“นี่เจ้าจะไปในสภาพนี้เลยงั้นรึ”เย่ซิงเฉินถามขึ้นด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข
“ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว!”
หลิงหยุนตอบยิ้ม“หากข้าจะไปในสภาพนี้ เหตุใดยังต้องวิ่งลงเขามาไกลเช่นนี้ด้วยเล่า”
“นั่นสิ!เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้าวิ่งลงเขามาตั้งไกล ยังนึกว่าเจ้าต้องการไปหาที่หลบร้องไห้เงียบๆไม่ให้ใครเห็น ดูเหมือนข้าคงจะคาดการผิดจึงได้วิ่งตามเจ้ามาด้วยความเป็นห่วง!” เย่ซิงเฉินล้อเลียนหลิงหยุนอย่างมีความสุข
หลิงหยุนตอบโต้กลับไปทันที“นี่.. เจ้าสนุกกับการล้อเลียนความเจ็บปวดของผู้อื่นมากงั้นรึ หากเจ้ายังไม่เลิกยั่วโมโหข้า ข้าจะจูบเจ้าเป็นการลงโทษสักห้าสิบครั้ง!”
ท่ามกลางแสงจันทร์นวลละออที่สาดส่องมาหลิงหยุนจ้องมองใบหน้างดงามของเย่ซิงเฉิน และแทบอยากจะทำอย่างที่ปากพูดไปจริงๆ
“เจ้าอย่าได้ฝันไปเลย!”
เย่ซิงเฉินร้องบอกหลิงหยุนพร้อมกับเหลือบมองจากนั้นจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย “เดี๋ยวคนรักของเจ้าจำเจ้าได้แล้ว เจ้าก็ไปจูบนางสิ ข้าไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย!”
เย่ซิงเฉินจงใจย้ำคำว่า‘ไม่สนใจ’ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น!
“ฮ่าฮ่า.. เจ้าจะไม่สนใจจริงๆรึ!”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วถามออกไปอย่างท้าทาย ก่อนจะวิ่งหนีออกไปทันที เพราะเกรงว่าเย่ซิงเฉินจะตามมาทุบตีเขา
เย่ซิงเฉินแสร้างทำเป็นโกรธไปแบบนั้นเองความจริงนางไม่ต้องการให้หลิงหยุนจนอยู่กับอารมณ์เศร้าโศกนานนัก ไม่คิดที่จะทำร้ายเขาจริงๆ จากนั้นจึงรีบถามออกไปว่า
“ว่าแต่เจ้าจะเปลี่ยนรูปลักษณ์อย่างไรดี” ทันทีที่ถามออกไปเย่ซิงเฉินก็เห็นร่างของหลิงหยุนค่อยๆพองขึ้น และเวลานี้เขาก็อ้วนกว่าเดิมถึงสามเท่า ใบหน้าหล่อเหลานั้นเปลี่ยนเป็นกลมดั่งพระจันทร์ และดูคล้ายกับหลิงหยุนตอนที่ยังอ้วน เวลานี้เขาเหมือนคนที่น้ำหนักขึ้นมาอีกกว่าสามสิบกิโลกรัม
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับอธิบายว่า“นี่ดูเหมือนข้าเมื่อหกเดือนก่อนแล้ว!”
จากนั้นหลิงหยุนก็จัดการเปลี่ยนแปลงองศาของหน้าเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ผู้คนจดจำเขาได้ แต่ก็มั่นใจว่าเฉิงเม่ยเฟิงจะยังจดจำเขาได้ทันทีที่พบเห็น
เย่ซิงเฉินเองก็สามารถคาดเดาจุดประสงค์ของหลิงหยุนได้ทันทีสีหน้าของนางจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็รีบทำให้เป็นปกติโดยเร็ว “เจ้าทุ่มเทเพื่อนางมากจริงๆ!”
จะเรียกว่าอิจฉาและหึงหวงก็ไม่น่าจะผิดนัก!
หลิงหยุนหันไปยิ้มให้เย่ซิงเฉินอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอื้อมมือไปจับไหล่ทั้งสองข้างของเย่ซิงเฉินไว้
“ซิงเฉินหากเจ้าสูญเสียความทรงจำจนหลงลืมข้า ข้าก็จะทำเช่นเดียวเหมือนกับที่ทำอยู่ในตอนนี้ ต่อให้ต้องพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ข้าก็จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าสามารถจดจำข้าได้อีกครั้งเช่นกัน”
เย่ซิงเฉินพลันอบอุ่นใจขึ้นมาทันทีใบหน้าของนางแดงก่ำ และไม่รู้สึกหึงหวงเฉิงเม่ยเฟิงอีกเลย นางตอบหลิงหยุนกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคนก็ตามแต่ข้าจะไม่มีวันลืมเจ้าแน่..”
“ข้าเชื่อเจ้า..”
หลิงหยุนยิ้มและจ้องมองเย่ซิงเฉินที่มีสีหน้าเอียงอายก่อนจะถามขึ้นว่า “แล้วเจ้าล่ะ จะเข้าไปแบบนี้รึ”
“ไม่แน่นอน!”
เย่ซิงเฉินตอบยิ้มๆและในพริบตาเดียวนางก็แปลงโฉมเป็นหญิงสาวที่ยังคงมีใบหน้างดงาม แต่ตัวเล็กลงอีกราวห้าเซ็นติเมตร และร่างกายก็พองขึ้นจนดูเป็นหญิงอวบค่อนไปทางเจ้าเนื้อ
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่ตกตะลึง!
นั่นเพราะหลังจากที่เปลี่ยนรูปลักษณ์แล้วทุกสัดส่วนในเรือนร่างของนางกลับดูเป็นธรรมชาติยิ่งนัก
“เจ้าทั้งเตี้ยทั้งอ้วนส่วนข้าก็อ้วนมาก ดูเหมาะสมกันจริงๆ”
“เอ..”หลิงหยุนยกมือขึ้นลูบคางทำท่าสงสัยแคลงใจ แล้วจึงเอ่ยถามออกไปว่า “ซิงเฉิน ข้าว่านี่ต่างหากที่เป็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเจ้า!”
“เจ้าอ้วน..เจ้าอยากตายมากงั้นรึ” เย่ซิงเฉินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ห้วนไม่พอใจ
“ฮ่า..ฮ่า..” หลิงหยุนหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินย้อนกลับไปตามถนนเส้นเดิมทั้งคู่เดินกลับเข้าไปที่ลานกว้างกลางหุบเขาโดยที่ไม่ต้องหลบหน้าหลบตาผู้ใด และตรงเข้าไปที่งานประมูลทันที!
“เรียบง่ายแล้วก็เกินไป..”ทันทีที่เข้าไปยืนอยู่ภายในงานประมูล หลิงหยุนก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับวิจารณ์ออกมามา
งานประมูลในหุบเขาหลงเฟยแห่งนี้ไม่อาจเทียบได้เลยกับโรงประมูลตระกูลเย่ ที่นี่เรียบง่ายแล้วก็ธรรมดาจนเกินไป!
ไม่มีพนักงานต้อนรับสาวสวยไม่มีที่นั่งหรูหราสบายๆ ไม่มีคอมพิวเตอร์ และไม่มีทีวีจอยักษ์ มิหนำซ้ำแสงสว่างก็อาศัยเพียงแค่แสงจากดวงจันทร์และคบไฟเท่านั้น
กลางหุบเขาหลงเฟยมีหินขนาดใหญ่กว่าสองเมตรก้อนหนึ่งถูกนำมาตัดออกให้มีพื้นผิวเรียบ เพื่อใช้เป็นโต๊ะสำหรับวางของประมูลนั่นเอง
ส่วนเหล่าชาวยุทธกว่าหกร้อยคนนั้นก็พากันยืนรายล้อมโต๊ะประมูลอยู่ทั่วทุกทิศทางและนี่คือรูปแบบทั้งหมดของการประมูลในคืนนี้ และที่สำคัญการประมูลคืนนี้ไม่ได้มีผู้ที่ทำหน้าที่ดำเนินการประมูลแต่อย่างใด ผู้ใดมีสินค้าที่ประสงค์จะนำมาประมูล ก็จะออกไปยืนที่โต๊ะซึ่งทำจากหิน และเปิดประมูลด้วยตนเอง
ที่นี่ไม่มีผู้ประเมินสินค้าที่จะมารับรองว่าของที่นำมาประมูลนั้นใช่ของแท้หรือไม่ทุกคนต่างก็ต้องพินิจพิจารณาด้วยตัวเอง หากถูกหลอกก็ต้องตำหนิสายตาตนเองเท่านั้น
และนี่ต่างหากคือการประมูลชาวยุทธที่หลิงหยุนจินตนาการภาพไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งแรกที่ได้ยินและก่อนที่จะได้เข้าไปเปิดหูเปิดตาในโรงประมูลตระกูลเย่
จึงไม่น่าแปลกใจนักที่โรงประมูลซึ่งจัดโดยตระกูลหลงตระกูลเย่ และหน่วยนภา จะได้รับความนิยมจากเหล่าชาวยุทธมากขึ้นเรื่อยๆ
และหากไม่โง่จนเกินไปหากสิ่งของที่ต้องการประมูลนั้นมีในโรงประมูลตระกูลเย่ คงไม่มีผู้ใดโง่ดั้นด้นข้ามป่าข้ามเขามาถึงที่นี่! “ก่อนที่ตระกูลหลงตระกูลเย่ และหน่วยนภาจะก่อตั้งโรงประมูลขึ้น ชาวยุทธภพก็มักจะประมูลกันด้วยวิธีนี้ สินค้าที่นำออกมาประมูลกันก็ไม่ได้ด้อยนัก เพียงแค่ขั้นตอนและวิธีการที่ยังห่างไกลโรงประมูลตระกูลเย่มาก..” เย่ซิงเฉินอธิบายให้หลิงหยุนฟัง
ชาวยุทธที่ต้องการนำสมบัติของตนออกมาประมูลจะไปยืนอยู่ที่โต๊ะตรงกลาง หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ประมูลรายอื่นก็จะขึ้นมาแทน สับเปลี่ยนกันไปเช่นนี้จนกว่าจะหมด
และในเวลานี้ก็มียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-8ผู้หนึ่งกระโดดเข้าไปยืนอยู่ที่โต๊ะตรงกลาง และต้องการที่จะนำดาบในมือของตนออกประมูล
แต่น่าเสียดายที่แม้ดาบเล่มนั้นจะเป็นดาบชั้นเลิศที่สามารถตัดเหล็กได้แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมนักในหมู่ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน จึงมีไม่กี่คนที่สนใจอยากจะประมูล
“น่าจะมีมูลค่าไม่เกินสามร้อยแต้ม”หลิงหยุนประเมินราคาคร่าวๆ แล้วหันไปมองเย่ซิงเฉิน
เย่ซิงเฉินถึงกับหันไปค้อนให้หลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า“หึ สามร้อยแต้มไม่มากไปหน่อยรึ เท่ากับว่าดาบเล่มนี้มีมูลค่าถึงสิบล้านเชียวนะ สูงเกินไป!”
“สามร้อยแต้มของหน่วยนภามีค่าเท่ากับสิบล้านหยวนงั้นรึเช่นนี้แล้วย่อมหมายความว่าหนึ่งแต้มของหน่วยนภามีมูลค่าราวสามหมื่นหยวนสินะ?” หลิงหยุนถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ถูกต้อง10,000 แต้มของหน่วยนภามีมูลค่าเท่ากับ 300 ล้านหยวน เท่ากับว่าหนึ่งแต้มของหน่วยนภามีมูลค่าเทียบเท่า 30,000 หยวน!”
ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็สังเกตเห็นเฉิงเม่ยเฟิงซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามกับเขาทั้งคู่ยืนห่างกันราวสี่ร้อยเมตรได้ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางได้มาร่วมงานประมูลชาวยุทธ สีหน้าของนางดูตื่นเต้น และสนอกสนใจกับสิ่งของที่เหล่าชาวยุทธนำมาประมูลอย่างมาก จนหลงลืมเรื่องการจากไปของเด็กหนุ่มไปได้ชั่วคราว
มาถึงตอนนี้หลิงหยุนไม่ต้องการเสียเวลาอีกแล้ว เขาหันไปบอกตี้เสี่ยวอู๋ที่อยู่ห่างไกลออกไป
–เสี่ยวอู๋เริ่มแผนการได้!-
ตี้เสี่ยวอู๋ที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนหนาแน่นเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย..
หลังจากที่การประมูลก่อนหน้าจบไปตี้เสี่ยวอู๋ก็ได้กระโดดไปยืนกลางลานประมูลทันที และเมื่อตี้เสี่ยวอู๋กระโดดออกมา เฉิงเม่ยเฟิงจึงได้เห็นตี้เสี่ยวอู๋อย่างชัดเจน
แล้วหลิงหยุนก็เห็นร่างงดงามของเฉิงเม่ยเฟิงนิ่งแข็งไปด้วยความตกตะลึงและร่างนั้นก็สั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น!
‘หึ..ดูท่าเม่ยเฟิงจะจดจำตี้เสี่ยวอู๋ได้สินะ!’ หลิงหยุนได้แต่นึกดีใจ ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
และทันทีที่ตี้เสี่ยวอู๋กระโดดไปยืนตรงกลางเขาก็ไม่เสียเวลาพล่ามไร้สาระอีกจัดการหยิบเขวดหยกสองขวดออกมาถือไว้ในมือ ภายในบรรจุโอสถโฉมสะคราญ และโอสถเยาว์วัยเอาไว้
“สิ่งที่ข้านำมาประมูลในคืนนี้คือโอสถเยาว์วัยกับโอสถโฉมสะคราญ!ข้าจะอธิบายประสิทธิภาพของโอสถทั้งสองชนิดให้ทุกท่าท่านฟัง”
ตี้เสี่ยวอู๋ใช้เวลาเพียงแค่สามนาทีก็อธิบายสรรพคุณของยาทั้งสองชนิดจบจากนั้นเสียงพูดคุยกันที่หนวกหูอยู่ก็พลันเงียบสงบลงทันที!
เวลานี้เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงนับร้อยต่างก็พากันกรูออกมาด้านหน้าพวกนางจ้องมองโอสถทั้งสองขวดในมือของตี้เสี่ยวอู๋ด้วยแววตากระสันอยากได้..
“ว่าแต่ประสิทธิภาพของโอสถทั้งสองที่เจ้าพูดมานั้นเชื่อถือได้มากเพียงใดเป็นไปได้อย่างไรกันที่จะมีโอสถล้ำเลิศถึงเพียงนี้?”
หลังจากที่หายตกอกตกใจแล้วหนึ่งในนั้นก็ร้องตะโกนถามขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ และแน่นอนว่าผู้ที่ถามก็คือผู้ฝึกยุทธหญิง
“หากพวกท่านไม่เชื่อข้าจะทำการพิสูจน์ประสิทธิภาพของโอสถทั้งสองให้ทุกคนได้เห็นกับตา!”
จากนั้นตี้เสี่ยวอู๋ก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้นว่า“น้าฉินกับพี่เม่ยเฟิง ขอเชิญพวกท่านทั้งสองเดินเข้ามากลางลานเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของโอสถให้ข้าหน่อยจะได้หรือไม่”
ถึงแม้ว่าตี้เสี่ยวอู๋จะเอ่ยปากเชื้อเชิญหญิงสาวถึงสองคนแต่สายตาของเขากลับจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเฉิงเม่ยเฟิงซึ่งเป็นศิษย์อารามจิ้งซินเท่านั้น!
หลังจากที่ได้เห็นตี้เสี่ยวอู๋ปรากฏตัวเฉิงเม่ยเฟิงก็ตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก และยิ่งในเวลานี้ที่ตี้เสี่ยวอู๋ร้องเรียกตนอย่างสนิทสนมเช่นนั้น นางก็ถึงกับน้ำตาไหลพร่างพรูออกมาทันที
นางไม่คิดไม่ฝันว่าหลังจากที่ต้องจากทุกคนและออกจากจิงฉูมากว่าครึ่งปีนั้นจู่ๆ จะได้พบกับน้องชายที่แสนดีของหลิงหยุน!