ในขณะที่หลิงหยุนยังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแต่เฉิงเม่ยเฟิงกลับมีสีหน้ากระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ได้ฟังคำพูดของแม่ชีมี่ยู่!
เพราะหากแม่ชีมี่ยู่หาคนส่งหลิงหยุนออกไปนอกหุบเขาได้จริงแผนการทั้งหมดของเฉิงเม่ยเฟิงที่วางไว้ก็ต้องเป็นอันล้มเหลว!
เป็นที่แน่ชัดว่าเมื่อกลุ่มของแม่ชีมี่ยู่มาถึงที่นี่แล้วเฉิงเม่ยเฟิงจะต้องอยู่กับกลุ่มเม่ชีนี้จนกว่าจะเสร็จสิ้นงานชุนุมชาวยุทธในวันพรุ่งนี้ แม้แต่จะปลีกตัวไปคลุกคลีอยู่กับบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกันก็ยังทำไม่ได้ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงหลิงหยุน
ตอนนี้นางยังคงไม่รู้ทั้งชื่อและข้อมูลสำหรับติดต่อของเด็กหนุ่มผู้นี้หากเขาถูกผู้อื่นส่งออกนอกหุบเขาไป การจะตามหาเด็กหนุ่มผู้นี้ให้พบอีกครั้ง ก็จะยากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร หากเป็นเช่นนี้จริงก็จะเหลืออีกเพียงแค่หนทางเดียวเท่านั้นคือ หลังจากคืนพรุ่งนี้นางจะต้องหาทางหนีออกจากการควบคุมของอารามจิ้งซิน แล้วกลับไปที่เมืองจิงฉู หรือไม่ก็กลับไปปักกิ่งเพื่อไปตามหาหลิงหยุนที่มหาวิทยาลัยหยานจิง นางจึงจะมีโอกาสได้พบเจอหลิงหยุนได้!
แต่หากเกิดการต่อสู้กันขึ้นเฉิงเม่ยเฟิงก็อาจอาศัยโอกาสที่ประมือกันนี้สังหารแม่ชีมี่ยู่เพื่อเป็นการล้างแค้นได้ แต่เวลานี้มีแม่ชีอาวุโสของอารามจิ้งซินอยู่อีกมากมายหลายคน อีกทั้งมี่เจียวซือไท่เองก็กำลังจะตามมาสมทบ ด้วยความแข็งแกร่งของนางเวลานี้ไม่มีทางที่จะสามารถหลบหนีออกไปได้แน่
ครั้งนี้ยอดฝีมือระดับสูงของอารามจิ้งซินยี่สิบกว่าคน ต่างก็ลงเขามาเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมชาวยุทธในครั้งนี้ ด้วยขั้นพลังของเฉิงเม่ยเฟิงเวลานี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถเอาชนะแม่ชีมี่เจียวและอาวุโสคนอื่นที่อยู่ในขั้นพลังเหนือธรรมชาติได้ เฉิงเม่ยเฟิงมองไม่เห็นโอกาสที่จะหลบหนีได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ในระหว่างที่เฉิงเม่ยเฟิงกระวนกระวายใจอยู่นั้นนางกลับไม่รู้เลยว่าเด็กหนุ่มที่นางคิดว่าไร้ซึ่งวรยุทธผู้นี้ แท้ที่จริงก็คือหลิงหยุน และเขาก็ได้เตรียมการทุกอย่างไว้เพื่อที่จะนำตัวนางกลับไปอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้เฉิงเม่ยเฟิงจึงรีบร้องตะโกนตอบกลับไปว่า“ไม่ได้! เด็กหนุ่มผู้นี้สูญเสียความทรงจำเพราะข้าเป็นเหตุ ข้าเป็นผู้ที่พาเขามายังหุบเขาหลงเฟยด้วย จะปล่อยเขาทิ้งขว้างๆได้อย่างไรกัน และหากท่านอาจารย์ให้ผู้อื่นส่งเขาออกจากหุบเขาแทนข้าทั้งที่เขายังไม่สามารถจดจำอะไรได้เช่นนี้ ไม่เท่ากับข้าทำร้ายเขาทางอ้อมงั้นรึ?!”
ระหว่างที่โต้เถียงกับแม่ชีมี่ยู่นั้นเฉิงเม่ยเฟิงก็หันไปมองหลิงหยุนอย่างเปิดเผย เพื่อหวังให้เขาแสร้งทำเป็นโอดครวญร่วมมือกับนาง เพื่อให้แม่ชีมี่ยู่อนุญาตให้นางเป็นผู้ส่งเขาลงจากหุบเขา
เวลานี้ความหวังในการหลบหนีออกจากอารามจิ้งซินของเฉิงเม่ยเฟิงนั้นฝากไว้ที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเฉิงเม่ยเฟิงได้แต่คิดว่าขอเพียงแค่ได้เห็นหน้าหลิงหยุนอีกครั้งแม้นต้องตายก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนกลับทำสีหน้านิ่งเรียบไม่รับรู้เขาจ้องมองแม่ชีมี่ยู่พร้อมกับยิ้มออกมา ราวกับจะบอกว่าแม่ชีมี่ยู่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่!
หลิงหยุนคร้านที่จะใส่ใจกับแม่ชีมี่ยู่ผู้ที่เปรียบเสมือนร่างไร้วิญญาณในสายตาของเขาแล้ว.. novel-lucky
“หลี่เฉินเจ้าจะไปไม่ได้ เจ้าต้องอยู่ที่นี่!”
แม่ชีมี่ยู่ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นพร้อมกับจ้องมองเฉิงเม่ยเฟิงอยู่ครู่หนึ่ง“หลี่เฉิน ตั้งแต่เจ้าลงจากเขามา ดูเหมือนเจ้าจะทำผิดกฏของสำนักหลายข้อ คำพูดของอาจารย์เจ้ายังกล้าขัดขืนเช่นนี้! ไม่เท่ากับเห็นกฏของสำนักไม่มีความหมายหรอกรึ”
“หึ..เจ้าอย่าได้คิดว่าเป็นศิษย์คนโปรดของเจ้าสำนักแล้วจะประพฤติตนเช่นใดก็ได้และข้าไม่มีศิษย์สั่งสอนเจ้า อย่าลืมว่าเจ้ายังคงเป็นศิษย์ของข้าอยู่!”
“แล้วก็อย่าได้ทะนงว่าตนเองมีพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศและโอสถหลงหู่ที่เจ้าเพิ่งกลืนเข้าไปเมื่อคืนนี้ได้ช่วยให้เจ้าเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-6 ก็จริง แต่อย่าคิดว่าจะสามารถเอาชนะข้าได้..”
“หลี่เฉินเจ้าอย่าได้คิดว่าข้าไม่รู้อะไร ตลอดระยะเวลาหกเดือนที่ผ่านมานั้น เจ้าโกรธแค้นข้ามาโดยตลอดที่บังคับให้เจ้ากลืนโอสถไร้ใจในครั้งนั้น และไม่เคยเคารพนับถือข้าเลยแม้แต่น้อย!”
เป็นเพราะการปรากฏตัวโดยบังเอิญของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้ความขัดแย้งระหว่างเฉิงเม่ยเฟิงกับแม่ชีมี่ยู่ที่เก็บเอาไว้ภายในใจเป็นเวลานาน ได้ระเบิดออกมาในที่สุด!
“หลี่เฉินเจ้าเป็นศิษย์ของอารามจิ้งซิน แต่กลับห่วงใยในตัวเด็กหนุ่มผู้นี้จนเกินงาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าการกระทำของเจ้านั้นขัดแย้งกับกฏของสำนัก อีกทั้งยังสร้างความเสื่อมเสียให้กับอารามจิ้งซิงด้วย!”
สายตาของแม่ชีมี่ยู่จับจ้องอยู่ที่ร่างของเฉิงเม่ยเฟิงพร้อมกับร้องตะโกนตำหนินางอย่างไม่พอใจ และพร่างพรูคำพูดต่างๆออกมาไม่หยุด แต่แล้วจู่ๆ แม่ชีมี่ยู่ก็ถึงกับต้องนิ่งอึ้งไป! ก่อนจะร้องอุทานออกมาว่า
“ห๊ะ..ระดับเริ่มต้นขั้นเซียงเทียน-6 งั้นรึ นี่เจ้า.. จู่ๆพลังของเจ้าตกลงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?!”
แม้แม่ชีมี่ยู่จะมีพรสวรรค์ที่ด้อยกว่าเฉิงเม่ยเฟิงและเวลานี้นางก็อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-5 เท่านั้น แต่เป็นเพราะนางฝึกวิชาไร้ใจมานาน จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับพลังปราณที่ฝึกด้วยวิชานี้มาก จึงสามารถมองออกว่าขั้นพลังของนางได้ตกลงจากเดิม
“ศิษย์พี่สองศิษย์พี่ห้า ศิษย์พี่เจ็ด.. พวกท่าน.. พวกท่านเห็นเช่นข้าหรือไม่ว่าพลังปราณของหลี่เฉินได้ตกต่ำลง!”
หลังจากที่แม่ชีมี่ยู่ร้องตะโกนถามออกไปเพื่อให้มั่นใจนั้นนางก็สังเกตเห็นแววตาของศิษย์พี่ที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
ศิษย์พี่สองของนางเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า“พลังปราณของนางตกลงจริงๆ เพียงแค่วันเดียวพลังปราณของหลี่เฉินตกลงมาถึงสองขั้นอยู่ในระดับเริ่มต้นเชียวรึ”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!ไม่น่าจะเป็นไปได้! เมื่อคืนหลี่เฉินเพิ่งจะกลืนโอสถหลงหู่ไป ท่านเจ้าสำนักเคยบอกว่าอย่างต่ำอีกหกเดือนนางก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-7 ได้แล้ว แล้วนี่..”
แม่ชีมี่ยู่เริ่มตระหนกตกใจเพราะการที่เฉิงเม่ยเฟิงนับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากผู้หนึ่ง ทำให้ตัวนางเองมีโอกาสได้ทรัพยากรสำหรับฝึกฝนมากขึ้นเด้วยเช่นกัน และหากไม่มีเฉิงเม่ยเฟิง ลำพังเพียงแค่พรสวรรค์ของนางเอง ป่านนี้นางก็ยังคงอยู่ในขั้นเซียงเทียน-2 เท่านั้น
หลี่ซื่อซึ่งอยู่ใกล้ๆได้เห็นแววตาผิดวหวังของเหล่าอาจารย์ ก็ถึงกับจิตใจลิงเโลดด้วยความสุข นางรู้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงหมดคุณสมบัติที่จะได้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไปแน่!
“หลี่เฉิน!”
แม่ชีมี่ยู่ร้องตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล“เจ้าพูดมาว่าเกิดอะไรขึ้น”
แม่ชีมี่ยู่รู้ได้ทันทีว่าเหตุผลเดียวที่จะมีอิทธิพลต่อการฝึกวิชาไร้ใจจนทำให้พลังปราณของเฉิงเม่ยเฟิงตกต่ำได้ถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่เพราะฤทธิ์ของโอสถไร้ใจที่นางกลืนเข้าไปหมดอานุภาพ ก็ต้องเป็นชายหนุ่มคนใหม่ที่มีผลต่อจิตใจของนาง
แต่อานุภาพของโอสถไร้ใจนั้นทุกคนต่างก็รู้ดีว่าทรงพลังมากเพียงใด อีกทั้งเวลานี้เฉิงเม่ยเฟิงก็ได้ฝึกวิชาไร้ใจด้วย จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่นางจะสามารถจดจำหลิงหยุนได้อีก!
“เรียนท่านอาจารย์น้าทุกท่านดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้จะมีผลต่อจิตใจของน้องหลี่เฉิน..”
หลี่ซื่อไม่รอช้ารีบให้ข้อมูลเพิ่มเชื้อไฟขึ้นทันที! “อะไรนะ!”
แม่ชีมี่ยู่ร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโหนางยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนออกมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ข้าจะฆ่าปีศาจนี่ทิ้งซะ!”
ระหว่างที่ร้องตะโกนออกไปเช่นนั้นร่างของแม่ชีมี่ยู่ก็กระโจนเข้าไปใกล้ร่างของหลิงหยุนแล้ว
เฉิงเม่ยเฟิงเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับตกใจอย่างมากนางรู้ได้ทันทีว่าภายอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยวของแม่ชีมี่ยู่เวลานี้ ยากนักที่หลิงหยุนจะสามารถมีชีวิตรอดจากฝ่ามือที่ซัดออกไปได้
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนยังคงยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่รู้ว่าเวลานี้ตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาเพียงใด เขายังคงยืนยิ้มจ้องมองแม่ชีมี่ยู่ที่อยู่ในอาการเดือดดาล
ในระหว่างนั้นหลิงหยุนเองก็ได้แต่คิดอยู่ในใจว่า‘นังโจรเฒ่า ความจริงข้าตั้งใจให้เจ้ามีโอกาสได้อยู่หายใจบนโลกให้นานกว่านี้สักหน่อย แต่เจ้ากลับรนหาที่ตายเร็วขึ้น!’
หลิงหยุนยังคงยืนนิ่งพร้อมกับจ้องมองฝ่ามือของแม่ชีมี่ยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคยและกำลังรอให้ฝ่ามือนั้นเข้าใกล้ร่างของตนมากกว่านี้
แต่ในเวลานั้นเองเฉิงเม่ยเฟิงซึ่งคิดว่าหลิงหยุนกำลังตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูกนั้น จึงได้กัดฟันและพุ่งร่างของตนเข้าขวางหน้าหลิงหยุนไว้
“ท่านอาจารย์ศิษย์ได้รับปากเด็กหนุ่มผู้นี้แล้วว่าจะปกป้องเขาให้ปลอดภัย หากท่านอาจารย์ต้องการที่จะฆ่าเขา ก็ต้องลงมือสังหารข้าก่อน!”
คิ้วคู่งามทั้งสองขมวดเข้าหากันแน่นดวงตาเรียวดั่งหงส์จ้องมองแน่นิ่งไม่หวั่นไหวต่อความตาย..
แต่ภายในจิตใจของเฉิงเม่ยเฟิงที่มีความเคียดแค้นในตัวแม่ชีมี่ยู่อยู่แล้วนั้นก็ไม่ลังเลใจที่จะตอบโต้เช่นกันหากแม่ชีมี่ยู่คิดสังหารตนจริงๆ นางกระชับกระบี่ในมือแน่นและพร้อมที่จะสู้ตาย
เฉิงเม่ยเฟิงยืนเผชิญหน้ากับแม่ชีมี่ยู่ผู้ที่มีแต่ความเห็นแก่ตัวและร้ายกาจไม่ต่างจากปีศาจดีๆนี่เอง!
“หลี่เฉิน..เจ้า!!”
เมื่อแม่ชีมี่ยู่เห็นเฉิงเม่ยเฟิงกระโดดเข้ามาขวางหน้าระหว่างตนกับเด็กหนุ่มไว้และประกาศยอมตายเช่นนี้ ความโกรธของนางจึงพุ่งขึ้นถึงขีดสุดจนแทบเป็นบ้า
แม่ชีมี่ยู่ได้ใช้ชีวิตเด็กหนุ่มตรงหน้าทดสอบอารมณ์ของเฉิงเม่ยเฟิงผู้หญิงที่กลืนโอสถไร้ใจเข้าไป และฝึกฝนพลังด้วยวิชาไร้ใจเช่นนี้ จะมีจิตใจที่เย็นชา และไม่สามารถยอมตายเพื่อชายใดได้ เว้นแต่ว่านางจะมีอารมณ์ดังเช่นหญิงสาวทั่วไปกลับคืนมาเท่านั้น
ภาพที่กำลังเกิดขึ้นเวลานี้ไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่นางบีบบังคับให้เฉิงเม่ยเฟิงกลืนโอสถไร้ใจ โดยใช้ชีวิตของหลิงหยุนเป็นข้ออ้าง ช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก!
เพียงแต่ครั้งนี้คนที่เฉิงเม่ยเฟิงกำลังใช้ชีวิตของตนปกป้องนั้น เป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น!
“หลี่เฉิน!เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้านะ!”
ระหว่างที่ร้องตะโกนออกไปนั้นแม่ชีมี่ยู่ก็ได้ยกฝ่ามือขึ้นเตรียมซัดออกไปอีกครั้ง และเป็นไปได้มากที่จะซัดฝ่ามือใส่ร่างของเฉิงเม่ยเฟิง!
ในเมื่อเฉิงเม่ยเฟิงเริ่มกลับมามีความรู้สึกรักฉันท์ชายหญิงในโลกอีกครั้งจึงสมควรที่นางจะต้องถูกกำจัด
แต่แม่ชีมี่ยู่กลับมีท่าทีลังเลเพราะถึงแม้พลังปราณของเฉิงเม่ยเฟิงจะตกต่ำลงถึงสองขั้น แต่นางก็อยู่ในขั้นเซียงเทียน-6 อีกทั้งนางยังเป็นศิษย์คนโปรดของท่านเจ้าสำนัก ต่อให้นางผิดถึงขึ้นมีโทษตายจริง ตนก็ไม่มีสิทธิ์ถือวิสาสะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แม่ชีมี่ยู่เริ่มรู้สึกหวาดกลัว!
“น้องมี่ยู่เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”
ระหว่างที่กำลังลังเลใจอยู่นั้นศิษย์พี่สองของนางจึงร้องห้ามเอาไว้พร้อมกับพูดออกไปว่า “หลี่เฉินตกต่ำลงไปเพียงแค่สองระดับย่อย ยังไม่ใช่เหตุผลที่จะสามารถสังหารนางได้!”
“และการที่นางต้องการปกป้องเด็กหนุ่มผู้นี้ก็เป็นเพราะต้องการรักษาคำสัญญาของตนที่ได้ให้ไว้กับเขาเท่านั้น”
ศิษย์พี่สองเป็นฝ่ายร้องห้ามแม่ชีมี่ยู่ที่กำลังคลุ้มคลั่งพลันสายตาของนางก็เหลือบไปเห็นก้อนหินในมือของเฉิงเม่ยเฟิง พร้อมกับเอ่ยว่า
“การที่จู่ๆหลี่เฉินขั้นพลังตกลงนั้นอาจเป็นเพราะสาเหตุอื่นก็ได้!”
“หลี่เฉินส่งก้อนหินในมือเจ้ามาให้ข้า!”