเขาทั้งคู่ก็พบว่ามีการจุดคบไฟขึ้นในบริเวณนั้นมากมายเป็นวงกว้างกว่าหนึ่งกิโลเมตร แล้วก็มีเสียงพูดคุยดังขึ้นเป็นครั้งคราว
  ในเวลานั้นยอดฝีมือกว่าหกร้อยคนก็ได้มารวมตัวกันอยู่ที่หุบเขาหลงเฟยแล้ว ทุกคนต่างก็เป็นชาวยุทธที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ และส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในด่านสุดท้ายขั้นเซียงเทียน มีราวสี่สิบคนเท่านั้นที่อยู่ในขั้นพลังเหนือธรรมชาติ
  หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกครอบคลุมทั่วทั้งหุบเขาแห่งนี้ควบคู่กับการใช้วิชาเคลื่อนย้ายธาตุ ภายใต้จิตหยั่งรู้ของเขานั้น มียอดฝีมือที่เขาคุ้นหน้าอยู่หลายคนเลยทีเดียว
  ไม่ว่าจะเป็นเส้าหลินบู๊ตึ๊ง สำนักกระบี่เทวะ สำนักหมัดเทวะ ทวนตระกูลเล่ย…
  แต่ยอดฝีมือขั้นสูงสุดในเวลานี้ดูเหมือนจะเป็นระดับสามขั้นพลังเหนือธรรมชาติเท่านั้นเห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือที่ล้ำเลิศจริงยังไม่ปรากฏตัว!
  ‘หึ..คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอสหายเก่าที่นี่ ดูท่าคงจะเลี่ยงไม่ได้อีกแล้วสินะ..’
  หลิงหยุนได้แต่แอบถอนหายใจเวลานี้เขาไม่ได้ใช้พลังของตนทำการเปลี่ยนรูปลักษณ์ หากยอดฝีมือเหล่านั้นพบเห็นเข้า ย่อมต้องสามารถจดจำได้ทันที!
  “น้องหลี่เฉินเหตุใดจึงออกไปนานเช่นนี้ พวกเจ้าสองคนออกไปทำอะไรกัน”
  ทันทีที่เห็นเฉิงเม่ยเฟิงกับหลิงหยุนเดินกลับมาพร้อมกันศิษย์พี่หลี่ซื่อก็รีบเอ่ยถามด้วยความสงสัย
  หลังจากที่หลี่ซื่อกลับจากการออกไปสืบเรื่องการประมูลนางจึงได้รู้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงพาหลิงหยุนออกไปพูดคุยข้างนอก เพื่อช่วยให้เขาได้ฟื้นคืนความได้จำเร็วขึ้น ในใจก็เริ่มกระวนกระวาย และหากไม่ใช่เพราะหลี่สุ่ยกับคนอื่นๆห้ามไว้แล้วล่ะก็ นางจะต้องออกไปตามหาเฉิงเม่ยเฟิงกับหลิงหยุนเป็นแน่
  นางหาได้เป็นห่วงเฉิงเม่ยเฟิงไม่แต่นางเป็นห่วงว่าหลิงหยุนจะฟื้นคืนความทรงจำได้เร็วกว่าที่คิดไว้ต่างหาก เพราะหลิงหยุนเป็นผู้ที่สามารถทำให้จิตใจของเฉิงเม่ยเฟิงหวั่นไหวได้ เขาจึงสำคักญกับหลี่ซื่อมาก!
  “ข้าพาเด็กหนุ่มผู้นี้ออกไปเดินเล่นพูดคุยเพื่อช่วยเขาฟื้นความทรงจำแต่พูดคุยถามรายละเอียดมากเกินไปหน่อย จึงได้กลับมาล่าช้าเช่นนี้!”
  เฉิงเม่ยเฟิงอธิบายให้หลี่ซื่อฟังเพียงสั้นๆแค่นั้นแต่ครั้งนี้นางไม่แม้แต่จะเรียกหลี่ซื่อว่าศิษย์พี่เหมือนเช่นเคย หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากหลิงหยุน เวลานี้เพียงแค่ได้ยินหลี่ซื่อเรียกตนว่า ‘หลี่เฉิน’ เฉิงเม่ยเฟิงก็นึกรังเกียจและสะอิดสะเอียนกับชื่อนี้ยิ่งนัก!
  อารามจิ้งซินอย่างนั้นรึ!จิ้งซินแปลว่าจิตใจที่ใสสะอาด แต่ชื่อนี้ไม่เหมาะกับอารามแห่งนี้เลย ควรจะชื่อว่าอารามไร้เมตตาทำลายคนบริสุทธิ์เสียมากกว่า
  ระหว่างนั้นหลี่ซื่อก็แอบสังเกตดูขั้นพลังของเฉิงเม่ยเฟิงและพบว่าเวลานี้ขั้นของนางกลับมาอยู่ที่ระดับเริ่มต้นของขั้นเซียงเทียน-6
  นี่นับเป็นครั้งแรกที่ที่ขั้นของเฉิงเม่ยเฟิงตกลงจากระดับสูงสุดมาสู่ระดับเริ่มต้นการฝึกฝนกำลังภายในก็ไม่ต่างจากการพายเรือนั่นล่ะ มีนิ่งอยู่กับที่บ้าง และมีถดถอยได้บ้าง และการที่กำลังภายในของเฉิงเม่ยเฟิงถดถอยเช่นนี้ ก็ยากนักที่จะฟื้นคืนกลับไปที่จุดเดิมในเวลาอันรวดเร็ว หลี่ซื่อดูสีหน้ามีความสุขยิ่งนัก
  นางแสร้งทำเป็นถามออกไปด้วยความเป็นห่วง“อ่อ.. แล้วประสกผู้นี้เป็นเช่นใดบ้าง ความทรงจำของเขาฟื้นคืนกลับมาบ้างหรือยัง?”
  เฉิงเม่ยเฟิงตอบกลับไปทันที“เขาพอจดจำอะไรได้บ้างแล้ว แต่สิ่งที่จำได้ล้วนไร้ประโยชน์ อย่างเช่นงานอดิเรกที่ชื่นชอบ.. แต่กลับยังไม่สามารถจดจำชื่อของตัวเองได้..”
  หลี่ซื่อฟังด้วยความตื่นเต้นดีใจแต่ปากก็เอ่ยออกไปว่า “น่าเสียดาย คงจะต้องรอจนถึงพรุ่งนี้สินะ!”
  จากนั้นนางก็เปลี่ยนมาพูดคุยเรื่องที่สำคัญกว่าแทน“ศิษย์น้อง คืนนี้ท่านอาจารย์มีภารกิจต้องสะสาง จึงได้มอบหมายให้อาวุโสมี่ยู่และอาวุโสท่านอื่นๆมาพาพวกเราไปงานประมูลในคืนนี้..”
  แม่ชีมี่ยู่เป็นผู้นำเฉิงเม่ยเฟิงกลับมาที่อารามจิ้งซินและภายใต้การอบรมชี้แนะของนางกว่าสามเดือน เฉิงเม่ยเฟิงก็มีฝีมือรุดหน้าจนแม่ชีมี่เจียวยอมรับนางเข้าเป็นศิษย์ของอารามจิ้งซิน และแม่ชีมี่ยู่ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นอาจารย์อีกคนของนาง
  “งั้นรึ!แล้วงานประมูลจะเริ่มเมื่อใด?”
  เวลานี้เฉิงเม่ยเฟิงเคียดแค้นแม่ชีมี่ยู่เป็นอย่างมากและไม่สามารถเอ่ยปากเรียกนางว่าอาจารย์ได้อีกต่อไป  “ท่านอาจารย์มี่ยู่บอกว่าอีกราวครึ่งชั่วโมงก็จะมาถึงแล้วล่ะ..”
  หลี่ซื่อร้องตอบพร้อมกับหันมองไปทางหลิงหยุน“แต่เจ้าคงรู้จักนิสัยของท่านอาจารย์มี่ยู่ดีแล้วสินะ หากให้นางพบประสกผู้นี้อยู่กับพวกเราด้วยแล้วล่ะก็…”
  เฉิงเม่ยเฟิงรีบขัดขึ้นทันที“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวลใจไป ข้าจะอธิบายให้นางฟังเอง!”
  “ถ้าเช่นนั้นก็ดี!เจ้าก็รับหน้าอาจารย์น้ามี่ยู่เองก็แล้วกัน!”
  หลี่ซื่อเป็นผู้คะยั้นคะยอให้เฉิงเม่ยเฟิงพาหลิงหยุนมาด้วยแต่เวลานี้กลับผลักให้เป็นความรับผิดชอบของนางแทน
  ระหว่างที่รอให้แม่ชีมี่ยู่มาถึงนั้นหลิงหยุนก็ได้จงใจแยกตัวออกจากเฉิงเม่ยเฟิงไปคุยกับแม่ชีหลี่สุ่ยและคนอื่นๆแทน ระหว่างนั้นเฉิงเม่ยเฟิงก็กำลังนั่งขัดสมาธิหลับตา แต่นางหาได้กำลังฝึกวิชาไร้ใจไม่ นางกำลังทบทวนเรื่องราวระหว่างตนกับหลิงหยุนต่างหาก เพื่อที่จะได้สามารถจดจำใบหน้าของหลิงหยุนได้โดยเร็ว
  เวลานี้ภาพที่นางเคยใช้เวลาร่วมกันกับหลิงหยุนก็ค่อยๆผุดขึ้นในความทรงจำราวกับภาพยนตร์ที่ฉายย้อนอยู่ภายในจิตใจ นางรู้สึกว่าภาพของหลิงหยุนค่อยๆเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็คล้ายมีกระดาษสีขาวบางโผล่ขึ้นมาปิดกั้นไว้
  นางได้แต่ร้องตะโกนออกมาอย่างนึกเสียดาย“อีกนิดเดียว.. อีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น!”
  ระหว่างนั้นเวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านไปกว่ายี่สิบนาทีแล้วภายในจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนได้ปรากฏภาพของเหล่าแม่ชีห้าหกคนกำลังเดินเข้ามาภายในหุบเขาแห่งนี้
  และทันทีที่มาถึงแม่ชีสูงอายุเหล่านั้นกลับจ้องมองมาทางหลิงหยุน พร้อมกับทำเสียงคำรามอย่างไม่พอใจ
  “ฮึ่ม!”   จากนั้นหนึ่งในแม่ชีสูงอายุหัวโบราณก็ได้ร้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้านับวันยิ่งไม่ใส่ใจกฏของสำนัก ลงจากเขาได้เพียงไม่นาน กลับสนิทสนมกับบุรุษรวดเร็วเช่นนี้ ช่างน่าอับอายนัก!”
  “ผู้ใดกันผู้ใดที่นำบุรุษน่ารังเกียจนี้มาด้วย?”
  ทันทีที่แม่ชีสูงอายุปรากฏตัวขึ้นบรราดาศิษย์อารามจิ้งซินก็ถึงกับหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
  “ข้าเอง!”
  ทันทีที่ได้ยินแม่ชีมี่ยู่เอ่ยถามออกมาเช่นนั้นเฉิงเม่ยเฟิงก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินออกไปด้านหน้าทันที
  “ท่านอาจารย์ข้าเป็นคนพาเด็กหนุ่มผู้นี้มาด้วยเอง ท่านได้โปรดฟังคำอธิบายของข้าก่อน..”
  แม้เฉิงเม่ยเฟิงจะโกรธเกลียดแม่ชีมี่ยู่มากเพียงใดแต่ก็ต้องทนกัดฟันเอ่ยเรียกนางว่าอาจารย์ออกมา..
  “หลี่เฉินเจ้าหุบปากได้แล้ว!”
  แต่กลับคิดไม่ถึงว่าแม่ชีมี่ยู่จะไม่ยอมฟังคำอธิบายของเฉิงเม่ยเฟิงเลยแม้แต่น้อยจากนั้นนางก็หันไปทางหลี่ซื่อ
  “หลี่ซื่อ..เจ้า..”
  “อาจารย์น้าข้าไม่เกี่ยวนะ เรื่องนี้เป็นความประสงค์ของนาง..”
  หลี่ซื่อรีบปฏิเสธเพื่อเอาตัวรอดทันทีจากนั้นจึงได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับอาจารย์น้าของตนฟันพร้อมย้ำว่า
  “หลี่เฉินยืนกรานที่จะพาเขามาด้วยพวกเราตั้งใจว่ารอให้เขาฟื้นความทรงจำได้เมื่อใด พรุ่งนี้ก็จะส่งเขาออกไปจากที่นี่..”
  “หึ!”
  แม่ชีมี่ยู่ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจจากนั้นจึงคำรามลั่นพร้อมหันไปมองหน้าหลิงหยุน “ความจำเสื่อมงั้นรึ! ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่หกล้มแล้วความจำเสื่อม? ข้าว่าเขากำลังหลอกลวงพวกเจ้าต่างหาก!”
  หนึ่งในแม่ชีที่ยืนอยู่ด้านหลังแม่ชีมี่ยู่ได้ฟังเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยปากขัดขึ้นว่า “ศิษย์น้อง แม้พวกนางจะทำผิดกฏด้วยการพูดจากับบุรุษ แต่ผู้มีวรยุทธเช่นเราหากพบเห็นผู้ตกทุกข์ได้ยาก ก็ควรต้องช่วยเหลือมิใช่รึ”
  “เอ่อ..”แม่ชีมี่ยู่ไม่กล้ากล่าวอันใดอีก จึงได้แต่ตอบกลับไปว่า “จริงดังเช่นศิษย์พี่สองกล่าว!”
  แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่ยินยอมและได้หันไปสั่งเฉิงเม่ยเฟิงว่า “เอาล่ะ พรุ่งนี้ไม่ว่าเขาจะสามารถจดจำอะไรได้หรือไม่ ข้าจะหาคนส่งเขาออกจากหุบเขาแห่งนี้เอง พวกเจ้าศิษย์อารามจิ้งซินห้ามยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกโดยเด็ดขาด!”
  ทันทีที่เฉิงเม่ยเฟิงได้ฟังคำสั่งของแม่ชีมี่ยู่จิตใจของนางถึงกับสั่นสะท้านอย่างรุนแรง!
  หลิงหยุนยังคงนั่งมองท่าทางของแม่ชีมี่ยู่ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง..   ในสายตาของเขาแม่ชีมี่ยู่ได้กลายเป็นร่างที่ไร้วิญญาณไปแล้วยิ่งนางแสดงกิริยาดุดันออกมามากเพียงใด นางก็จะยิ่งตายในสภาพเลวร้ายมากขึ้นเท่านั้น..
  ��