ศิษย์พี่สองผู้นี้นามว่ามี่หลินอยู่ในขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับสอง และเป็นหนึ่งในศิษย์อาวุโสของอารามจิ้งซิน ฐานะของนางในสำนักจึงนับว่าสูงส่งไม่น้อย
  นางสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นนานแล้วเพียงแต่ยังไม่เอ่ยปากพูดออกมา นางสังเกตเห็นเฉิงเม่ยเฟิงกำศิลาก้อนนั้นไว้ในมือแน่น สีหน้าและน้ำเสียงที่พูดออกมาก็สงบนิ่งอย่างน่าสังสัย
  “ค่ะอาจาย์น้า”
  ที่นี่แม่ชีมี่หลินนับว่าอาวุโสที่สุดแล้วเฉิงเม่ยเฟิงจึงไม่กล้าขัดคำสั่งนาง และได้มอบศิลาในมือให้กับแม่ชีมี่หลินทันที
  แม่ชีมี่หลินรับศิลามาถือไว้และสัมผัสได้ถึงความหนักที่ผิดปกติของมัน อีกทั้งความเย็นที่แผ่นซ่านไปทั่วทั้งฝ่ามือทำให้จิตใจของนางสงบนิ่งดั่งน้ำใส  “ที่แท้หินก้อนนี้ก็คือศิลาเกลาใจ!”
  ความรู้ของแม่ชีมี่หลินนับว่าเหนือกว่าแม่ชีคนอื่นๆในที่นี้มากทันทีที่นางสัมผัสหินก้อนนี้ ก็สามารถบอกได้ถูกต้องทันทีว่ามันคือศิลาเกลาใจ!
  “หลี่เฉินบอกอาจารย์มาว่าเจ้าได้ศิลาก้อนนี้มาอย่างไร”
  เฉิงเม่ยเฟิงได้ฟังถึงกับนึกประหลาดใจและถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่งแต่แล้วก็ตอบแม่ชีมี่หลินไปตามความจริง
  “ตอบท่านอาจารย์น้าน้องชายผู้นี้เก็บได้ และได้มอบให้แก่ศิษย์!”
  สายตาทุกคู่ของเหล่าแม่ชีจากอารามจิ้งซินต่างก็หันขวับไปทางหลิงหยุนพร้อมๆกัน
  แม่ชีมี่หลินเดินถือศิลาเกลาใจผ่านหน้าเฉิงเม่ยเฟิงเข้าไปหาหลิงหยุนทันที“ประสกน้อย เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าได้ศิลาก้อนนี้มาจากที่ใด และได้มาอย่างไร?”
  “จากตรงนั้น!”   หลิงหยุนตอบพร้อมกับชี้ไปทางที่เขาแสร้งหยิบมันขึ้นมาในใจได้แต่นึกขันอย่างสนุกสนาน
  แม่ชีมี่หลินหันเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจไปยังทิศทางที่หลิงหยุนชี้แล้วจึงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
  “แล้วเจ้าไปทำอะไรที่นั่น”
  หลิงหยุนตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ข้าไปทำธุระน่ะสิ.. ฉี่ไง!!”
  ทันทีที่หลิงหยุนพูดออกไปสีหน้าของเหล่าแม่ชีก็พลันเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน เพราะหลิงหยุนพูดจาตรงไปตรงมามากจนเกินไป พวกนางถึงกับรีบเมินหน้าหนี
  “แล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องมอบศิลาก้อนนี้ให้กับหลี่เฉินด้วยเหตุใดเจ้าจึงไม่เก็บไว้เอง?”
  แม่ชีมี่หลินถามหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งนางจ้องลึกลงไปในดวงตาของหลิงหยุนราวกับว่ากำลังที่จะจับพิรุธอะไรบางอย่าง
  “ไม่มีเหตุผล!ข้าพบมันเข้า ก็เลยนึกถึงพี่สาวคนสวย จึงอยากมอบให้นางเป็นของขวัญ ก็เท่านั้นเอง..”
  หลิงหยุนตอบคำถามของแม่ชีมี่หลินกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนักและจงใจพูดจายั่วยวนแม่ชีมี่ยู่
  หลิงหยุนรู้ดีว่าศิลากลั่นวิญญาณนี้นับเป็นศัตรูของโอสถไร้ใจและวิชาไร้ใจของอารามจิ้งซิน ที่มุ่งให้ผู้ที่กลืนโอสถและฝึกวิชาลืมเลือนชายที่ตนรัก และเรื่องราวความรักทั้งหมดบนโลกใบนี้
  แต่อานุภาพของศิลากลั่นวิญญาณนี้กลับช่วยปลุกให้จิตใจของคนผู้นั้นตื่นขึ้น และฟื้นฟูสภาพจิตใจให้ใสสว่างกลับเป็นปกติ เช่นนี้แล้วจะไม่เรียกว่าเป็นศัตรูได้อย่างไรกัน!
  และหากหลิงหยุนนำศิลากลั่นวิญญาณที่หนักร้อยกว่ากิโลกรัมไปตั้งกลางอารามจิ้งซินอารามจิ้งซินไม่ต้องปิดสำนักไปเลยอย่างนั้นรึ
  แต่แล้วจู่ๆแม่ชีมี่หลินก็พุ่งเข้าไปคว้าข้อมือของหลิงหยุนไว้และเริ่มทดสอบว่าหลิงหยุนไม่มีวรยุทธจริงหรือไม่
  ความจริงแล้วนางเองก็ได้ใช้จิตหยั่งรู้ของตนสำรวจเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่นานแล้วแต่กำลับไม่สามารถตรวจพบพลังปราณพวยพุ่งออกมาเลยแม้แต่น้อย นางเห็นเขาเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลามากเท่านั้น!
  แต่เมื่อพบเห็นศิลาเกลาใจเช่นนี้นางกลับยิ่งสงสัยในตัวเด็กหนุ่มมากขึ้น จึงต้องการที่จะพิสูจน์ด้วยตนเองอีกครั้ง..
  หลิงหยุนกลับยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไม่หลบหนี และปล่อยให้นางสำรวจได้ตามใจชอบ
  ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็ได้รวบรวมพลังปราณทั้งหมดทั่วร่างของตนเข้าไปเก็บไว้ในจุดตันเถียนที่น่าอัศจรรย์ของตน ด้วยวิธีนี้อย่าว่าแต่แม่ชีมี่หลินที่อยู่ในขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับสองเลย ต่อให้เป็นโจวเหวินอี้ก็ยังยากที่จะตรวจพบพลังปราณในร่างกายของเขาได้
  แต่ต่อให้อีกฝ่ายตรวจพลังปราณของเขาจริงเขาก็ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่น และพร้อมที่จะประมือกับบรรดาแม่ชีของอารามจิ้งซินทันที!
  “ประสกน้อยช่างมีร่างกายที่วิเศษนักเป็นร่างกายที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ล้ำเลิศมากทีเดียว!”
  หลังจากนั้นแม่ชีมี่หลินก็ปล่อยข้อมมือหลิงหยุนพร้อมกับส่ายหน้าไปมา“น่าเสียดาย.. น่าเสียดายยิ่งนัก..”
  ที่นางบ่นเสียดายนั้นเพราะหลิงหยุนเป็นบุรุษในความเห็นของนางนั้น หากเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ฝึกวรยุทธและกำลังภายใน ความก้าวหน้าของเขาจะรวดเร็วอย่างน่าทึ่งมากทีเดียว!
  “อ่อ..เพื่อนข้าเองก็บอกกับข้าแบบนี้เช่นเดียวกัน!”
  หลิงหยุนแสร้งทำสีหน้าภูมิอกภูมิใจและคำพูดของเขาประโยคนี้ก็ทำให้เฉิงเม่ยเฟิงถึงกับกังวลจนเหงื่อตก นางเกรงว่าเด็กหนุ่มจะหลุดพูดชื่อหลิงหยุนออกมานั่นเอง เพราะหากเป็นเช่นนั้นทุกอย่างก็จะต้องจบสิ้นทันที!   “หากเจ้ามีโอกาสเช่นนั้นก็ดี..”
  หลังจากที่แม่ชีมี่หลินสำรวจด้วยตัวเองจนมั่นใจแล้วในที่สุดนางก็เอ่ยออกมาว่า “เขาไม่มีวรยุทธจริงๆ!”
  เวลานี้แม่ชีมี่หลินเชื่อแล้วว่าหลิงหยุนบังเอิญเก็บศิลาก้อนนี้ได้ในระหว่างที่ไปทำธุระส่วนตัวจริงๆนางได้แต่แอบคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ช่างโชคดีอย่างที่สุด!
  เด็กหนุ่มผู้นี้มีร่างกายที่วิเศษมีพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศ และมีโชคที่ยิ่งใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีวรยุทธ!
  ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็ได้แต่นึกเย้ยหยันอยู่ในใจ‘หึ คิดจะสำรวจพลังปราณของข้า เจ้ายังอ่อนด้อยนัก!’
  “ปัญหาของหลี่เฉินไม่ได้อยู่ที่เด็กหนุ่มผู้นี้แต่เป็นเพราะศิลาก้อนนี้ต่างหาก..” แม่ชีมี่หลินหันไปพูดับศิษย์น้องมี่ยู่
  จากนั้นจึงหันไปพูดกับเฉิงเม่ยเฟิง“หลี่เฉิน หินก้อนนี้คือศิลาเกลาใจ เป็นศัตรูกับวิชาของอารามจิ้งซินเรา เจ้าไม่ควรถือมันไว้ในมืออีก ข้าจะเก็บไว้ก่อน แล้วจะนำไปมอบให้ท่านเจ้าสำนักจัดการอีกที!”
  “ค่ะอาจารย์!ศิษย์น้อมรับคำสั่ง..”
  เฉิงเม่ยเฟิงเพิ่งจะรู้ว่าศิลาก้อนนี้มีความสำคัญกับตนมากเช่นใดแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงได้แต่มองแม่ชีมี่หลินเก็บศิลาเกลาใจก้อนนั้นไป
  นางไม่ได้อยากได้ศิลาก้อนนั้นมาครอบครองนางเพียงแค่เกรงว่าหากไม่มีศิลาก้อนนั้นแล้ว นางจะหลงลืมหลิงหยุนไปจากใจอีก!
  หลิงหยุนรู้คาดว่าเวลานี้พลังอมตะสีม่วงภายในร่างกายของเฉิงเม่ยเฟิงคงเริ่มออกฤทธิ์แล้วและประสิทธิภาพของมันย่อมเหนือกว่าศิลากลั่นวิญญาณมากนัก ต่อให้แม่ชีมี่หลินยึดศิลากลั่นวิญญาณไป ก็ไม่ได้มีผลร้ายต่อเฉิงเม่ยเฟิงเลย
  และสำหรับศิลกาก้อนนี้ตราบใดที่เขาลงมือ ย่อมสามารถนำศิลากลับคืนมาได้อย่างแน่นอน หลิงหยุนจึงไม่ได้นึกกังวลใจแต่อย่างใด
  “ศิษย์น้องมี่ยู่อารามจิ้งซินของเราเป็นชาวยุทธฝ่ายธรรมะ จะทำสิ่งใดควรไตร่ตรองด้วยเหตุผล ไม่ใช่เอาแต่ร้องตะโกนคลุ้มคลั่งและจะฆ่าคนเพียงถ่ายเดียวดังเช่นที่เจ้าทำเมื่อครู่ ไม่เช่นนั้นสักวันเจ้าคงต้องเข้าสู่เส้นทางมารอย่างแท้จริง!”
  แม่ชีมี่หลินเหลือบมองแม่ชีมี่ยู่พร้อมกับกล่าวตักเตือนด้วยคำพูดที่ค่อนข้างรุนแรง..
  “ขอบคุณศิษย์พี่ที่ตักเตือนข้ารู้ตัวว่าทำผิดไปแล้ว!”
  แม้แม่ชีมี่ยู่จะรีบยอมรับความผิดของตนทันทีเช่นนั้นแต่ภายในใจกลับโกรธแค้นเด็กหนุ่ม และแม่ชีมี่หลินที่กล้าสั่งสอนนางต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้
  ‘หึรอให้ข้าเหนือกว่าท่านก่อนเถิด ข้าจะส่งสั่งสอนท่านกลับบ้าง!’
  แม่ชีมี่ยู่ไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อครู่ตนเองเกือบจะก้าวเท้าเข้าสู่ประตูนรกเสียแล้ว แต่เป็นแม่ชีมี่หลินที่มาช่วยดึงนางกลับไปได้ทันเวลา!
  …….
  “การประมูลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!”
  ในเวลานั้นเองภายในลานกว้างของหุบเขาหลงเฟย เสียงร้องตะโกนก็ดังขึ้น เหล่าชาวยุทธที่แยกย้ายจับกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ก็ได้ขยับขยายไปรวมกันอยู่ที่ลานกว้างทันที
  ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้วท้องฟ้าจึงมืดสนิท แต่ก็มีแสงสว่างไสวจากพระจันทร์เต็มดวงบนฟากฟ้า และคบไฟที่จุดอยู่ทั่วบริเวณ อีกทั้งความมืดก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อเหล่าชาวยุทธนี้ด้วย
  คืนนี้หลิงหยุนไม่กล้าโคจรดาราคุ้มกายเพราะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง พลังจันทราจึงค่อนข้างมีพลังมาก เขาเกรงว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้ผู้คนในหุบเขาหลงเฟยแห่งนี้หันมาสนอกสนใจเขาแต่เพียงผู้เดียวได้  แต่ถึงแม้หลิงหยุนจะไม่สามารถโคจรดาราคุ้มกายได้แต่แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมานี้ ก็ได้ชะโลมร่างของเขาให้เกิดความสบายยิ่งนัก
  หลิงหยุนค่อนข้างมั่นใจว่าในคืนพรุ่งนี้เขาจะสามารถทะลวงเข้าสู่ดาราคุ้มกายด่านที่สามได้เป็นแน่..
  ผู้ที่ฝึกวิชาดาราคุ้มกายถึงระดับสูงสุดของขั้นที่หนึ่งซึ่งก็คือระดับที่เจ็ดนั้นร่างกายจะทานทนต่อไฟได้ และเมื่อเข้าสู่ระดับสูงสุดของด่านที่สองซึ่งก็คือระดับที่สิบสี่นั้น ร่างกายจะทานทนได้ทั้งไฟ พิษ และของมีคม เสมือนได้สมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว
  ในด่านที่สามนั้นอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า‘ขั้นไร้บาดเจ็บ’ ชื่อของมันก็บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่มีสิ่งใดทำอันตรายได้ แต่นั่นย่อมหมายความว่าคู่ต่อสู้ต้องไม่ได้อยู่ในขั้นที่เหนือกว่าหลิงหยุน
  เวลานี้ไม่เพียงหลิงหยุนเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากแสงจันทร์ในคืนนี้แม้แต่คนอื่นๆในกลุ่มของเขาที่ฝึกดาราคุ้มกายก็ได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน แต่คงจะไม่มีผู้ใดได้ประโยชน์มากไปกว่าเย่ซิงเฉินซึ่งฝึกวิชาสุญญตาดูดดาว!
  แม้แต่แวมไพร์บริวารทั้งห้าของหลิงหยุนที่อยู่ตามสันเขาเวลานี้ก็ได้ทำการดูดซับเอาพลังจันทราเข้าไปอย่างเต็มที่เช่นกัน!
  แม่ชีมี่หลินเห็นเช่นนั้นจึงได้บอกกับศิษย์อารามจิ้งซินว่า“เอาล่ะ ในเมื่อการประมูลเริ่มขึ้นแล้ว พวกเราก็ไปดูเสียหน่อย ข้าจะต้องประมูลหญ้าหญ้าใจสลายกลับไป! ส่วนน้ำลืมเลือนก็คงต้องขึ้นอยู่กับโชค!”
  หญ้าใจสลายนั้นเป็นตัวยาสำคัญสำหรับการกลั่นโอสถไร้ใจส่วนน้ำลืมเลือนนั้นเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ดีที่สุดในการหลอมโอสถไร้ใจให้มีอานุภาพที่ดียิ่งขึ้น
  ทันทีที่พูดจบแม่ชีมี่หลินจึงเป็นฝ่ายเดินนำแม่ชีจากอารามจิงซินไปที่ลานกว้างตรงกลางของหุบเขาหลงเฟย
  ‘ครั้งนี้คงยากที่จะปกปิดไว้ได้อีกแล้วสินะ..’
  หลิงหยุนรู้ดีว่าตราบใดที่ตนก้าวออกจากป่านี้ไปที่กลางลานหุบเขาพร้อมกับเหล่าแม่ชีแล้วล่ะก็ฐานะของตนจะต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน เพราะในบริเวณที่จัดการประมูลนั้นมีทั้งคนของวัดเส้าหลิน บู๊ตึ๊ง สำนักดาบเทวะ ทวนตระกูลเล่ย แล้วก็อีกมากมายที่รู้จักหลิงหยุน คนเหล่านั้นแค่เห็นหน้าเขาก็สามารถจดจำได้ทันที
  แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วหลิงหยุนก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเดินตามไป..
  แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาก้าวเดินออกไปยังไม่ถึงสองก้าวแม่ชีมี่ยู่ก็กระโดดเข้ามาขวางหน้าไว้พร้อมกับมองเขาด้วยสายตารังเกียจ
  “เจ้าไปไม่ได้!”
  ในที่สุด..นางก็มาช่วยเขาได้ทันเวลา!
  หลิงหยุนดีใจอย่างมากแต่ก็แสร้งทำเป็นร้องถามด้วยความสงสัย “ทำไมล่ะ เหตุใดข้าจึงจะไปไม่ได้? เจ้าเป็นเจ้าของงานประมูลหรือยังไง?”
  “ไม่มีเหตุผล!ข้าสั่งไม่ให้เจ้าไป เจ้าก็ไปไม่ได้!”
  หลิงหยุนจึงแสร้งทำเป็นร้องถามออกมาด้วยความผิดหวัง“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าทำเช่นใด”
  แม่ชีมี่ยู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียเหยียดหยัน“เจ้าจะทำอะไร เจ้าจะไปที่ใหน ก็เรื่องของเจ้า!”
  “หึ..แม่ชีเฒ่านี่ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!”
  หลิงหยุนแสร้งทำเป็นระล้าระลังไม่เห็นด้วยแต่กลับแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก และนึกหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
  ‘ฮ่าฮ่า.. ข้ามักโชคดีเช่นนี้เสมอ!’