ในคืนนี้หลิงหยุนได้วางแผนที่จะทำตัวเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือและเพื่อมอบของขวัญสร้างความตื่นเต้นให้กับเฉิงเม่ยเฟิง เพื่อหวังทลายกำแพรงระหว่างพวกเขาทั้งสอง ดังนั้นหากไม่จำเป็นหลิงหยุนไม่มีทางที่จะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนก่อนเป็นแน่
ในสถานการณ์เช่นนี้หากฐานะของหลิงหยุนถูกเปิดเผย เขาก็จะตกเป็นเป้าของผู้คนในที่นี้ทันที และหากไม่สามารถจัดการแก้ไขสถานการณ์ได้ดีเท่าที่ควร ก็คงจะนำไปสู่การต่อสู้ก่อนงานชุมนุมในวันพรุ่งนี้จะเริ่มต้นขึ้น
แน่นอนว่าหลิงหยุนไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวงานชุมนุมที่จัดขึ้นเพื่อปราบปรามพรรคมารในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อยแต่จุดประสงค์ของเขาก็เพื่อรอโอกาสให้ศัตรูทั้งหมดเข้ามาอยู่ในงานชุมนุมกันพร้อมหน้าเสียก่อน แล้วจึงค่อยลงมือต่างหาก.. แต่เวลานี้ยอดฝีมือสูงสุดยังอยู่เพียงแค่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับสามเท่านั้นและทั้งหมดดูเหมือนจะมาเพื่อร่วมงานประมูลเท่านั้น ศัตรูที่แข็งแกร่งจริงๆของหลิงหยุนจึงนับว่ายังไม่ปรากฏตัวออกมา หากชิงลงมือก่อนเช่นนี้ ไม่เท่ากับเป็นการฆ่าหอยฆ่าปูหรอกรึ เขาจำเป็นต้องรอคอยให้ปลาใหญ่อย่างแท้จริงเข้ามาติดเบ็ดเสียก่อน
อย่างเช่นระดับอาวุโสของอารามจิ้งซินเขาหลงหู่ สำนักดาบสวรรค์ และอีกมากมายรวมทั้งยอดฝีมือระดับสูงของตระกูลหลงกับตระกูลเย่ ทั้งหมดนี้ยังไม่ปรากฏตัวแม้แต่คนเดียว
ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงอยากจะอยู่นิ่งๆที่สุดเท่าที่จะทำได้มากกว่า เพื่อรอคอยให้ถึงคืนวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันชุมนุมชาวยุทธ และในคืนนั้นเขาจะลงมือสังหารยอดฝีมือระดับสูงของสำนักและตระกูลต่างๆ
หลังจากที่แม่ชีมี่ยู่ห้ามหลิงหยุนแล้วนางก็คร้านที่จะสนใจเขาอีก และรีบกระโดดเข้าไปรวมกลุ่มกับเหล่าแม่ชีจากอารามจิ้งซินทันที
แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเองจู่ๆเฉิงเม่ยเฟิงก็หยุดเดินและหันหลังมาพูดกับหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด
“น้องชายพรุ่งนี้ข้าคงไม่สามารถส่งเจ้าออกจากหุบเขาด้วยตัวเองได้ หากเจ้าไม่กลัวการเดินทางในยามค่ำคืน เจ้าก็สามารถไปจากที่นี่ในคืนนี้ได้เลย แต่หากเจ้าจะรอจนถึงพรุ่งนี้ค่อยออกไปจากที่นี่ ก็อยู่ตรงนี้อย่าเที่ยวเดินเพ่นพ่าน..”
เฉิงเม่ยเฟิงยังมีบางสิ่งบางอย่างต้องการบอกหลิงหยุนแต่ด้วยสีหน้าท่าทางของแม่ชีมี่ยู่และคนอื่นๆ นางรู้ดีว่านับจากนี้ไปนางคงไม่มีโอกาสที่จะอยู่ตามลำพังกับเด็กหนุ่มผู้นี้อีกแล้ว และหากนางยังยืนกรานที่จะไปส่งเด็กหนุ่มด้วยตัวเอง ไม่เพียงจะยิ่งสร้างความสงสัยแคลงใจให้กับคนของอารามจิ้งซิน แต่ยังจะยิ่งเป็นอันตรายต่อตัวนางเองกับเด็กหนุ่มคนนี้ด้วย เด็กหนุ่มผู้นี้คือความหวังของนางเวลานี้เหล่าชาวยุทธต่างก็กำลังสนใจการประมูล หากเด็กหนุ่มจะฉวยโอกาสออกไปจากหุบเขาแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย หลังจากที่ความทรงจำของเขาฟื้นคืนมาได้ เขาก็จะต้องไปพบหลิงหยุนและบอกเล่าเรื่องของนางให้หลิงหยุนรู้ และเพียงแค่นั้นนางก็ตายตาหลับแล้ว
หลังจากที่เฉิงเม่ยเฟิงบอกกับเด็กหนุ่มไปนางก็หวังว่าเขาจะเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของนาง เพราะเขาดูเป็นคนเฉลียวฉลาด
และอยู่ต่อหน้าเหล่าอาวุโสของอารามจิ้งซินเฉิงเม่ยเฟิงจึงไม่กล้าแม้แต่จะพูดผ่านทางกระแสจิตกับหลิงหยุน เพราะเกรงว่าจะถูกแม่ชีมี่หลินและอาวุโสคนอื่นๆจับได้เสียก่อน
หลิงหยุนได้แต่หัวเราะเสียงดังและตอบกลับไปว่า“ฮ่า ฮ่า.. พี่สาวคนสวย เจ้าอย่าได้เป็นห่วงข้าไปเลย แสงจันทร์และขุนเขาไม่อาจสร้างความหวาดกลัวให้ข้าได้ ข้าลาก่อน!” จากนั้นหลิงหยุนก็โบกมือร่ำลาเฉิงเม่ยเฟิง“ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้ว ข้ามีที่ที่ข้าต้องการจะไป พี่สาวคนสวย ข้าไปก่อนล่ะ พวกเราจะต้องได้พบกันอีกแน่!”
ทันทีที่พูดจบหลิงหยุนก็หันหลังเดินตรงไปตามเส้นทางที่มุ่งหน้าออกจากหุบเขาแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
ระหว่างที่มองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่ค่อยๆห่างไกลออกไปหัวใจของเฉิงเม่ยเฟิงก็เจ็บปวดราวกับถูกค้อนหนักฟาดลงมา นางรู้ดีว่าตลอดเส้นทางจากที่หุบเขาแห่งนี้ไปถึงยอดเขาเทียนเหมินซานนั้นทั้งยาวและอันตราย กว่าที่เด็กหนุ่มจะเดินลงไปถึงตีนเขาก็เป็นระยะทางที่ยาวกว่ายี่สิบกิโลเมตรเลยทีเดียว
อีกทั้งตลอดเส้นทางลงเขานั้นยังมีทั้งสัตว์ร้ายและเหล่าชาวยุทธยังคงเดินทางขึ้นมาที่นี่อยู่เรื่อยๆ เส้นทางนี้จึงนับว่าอันตรายต่อเด็กหนุ่มไม่น้อย
แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ยังเดินจากไปอย่างไม่ลังเลทำให้เฉิงเม่ยเฟิงรู้ว่าเขาเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของนางจริงๆ เขาต้องการไปหาหลิงหยุน และให้เขากลับมาช่วยนาง
เฉิงเม่ยเฟิงรู้สึกเป็นห่วงเด็กหนุ่มอย่างมากแต่กลับรู้สึกเสียใจมากยิ่งกว่า!
“เหตุใดเจ้าจึงหันหลังกลับไปโดยไม่ลังเลเช่นนี้”
เมื่อพบว่าตนเองรู้สึกผิดหวังที่เด็กหนุ่มหันหลังจากไปอย่างไม่ลังเลเช่นนั้นเฉิงเม่ยเฟิงก็ถึงกับสับสนในตัวเอง และไม่อาจคิดหาเหตุผลได้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกใกล้ชิดกับเด็กหนุ่มผู้นี้มาก
แม้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะสำคัญกับนางมากแต่ความรู้สึกผิดหวังที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นก็ไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้ มันเป็นความรู้สึกพิเศษที่เกิดจากจิตใต้สำนึกของนาง
“หลี่เฉินปล่อยให้เขาดูแลตัวเองไป เจ้าไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก ไปกันได้แล้ว!”
แม่ชีมี่ยู่เห็นเด็กหนุ่มเดินจากไปแล้วแต่เฉิงเม่ยเฟิงกลับยังคงยืนจ้องมองนิ่งเช่นนั้น ก็นึกโมโหขึ้นมาทันที และสั่งให้นางเลิกสนใจเขาอีก
“น้อมรับคำสั่งอาจารย์”
เฉิงเม่ยเฟิงกดข่มความรู้สึกโกรธและเคียดแค้นภายในใจเอาไว้และกำลังรอคอยโอกาสที่จะสังหารแม่ชีมี่ยู่เป็นการแก้แค้น
…….
หลิงหยุนเดินออกไปไกลราวหนึ่งกิโลเตรร่างบอบบางเคลื่อนที่เบาราวกับภูติผีวิญญาณก็ได้เดินตามหลังเขามาอย่างเงียบๆ
“ข้าไม่เป็นอะไร!”หลิงหยุนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
เย่ซิงเฉินตอบกลับไปยิ้มๆ“ดวงตาแดงก่ำถึงเพียงนี้ เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่เป็นอะไรอีกรึ”
หลิงหยุนหยุดนิ่งทันทีแล้วหันหลังกลับไปมองเย่ซิงเฉิน “นี่เจ้าแอบดูอยู่ตลอดงั้นรึ”
ใบหน้างดงามของเย่ซิงเฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมตอบกลับด้วยท่าทางเป็นปกติ “ฮ่า ฮ่า.. เอาล่ะการประมูลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ตัวแทนจากตระกูลหลง ตระกูลเย่ และหน่วยนภาต่างก็เดินทางมาถึงแล้ว”
หลิงหยุนพยักหน้าแววตาของเขาเป็นประกายเจิดจ้า“สองตระกูลใหญ่กับหนึ่งองค์กรต่างก็มีโรงประมูลของตนเอง การที่พวกเขาส่งตัวแทนมาร่วมประมูลก็เป็นเรื่องปกติ!”
“อีกทั้งตระกูลหลงกับตระกูลเย่ก็คงคาดเดาว่าข้าจะต้องมาร่วมงานประมูลชาวยุทธเป็นแน่จึงได้ส่งคนของตนมาจับตาดูความเคลื่อนไหวของข้า!”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องคาดเดาอะไรการที่เวลานี้ปักกิ่งมีสามตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลง ตระกูลเย่ และตระกูลหลิง เป็นเสมือนเสาค้ำยำกันอยู่นั้น ไม่ได้หมายความว่าสิ้นสุดการประลองในคืนนั้น ทั้งสามตระกูลจะสามารถจับมือเป็นมิตรกันได้
อีกทั้งปักกิ่งซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศจึงเสมือนเป็นดินแดนจักรพรรดิ และเป็นดินแดนแห่งความเจริญรุ่งเรือง ที่ผ่านมาทั้งสามตระกูลก็ยังมิได้มีการตกลงกันอย่างชัดเจน เมื่อหลิงหยุนเดินทางออกจากปักกิ่งเช่นนี้ ทุกฝ่ายจึงสามารถวางมือในปักกิ่งได้บ้าง
การต่อสู้ระหว่างสามตระกูลใหญ่อย่างแท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น!
หลิงหยุนถามขึ้นทันที“คนของสำนักดาบสวรรค์ปรากฏตัวหรือยัง”
เย่ซิงเฉินส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า“พวกเจ้าน่าจะมาในวันพรุ่งนี้!”
“แล้วในคืนนี้สหายเก่าของข้ามีผู้ใดมาถึงแล้วบ้าง”
เย่ซิงเฉินตอบกลับไปทันที“สำนักกระบี่คุนหลุน สำนักกระบี่หัวซาน แล้วก็ตระกูลเก่าแก่เล็กๆอีกสองสามตระกูล.. คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่บุกไปตระกูลหลิงบีบบังคับท่านอาจารย์กับท่านลุงหลิงในครั้งนั้น”
แววตาของหลิงหยุนเปล่งประกายสังหารขึ้นมาวูบหนึ่ง“คืนพรุ่งนี้ จัดการสังหารพวกมันให้หมด! สำหรับคืนนี้ หากพบว่ามีผู้ใดลงเขาไปก่อน ให้จัดการสังหารพวกมันได้ทันที อย่าให้ศัตรูของเรารอดกลับไปได้แม้แต่คนเดียว!”
เย่ซิงเฉินตอบกลับยิ้มๆ“เรื่องนั้นเจ้าวางใจได้ ข้าได้สั่งให้มือสังหารขององค์กรนักฆ่าซุ่มอยู่ตลอดทางออกจากหุบเขาหลงเฟยแล้ว ไม่มีผู้ใดรอดกลับไปได้แน่!”
หลิงหยุนได้รับรายงานมาก่อนแล้วว่าเย่ซิงเฉินได้สั่งการให้มือสังหารระดับราชันย์นักฆ่ามากกว่าสามสิบคนมารับงานนี้ แต่ละคนล้วนอยู่ในขั้นเซียงเทียน-8 ขึ้นไป มือสังหารระดับนี้ล้วนแล้วแต่เฉลียวฉลาด หลิงหยุนจึงไม่นึกแปลกใจที่เย่ซิงเฉินจะมั่นอกมั่นใจเช่นนี้
จากนั้นจึงหันกลับไปถามเย่ซิงเฉินเรื่องการประมูลแทน“ซิงเฉิน เจ้าพอรู้หรือไม่ว่าคืนนี้จะมีประมูลสินค้าใดบ้าง”
“เท่าที่ข้ารู้มาการประมูลคืนนี้จัดขึ้นโดยวัดเส้าหลินและสำนักเขาหลงหู่ ฉะนั้นแล้วสินค้าหลักที่จะนำขึ้นประมูลก็คงจะเป็นโอสถหลงหู่ โอสถล้ำค่าของวัดเส้าหลิน โอสถพลังชีวิตอื่นๆ แล้วก็ยันต์ ส่วนสินค้าพิเศษนอกเหนือจากสินค้าหลักก็จะมีหญ้าใจสลายซึ่งอารามจิ้งซินต้องการ และดูเหมือนจะมีวิญญาณเหมันต์หมื่นปีกับศิลาแม่เหล็ก ข้ารู้มาเพียงเท่านี้…”
“วิญญาณเหมันต์หมื่นปีแล้วก็ศิลาแม่เหล็กงั้นรึ…”
หลิงหยุนพึมพำออกมาด้วยความตื่นเต้นนั่นเพราะศิลาแม่เหล็กนั้นจัดว่าเป็นวัตถุระดับสูงที่ใช้ในการสร้างค่ายกลต่างๆได้เป็นอย่างดี มันจะมีประโยชน์ต่อเขามากในวันข้างหน้า
ส่วนวิญญาณเหมันต์หมื่นปีนั้นหลิงหยุนสามารถใช้มันสร้างดินแดนหิมะ หรือใช้หลอมวัตถุวิเศษต่างๆได้ อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นดวงตาค่ายกลได้อีกด้วย นับเป็นสมบัติที่ดีมากชิ้นหนึ่งทีเดียว
“เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าการประมูลที่นี่ใช้สิ่งใดแลกเปลี่ยน”
หลิงหยุนถามขึ้นด้วยความอยากรู้เพราะโรงประมูลตระกูลเย่ใช้เงินในยุคปัจจุบันในการแลกเปลี่ยน แต่ในสถานที่เช่นนี้คงไม่มีผู้ใดพกเงินจำนวนมากติดตัวมาด้วย
“ก็ไม่มีอะไรมากจะแลกเปลี่ยนด้วยแต้มที่เจ้าได้รับจากหน่วยนภาก็ได้ หรือไม่ก็แลกเปลี่ยนกันด้วยสิ่งของ แต่หากสิ่งของที่นำมาแลกเปลี่ยนไม่เป็นที่ต้องการของอีกฝ่ายต้องการ เขาก็อาจเปลี่ยนใจไม่ขายได้..”
“อะไรนะ!”
หลิงหยุนร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ“แต้มของหน่วยนภาก็นำมาใช้ได้ด้วยงั้นรึ เช่นนั้นแล้ว.. แต้มของหน่วยนภาก็เทียบเท่าสกุลเงินตราที่ใช้กันในโลกยุทธภพน่ะสิ?”
เย่ซิงเฉินจ้องมองหลิงหยุนด้วยความงุนงงก่อนจะหัวเราะคิกคักแล้วตอบกลับไปว่า “ใช่แล้ว! หากเจ้าคิดว่าหน่วยนภาเป็นแค่องค์การหนึ่งของประเทศนี้ เจ้าคิดผิดอย่างมากทีเดียว เจ้าลองนึกดูว่าผู้ที่ดำรงตำแหน่งอาวุโสแห่งหน่วยนภามีใครบ้าง แล้วเจ้าก็จะเข้าใจเอง…” หลิงหยุนค่อยๆครุ่นคิดตามไม่ว่าจะเป็นตระกูลหลง ตระกูลเย่ สำนักเขาหลงหู่ สำนักบู๊ตึ๊ง และวัดเส้าหลิน.. คนเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อโลกยุทธภพทั้งสิ้น ในเมื่อคนเหล่านี้เข้าไปครอบครองตำแหน่งอาวุโสแห่งหน่วยนภาเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่แต้มภายในหน่วยนภาจะกลายมาเป็นสกุลเงินที่แข็งและน่าเชื่อถือในโลกยุทธภพ!
ในเวลาเดียวกันหลิงหยุนเองก็เริ่มเข้าใจเพราะเหตุใดเหล่าตระกูลใหญ่และสำนักต่างๆ จึงพยายามให้คนของตนเข้าไปอยู่ในตำแหน่งอาวุโสแห่งหน่วยนภาให้มากที่สุด
นั่นเพราะหากสามารถควบคุมหน่วยนภาได้ย่อมหมายถึงการควบคุมยุทธภพในประเทศนี้ไว้ในมือได้เช่นกัน!
ยิ่งคิดหลิงหยุนก็ยิ่งตื่นเต้นและร้องตะโกนออกไปอย่างตื่นเต้น “ไปเร็ว รีบไปดูกันดีกว่า!”
��