ตี้เสี่ยวอู๋นั้นมีรูปลักษณ์ที่สูงโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวทันทีที่ร่างสูงใหญ่ราวกับตึกก้าวออกไปยืนอยู่ด้านหน้าเช่นนั้น เพียงแค่เหลือบมองก็สามารถจดจำได้แล้ว
และแน่นอนว่าเฉิงเม่ยเฟิงเองก็ย่อมจดจำได้เช่นกันแม้นางจะกลืนโอสถไร้ใจไป แต่ภายในสมองของนางก็ยังมีภาพความทรงจำเกี่ยวกับตี้เสี่ยวอู๋อยู่มากมาย และภายใต้ภาพของตี้เสี่ยวอู๋ก็จะมีส่วนความทรงจำของหลิงหยุนที่ฉีกขาดปะปนอยู่ด้วย แต่ภาพของหลิงหยุนจะมีลักษณะคล้ายกลับวีดีโอที่เสียหาย ทำให้เฉิงเม่ยเฟิงไม่สามารถจดจำเขาได้
แม้โอสถไร้ใจจะมีฤทธิ์ในการทำลายความทรงจำได้รุนแรงแต่ฤทธิ์ของมันก็มุ่งทำลายภาพความทรงจำที่เกี่ยวกับชายอันเป็นที่รักเท่านั้น ไม่สามารถทำลายภาพของชายทุกคนในความทรงจำได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเฉิงเม่ยเฟิงจะสามารถจดจำตี้เสี่ยวอู๋ได้ถึงขั้นว่าเขาเสมือนญาติของนางคนหนึ่ง หรือเป็นไปไม่ได้เลยที่นึกออกว่าตี้เสี่ยวอู๋คือพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของหลิงหยุน
แต่ที่นางสามารถรู้ได้นั้นก็เพราะเรื่องราวทั้งหมดที่หลิงหยุนได้เล่าให้นางฟังก่อนหน้านี้นั่นเอง หลิงหยุนเพิ่งจะเล่าเรื่องราวในความทรงจำที่หายไปให้กับนางฟังอย่างละเอียด
และเวลานี้เมื่อเฉิงเม่ยเฟิงคิดถึงหลิงหยุนนางก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานราวกับถูกเข็มนับหมื่นนับพันเล่มทิ่มแทงอีกต่อไปแล้ว เป็นเพราะพลังอมตะสีม่วงที่อยู่ภายในร่างกายของนางนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ฤทธิ์ยาที่น่ากลัวของโอสถไร้ใจจึงไม่มีผลต่อเฉิงเม่ยเฟิงอีกต่อไป
เวลานี้เฉิงเม่ยเฟิงได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับหลิงหยุนมากมายรู้แม้กระทั่งว่าหลังจากที่นางถูกแม่ชีมี่ยู่นำตัวกลับไป หลิงหยุนยังคงทำทุกวิถีทางเพื่อตามหานางและพาตัวนางกลับไป
เมื่อได้เห็นตี้เสี่ยวอู๋ยืนตระหง่านอยู่กลางลานประมูลเช่นนี้เฉิงเม่ยเฟิงจึงสามารถจดจำได้ในทันที และเริ่มประหลาดใจเมื่อภาพของหลิงหยุนไม่ได้เลือนลางเหมือนดังก่อน แต่ค่อยๆกลับมาแจ่มชัดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งกลายเป็นภาพที่ชัดเจนอีกครั้ง
เฉิงเม่ยเฟิงจดจำตี้เสี่ยวอู๋ได้อย่างชัดเจนภาพในคืนที่ตี้เสี่ยวอู๋กับหลิงหยุนไปช่วยตนที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิงนั้นได้ผุดขึ้นมาภายในใจ ทำให้นางซาบซึ้งใจยิ่งนัก
นางต้องระเห็ดไปอยู่ที่อารามจิ้งซินเพียงลำพังนานกว่าครึ่งปียามนี้ได้พบเจอตี้เสี่ยวอู๋ซึ่งเปรียบเสมือนญาติคนหนึ่ง มีหรือที่น้ำตาแห่งความปิติยินดีจะไม่ไหลหลั่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ตี้เสี่ยวอู๋กล้าปรากฏตัวในยุทธภพเช่นนี้ย่อมหมายความว่าเขาต้องเป็นผู้ที่มีวรยุทธไม่ด้อยนัก เฉิงเม่ยเฟิงที่ยืนอยู่ยังสังเกตเห็นลักษณะท่าทางที่สง่างามของตี้เสี่ยวอู๋ที่ และรู้ได้ทันทีว่าเขาปราศจากความหวาดกลัวใดๆทั้งสิ้น!
ในยามนี้นางไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนเช่นเคยอีกแล้ว!
ตี้เสี่ยวอู๋เองที่ยืนอยู่กลางลานประมูลหลังจากที่เอ่ยปากเรียกเฉิงเม่ยเฟิงว่าพี่สาวออกไปนั้น ตัวเขาเองก็ตื่นเต้นยินดีจนน้ำตาลูกผู้ชายต้องไหลหลั่งเช่นกัน
“พี่เม่ยเฟิงนานมากเหลือเกินที่พวกเราไม่ได้กลับมาพบกันเช่นนี้ ท่านยังจำน้องชายเช่นข้าได้หรือไม่”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของตี้เสี่ยวอู๋เฉิงเม่ยเฟิงถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ภายในใจกลับร่ำร้องว่า
‘ข้าย่อมจำได้!และข้าขอประกาศตัดขาดกับอารามจิ้งซินนับแต่นี้เป็นต้นไป!’
คิดได้เช่นนั้นเฉิงเม่ยเฟิงก็ก้าวเท้าเดินออกจากกลุ่มของเหล่าแม่ชีจากอารามจิ้งซินทันที
“หลี่เฉินเจ้ากล้ารึ”
ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องห้ามดังขึ้นราวกับเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมานั้นผู้คนโดยรอบต่างพากันส่งเสียงอื้ออึงไปทั่วทั้งบริเวณ
และเสียงนั้นก็หาใช่ใครไม่แต่เป็นเสียงของแม่ชีมี่ยู่นั่นเอง นางคิดไม่ถึงว่างานประมูลเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น แต่กลับมีเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้เกิดขึ้น!
ความจริงแล้วแม่ชีมี่ยู่เองก็ไม่ได้รู้จักตี้เสี่ยวอู๋มาก่อนเช่นกันแต่เมื่อได้ยินตี้เสี่ยวอู๋เรียกเฉิงเม่ยเฟิงว่า ‘พี่เม่ยเฟิง’ เท่านั้น นางก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจทันที
เมื่อครั้งที่แม่ชีมี่ยู่บีบบังคับให้เฉิงเม่ยเฟิงกลืนโอสถไร้ใจนั้นเป็นช่วงเวลาที่หลิงหยุนหายตัวไป และตระกูลซันก็บุกไปที่จิงฉูเพื่อจัดการถอนรากถอนโคนคนของหลิงหยุนทั้งหมด จึงไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเฉิงเม่ยเฟิงได้
เพื่อต้องการนำตัวเฉิงเม่ยเฟิงกลับไปอารามจิ้งซินด้วยแม่ชีมี่ยู่จึงได้อาศัยโอกาสนั้นทั้งข่มขู่ และหลอกลวงให้นางกลืนโอสถไร้ใจ แม้กระทั่งชื่อโอสถแม่ชีมี่ยู่ยังไม่กล้าบอกให้นางรู้
หลังจากที่กลืนโอสถไร้ใจเข้าไปและเฉิงเม่ยเฟิงก็ได้หลงลืมหลิงหยุนจนสิ้นแล้วแม่ชีมี่ยู่ได้นำตัวนางกลับไปที่อารามจิ้งซินทันที
และทันทีที่ตี้เสี่ยวอู๋ประกาศเรียกเฉิงเม่ยเฟิงออกมาเช่นนั้นแม่ชีมี่ยู่ก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก เพราะหากนางบีบบังคับให้เฉิงเม่ยเฟิงกลืนโอสถไร้ใจอีกครั้ง หรือบบีบบังคับนำตัวนางกลับไปที่อารามจิ้งซิน ชื่อเสียงของอารามจิ้งซินคงต้องถูกผู้คนหัวเราะเยาะ และตัวแม่ชีมี่ยู่เองก็คงต้องตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าวชาวยุทธกว่าหกร้อยคนในเวลานี้ ทำให้นางตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก!
แต่หากกลับไปอารามจิ้งซินนางคงต้องถูกสอบสวน และเมื่อความจริงเปิดเผย นางเองก็คงไม่รอดเช่นกัน!
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจะต้องหยุดเฉิงเม่ยเฟิงไว้ให้ได้ ไม่อาจปล่อยให้นางเดินจากไปเช่นนี้
เฉิงเม่ยเฟิงหยุดนิ่งพร้อมกับหันไปมองแม่ชีมี่ยู่ด้วยสายตาเย็นชาจากนั้นจึงยิ้มออกมาและพูดขึ้นว่า
“อารามจิ้งซินมีกฏห้ามข้าพูดคุยกับสหายหรือคนในครอบครัวด้วยงั้นรึ”
ครั้งนี้เฉิงเม่ยเฟิงไม่แม้แต่จะเรียกแม่ชีมี่ยู่ว่าอาจารย์เหมือนเช่นเคยนางได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่กลับไปอารามจิ้งซินอีกเด็ดขาด
และเพียงแค่คำพูดประโยคเดียวของเฉิงเม่ยเฟิงแม่ชีมี่ยู่ก็ถึงกับตกตะลึงและนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ นางเองก็ไม่อาจโต้เถียงกลับไปได้
เพราะเมื่อครั้งที่อยู่อารามจิ้งซินนั้นเฉิงเม่ยเฟิงเคยขอกลับไปบ้านเพื่อเยี่ยมเยียนคนในครอบครัวและเพื่อนๆหลายต่อหลายครั้ง แต่แม่ชีมี่ยู่กลับหาเหตุผลมาปฏิเสธนางโดยตลอด ตอนนี้นางได้พบกับสหายโดยบังเอิญ หากแม่ชีมี่ยู่ยังห้ามนางมิให้พูดคุยกับสหายเก่าเช่นนี้ ตัวนางเองก็จะกลายเป็นคนไร้ซึ่งเหตุผลขึ้นมาทันที!
เหล่าแม่ชีในอารามจิ้งซินต่างพากันยืนตัวแข็งเมื่อเห็นเฉิงเม่ยเฟิงก้าวเดินออกไปโดยไม่เกรงกลัวเช่นนั้น
เฉิงเม่ยเฟิงไม่สนใจความเป็นความตายอีกต่อไปนางได้อดทนอดกลั้นมานานเพียงพอแล้ว และเวลานี้นางก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป
“เอ่อ….”
แม่ชีมี่ยู่ถึงกับคิดหาเหตุผลมาค้านไม่ได้แต่แล้วจู่ๆนางก็พูดขึ้นว่า “เมื่อครั้งที่อาจารย์พาเจ้ามาที่อารามจิ้งซิน ข้าได้บอกกับเจ้าแล้วไม่ใช่รึว่า หลังจากสามปีเจ้าจะได้กลับไปพบกับครอบครัวของเจ้า!”
“เวลานี้เจ้าเองก็เพิ่งจะกลืนโอสถหลงหู่เข้าไปจนสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-6ได้ แต่เพียงแค่วันเดียวพลังปราณกลับลดลงถึงสองระดับเช่นนี้ อาจารย์เกรงว่าหลังจากเจ้าได้พูดคุยกับสหายหนุ่มผู้นี้ จะเป็นการทำลายความมั่นคงภายในใจของเจ้าจนถึงกับยอมละทิ้งทุกอย่าง..”
แม่ชีมี่ยู่ครุ่นคิดอยู่นานในที่สุดก็นึกหาเหตุผลขึ้นมาได้.. “ฮ่าฮ่า ฮ่า..”
ตึ้เสี่ยวอู๋ถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังจากนั้นจึงหันไปพูดกับแม่ชีมี่ยู่ว่า “นังโจรเฒ่า ข้าลำบากลำบนตามหาพี่สาวมาตั้งนาน เวลานี้เพียงแค่ต้องการพูดจากับนางสักสองสามคำ เจ้ากับใจแคบถึงเพียงนี้เชียวรึ”
ตี้เสี่ยวอู๋พูดจาไม่ไว้หน้าแม่ชีมี่ยู่เลยแม้แต่น้อยถึงกลับกล้าเรียกนางว่านังโจรเฒ่าต่อหน้าทุกคนเช่นนี้!
ทันทีที่ตี้เสี่ยวอู๋กล่าววาจาเช่นนั้นออกไปศิษย์อารามจิ้งซินทุกคนต่างก็มีสีหน้าโกรธเกรี้ยว เว้นเพียงเฉิงเม่ยเฟิงผู้เดียวเท่านั้น แม้กระทั่งอาวุโสสูงสุดอย่างแม่ชีมี่หลินยังถึงกับขยับเขยื้อน
อารามจิ้งซินนั้นให้ความสำคัญกับหน้าตาของตนเองที่สุดแต่เวลานี้ตี้เสี่ยวอู๋กลับกำลังฉีกหน้าศิษย์ของอารามจิ้งซินต่อหน้าคนอื่นๆ
“เจ้า..นี่เจ้า..”
แม่ชีมี่ยู่ได้ยินว่าตี้เสี่ยวอู๋เรียกตนเองว่านังโจรเฒ่าก็ถึงกับเดือดดาลจนยกมือขึ้นชี้หน้าเขา แล้วหันไปพูดกับเฉิงเม่ยเฟงทันที
“เจ้าเห็นสหายตัวดีของเจ้าหรือไม่มันไม่แม้แต่จะเคารพข้า..”
เฉิงเม่ยเฟิงจ้องมองแม่ชีมี่ยู่ที่กำลังคลุ้มคลั่งด้วยท่าทีสงบนิ่งในขณะที่ตี้เสี่ยวอู๋เป็นฝ่ายพูดต่อว่า
“นังโจรเฒ่าข้าว่าสมองของเจ้าคงตีบไปหมดแล้วกระมัง เจ้ามีอะไรให้น่าเคารพงั้นรึ ข้าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเจ้า เหตุใดจึงต้องเคารพเจ้าด้วย?” ตี้เสี่ยวอู๋ตอบโต้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้
“หึ!เจ้าโจรชั่ว ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
แม่ชีมี่ยู่ถูกตี้เสี่ยวอู๋พูดจาให้เสียหน้าเช่นนั้นจึงไม่อาจทนได้อีกต่อไป และรีบกระโดดออกมากลางลานประมูลทันที!
‘ในที่สุดก็โมโหแล้วสินะ!’
ตี้เสี่ยวอู๋นั้นคอยเวลานี้อยู่นานแล้วเขาเองก็ได้แอบเดินพลังปราณขั้นสุดไว้แล้วเช่นกัน เมื่อเห็นแม่ชีมี่ยู่กระโดดเข้ามาเช่นนี้ จึงแอบดีใจอยู่ลึกๆ
–เจ้าบ้า!แค่สั่งสอนนางก็พอ อย่าเพิ่งลงมือฆ่านาง!-
หลิงหยุนซึ่งจับตามองอยู่ตลอดเวลารีบร้องเตือนตี้เสี่ยวอู๋ทันที เพราะหากตี้เสี่ยวอู๋ชิงลงมือสังหารแม่ชีมี่ยู่ไปเสียก่อน ก็คงจะหมดสนุกแน่
ท่ามกลางสายตาของเหล่าชาวยุทธกว่าหกร้อยคนในที่นี้ไม่มีผู้ใดคิดจะห้ามเลยแม้แต่คนเดียว!
“โอ้..พวกเขาจะฆ่ากันจริงๆแล้ว ฮ่า ฮ่า..”
เสียงที่ร้องตะโกนออกมานี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นเสียงของหลิงหยุนเอง
เพียงแค่พริบตาเดียวร่างของแม่ชีมี่ยู่ก็มายืนเผชิญหน้ากับตี้เสี่ยวอู๋กลางกลานกว้างและด้วยอารมณ์ที่เดือดดาลอย่างที่สุดในเวลานี้ นางจึงใช้ทุกสรรพกำลังจู่โจมตี้เสี่ยวอู๋ตั้งแต่หัวจรดเท้า! “เสี่ยวอู๋เจ้าระวังตัวด้วย!” เฉิงเมิ่ยเฟิงร้องเตือนทันที!
แม่ชีมี่ยู่ไม่คิดที่จะยั้งมือเลยแม้แต่น้อยนางตั้งใจที่จะสังหารตี้เสี่ยวอู๋เสียก่อน แล้วค่อยกลับไปจัดการกับเฉิงเม่ยเฟิงทีหลัง
“คิดจะฆ่าข้ารึเจ้ายังไม่คู่ควร!”
ตี้เสี่ยวอู๋ร้องตะโกนบอกตี้เสี่ยวอู๋ไม่แม้แต่จะเคลื่อนที่หนี เขาเพียงแค่เอี้ยวตัวไปมาหลบแส้ในมือของแม่ชีมี่ยู่ และหาจังหวะส่งหมัดของตนออกไป!
ปัง!
หมัดของตี้เสี่ยวอู๋ปะทะเข้ากับหน้าอกของแม่ชีมี่ยู่อย่างแรงนางรู้สึกราวกับถูกของหนักหลายพันกิโลกรัมกระแทกเข้าใส่ แล้วร่างของนางก็ลอยละลิ่วถอยหลังออกไป พร้อมกับกระอักเลือดออกมาระหว่างที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ
ตี้เสี่ยวอู๋ฝึกวิชาดาราคุ้มกายเข้าสู่ด่านที่สองแล้วและเขาก็ใช้วิชาหมัดปีศาจเถียนกังประกอบกับขั้นกำลังที่เหนือกว่าอีกฝ่าย รวมทั้งยังมีเสื้อเกราะอย่างชุดผ้าแพรไหมดำคุ้มกันร่างกายไว้อีกชั้น
แส้ของแม่ชีมี่ยู่ที่ฟาดลงบนไหล่ของตี้เสี่ยวอู๋นั้นทำให้เขารู้สึกได้เพียงแค่จั๊กจี้เท่านั้น แต่แม่ชีมี่ยู่เองกลับถูกเขาชกเข้าที่หน้าอกจนกระดูกหักได้รับบาดเจ็บสาหัส!
“แย่แล้ว!”
แม่ชีมี่หลินเห็นตี้เสี่ยวอู๋ชกแม่ชีมี่ยู่จนลอยละลิ่วออกมาและร่างกำลังจะหล่นลงกระแทกกับหินก้อนใหญ่นั้น ก็ถึงกับร้องอุทานออกมาและรีบกระโดดออกไปรับร่างของนางไว้ทันที
แม่ชีมี่ยู่กระอักเลือดออกมาใบหน้าของนางเวลานี้ซีดขาว และไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว ก่อนจะสลบลงหมดสติในที่สุด!
“นี่ข้าเผลอฆ่านังโจรเฒ่าตายแล้วรึ”
ตี้เสี่ยวอู๋ที่อยู่กลางลานถึงกับพึมพำออกมา..