บทที่ 2683 ละครน้ำเน่าฉากใหญ่
เทพผู้สร้างยังตั้งนามให้นางด้วย…ซีจิ่ว
ซีที่มาจากเวทนาอาทร จิ่วที่พ้องกับเนิ่นนานและพ้องกับเลขเก้า เก้าเป็นลำดับเลขสูงสุด และแฝงความหมายยืนยาวยั่งยืนเอาไว้
ความหมายของนามนี้คือจะรักใคร่อาทรนางไปชั่วนิรันดร์ อีกนัยหนึ่งคือจะเกื้อหนุนให้นางได้กลายเป็นผู้มีอำนาจสูงส่งด้วย
กู้ซีจิ่วที่อยู่ในจอชื่นชอบนามนี้อย่างยิ่ง วนเวียนรอบตัวเทพผู้สร้าง นางก็ถามถึงนามของเทพผู้สร้างเช่นกัน เทพผู้สร้างหลุบตาลงเล็กน้อย เอ่ยออกมาสามคำ…ฟั่นเชียนซื่อ (พรหมพันโลกา)
นามนี้สูงส่งเหนือชั้นยิ่ง แถมยังแฝงความหมายลึกซึ้งไว้ สายตาที่ซีจิ่วมองเขาเต็มไปด้วยความเคารพและเทิดทูน
ในที่สุดอยู่มาวันหนึ่ง ซีจิ่วในจอได้ดึงแขนเสื้อของเทพผู้สร้าง สารภาพรักอย่างกล้าหาญ “เทพบิดา ข้าชอบท่าน พวกเราสามารถครองคู่เป็นสามีภรรยากันเฉกเช่นมนุษย์ได้หรือไม่?”
เดิมทีกู้ซีจิ่วที่อยู่นอกจอกำลังขบคิดถึงนามฟั่นเชียนซื่อนี้อยู่ เนื่องจากเธอรู้สึกว่าชื่อนี้ค่อนข้างคุ้นหูยิ่งนัก เหมือนเคยพบพานยินยลที่ไหนมาก่อน
และตอนนี้เทพผู้สร้างที่อยู่ในจอก็มีรูปลักษณ์เป็นของตัวเองแล้ว คงจะมีสาเหตุมาจากการที่ตัวเขาสามารถสร้างสรรค์หมื่นสรรพชีวิตได้ รูปลักษณ์ในปัจจุบันของเขาไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือว่ารูปร่าง ล้วนสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีตำหนิเลยสักนิด ราวกับถูกปั้นแต่งออกมาทีละน้อยโดยปรมาจารย์มือฉมังท่านใด แต่คงเป็นเพราะงดงามสมบูรณ์แบบเกินไป เมื่อกู้ซีจิ่วมองเขาจึงรู้สึกอยู่เสมอว่าดูไม่สมจริงอยู่บ้าง ราวกับมีที่ตรงไหนที่ผิดปกติไป…
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้น่าจะทำให้เธอรู้สึกใจสั่นได้แล้ว ต่อให้เธอมีคนในใจอยู่แล้วไม่รู้สึกหวั่นไหว แต่อย่างน้อยก็สมควรจะทำให้เธอรู้สึกเจริญหูเจริญตาบ้างถึงจะถูก ผลก็คือเธอมองเขาราวกับมองหุ่นยางตัวหนึ่ง…
หุ่นยางต่อให้งดงามสักแค่ไหน ก็ไม่อาจทำให้คนหลงรักได้
นี่คือความรู้สึกที่กู้ซีจิ่วมีต่อฟั่นเชียนซื่อคนนี้
มองเห็นซีจิ่วในจอรักใคร่ผูกใจต่อฟั่นเชียนซื่ออย่างลึกล้ำ กู้ซีจิ่วก็ขนลุกซู่ไปทั้งร่างอีกครั้ง
โดยเฉพาะพอได้ยินคำสารภาพรักของซีจิ่วในจอ เธอเพียงรู้สึกว่าขนแขนก็ลุกชี้ชันขึ้นมาตามๆ กันแล้ว!
หากว่านี่คือตัวเธอในชาติก่อน จะหลงรักคนผู้นี้จริงๆ น่ะหรือ?
กล่าวแบบอ่อนข้อให้หน่อย หากว่าตัวเธอในชาติก่อนชมชอบฟั่นเชียนชื่อขนาดนี้จริงๆ ความรู้สึกนี้น่าจะสืบทอดต่อมาด้วยกระมัง? อย่างน้อยในใจของเธอก็ต้องมีความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้อยู่บ้าง…
ก็เหมือนกับตอนที่ตนได้พบกับเสี่ยวเนี่ยนโม่บนดินแดนเบื้องบนเป็นครั้งแรก เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าตนไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาเลย แต่สัญชาตญาณกลับต้องการจะใกล้ชิดเขา ทนเห็นเขาได้รับความอยุติธรรมไม่ได้ ถึงขั้นที่เขามาเกี้ยวพาเธอหลังจากที่เติบใหญ่แล้วเธอก็หงุดหงิดรำคาญ และหวั่นไหวไปกับหนุ่มน้อยวัยเยาว์คนหนึ่ง…
แต่สำหรับฟั่นเชียนซื่อ เธอไม่มีความรู้สึกเลย! อย่าว่าแต่ความรักอันเลือนรางเลย ถึงขั้นที่แม้แต่ความเคารพเทิดทูนก็ไม่บังเกิดขึ้นเลยสักนิด
เธอจึงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง กอดอกรับชมต่อไป
ฟั่นเชียนซื่อเพียงยิ้มเอ็นดูแวบหนึ่งให้กับคำขอแต่งงานของนาง ยกมือเขี่ยจมูกนางทีหนึ่ง “โง่งม เหตุใดต้องยึดติดกับรูปแบบด้วยเล่า พวกเราที่เป็นเช่นนี้แตกต่างจากสามีภรรยาตรงไหน?วางใจเถอะ เจ้าคือผลงานที่ข้าภาคภูมิใจที่สุด ย่อมจะมอบที่พักพิงที่ดีที่สุดให้เจ้า”
ความผิดหวังวาบผ่านนัยน์ตาของซีจิ่ว แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ติดตามฟั่นเชียนซื่อขึ้นเหนือล่องใต้ต่อไป
ทุกๆ ร้อยปีฟั่นเชียนซื่อจะไปเล่นหมากรุกดวงดาวกับตี้ฝูอี และเขาก็ได้พาซีจิ่วน้อยไปด้วยทุกครั้ง
ช่วงที่สองคนนั้นเดินหมากกัน ซีจิ่วน้อยจะชมอยู่ด้านข้าง บางครั้งก็ควบตำแหน่งเด็กรับใช้คอยปรนนิบัติคนทั้งสอง จัดชารินน้ำให้อยู่ด้านข้าง พลางชมกลหมากไปด้วย
แรกเริ่มซีจิ่วน้อยไม่รู้เรื่องเลย ได้แต่มองดูเงียบๆ ทำตัวเป็นสุภาพชนชมหมากไม่เอ่ยวาจาอย่างแท้จริง แต่หลังจากกลับมา จะวอแวขอซ้อมกลหมากดารากับฟั่นเชียนซื่อ ทักษะหมากของนางจึงค่อยๆ พัฒนาขึ้น
ยามที่ฟั่นเชียนซื่อไปเล่นหมากกับตี้ฝูอีอีกครั้ง นางก็มองกลยุทธ์บางส่วนออกแล้ว ถึงขั้นที่บางครั้งก็เดินหมากกับตี้ฝูอีอยู่ตาสองตาด้วย
————————————————————————————-
บทที่ 2648 ละครน้ำเน่าฉากใหญ่ 2
ตอนแรกตี้ฝูอีไม่เก็บนางมาใส่ใจเลย เพียงมองว่านางเป็นสาวน้อยที่ไม่มีความสำคัญเลยคนหนึ่ง แต่ต่อมาได้เห็นพรสวรรค์ในด้านนี้ของนาง เล่นหมากกับนางก็ไม่มีทีท่ากีดกันไสส่งอันใดแล้ว
ถึงขั้นที่ตี้ฝูอีค่อนข้างเอื้อเอ็นดูนางอยู่บ้าง ขณะที่ตกปลาในธารดารา ปลาทุกตัวที่ตกได้ไม่เพียงแต่บำรุงพลังวิญญาณมหาศาลเท่านั้น ยังมีรสชาติโอชาด้วย ทั้งหมดล้วนถูกนางปรุงอาหารกิน
สองคนนั้นแทบไม่กินอาหารเลย ดังนั้นปลาที่ซีจิ่วปรุงออกมานางจึงกินเองเสียสามในสี่แล้ว
ด้วยเหตุนี้พลังวิญญาณของนางจึงเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง
เมื่อหนังฉายมาถึงตรงนี้อันที่จริงยังคงนับได้ว่าปรองดองกันยิ่งนัก ตี้ฝูอีก็คงจะชอบศิษย์น้องหญิงตัวน้อยผู้นี้มาก ไม่เพียงแต่เล่นหมากกับนางเท่านั้น ไปเที่ยวเล่นท่ามกลางธารดาราเป็นเพื่อนนางบ่อยๆ ด้วย รอยยิ้มเบิกบานตลอดการเดินทางของนางสว่างไสวกว่าหมู่ดาวมากนัก
ไปๆ มาๆ เช่นนี้ ยามที่ตี้ฝูอีมองซีจิ่วอีกครั้ง สายตาก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยแล้ว ส่วนซีจิ่วก็ชมชอบพี่ชายตัวใหญ่ผู้สวมชุดสีม่วงคนนี้มากเหมือนกัน คอยตามหลังเขาเรียกเขาว่า ‘พี่ใหญ่’
แต่กู้ซีจิ่วยังคงชอบพอฟั่นเชียนซื่ออยู่ ผ่านไปสักสองสามร้อยปีก็จะขอแต่งงานทีหนึ่ง ส่วนฟั่นเชียนซื่อก็วางเฉยอยู่ตลอด เป็นเช่นนี้ไปนานเข้า ซีจิ่วก็นึกโกรธเขาขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว มักจะหนีไปเล่นกับตี้ฝูอีอยู่เสมอ
วันเวลาล่วงเลยนานไป ตี้ฝูอีชอบพอน้องเล็กคนนี้เข้าแล้ว แต่ความรู้สึกที่ซีจิ่วมีต่อตี้ฝูอีเป็นความรักฉันท์พี่น้อง มิใช่ความรักใคร่
จวบจนวันหนึ่ง ตี้ฝูอีได้ขอซีจิ่วแต่งงานอย่างเป็นทางการ อยากให้นางอยู่ข้างกายของตนไปตลอด
มาถึงยามนี้ซีจิ่วเพิ่งจะทราบถึงความรู้สึกของตี้ฝูอี ในใจของนางยังชมชอบฟั่นเชียนซื่ออยู่ ดังนั้นนางจึงปฏิเสธตี้ฝูอี
ตี้ฝูอีก็มิได้หงุดหงิด ยังคงพานางเที่ยวเล่นไปทั่ว พานางไปดื่มสุราในแดนมนุษย์ ซ้ำยังกลั่นสุราเซียนด้วยตัวเอง ให้นางลองชิมด้วย
กู้ซีจิ่วไม่มีใจระแวงเขา ดื่มสุราเซียนเข้าไปมากมายในคราวเดียว เมาฟุบอยู่ข้างกายตี้ฝูอี จากนั้นก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ชั่วขณะ มีสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยากับตี้ฝูอีเข้า…
เมื่อนางสร่างเมา ไม้ได้กลายเป็นเรือไปแล้ว นางก็อับจนหนทางเช่นกัน ทำได้เพียงตอบรับคำขอแต่งงานของตี้ฝูอี
จากนั้นทั้งสองก็ไปหาฟั่นเชียนซื่อด้วยกัน ให้เขาเป็นเจ้าภาพงานวิวาห์ให้คนทั้งสอง
ส่วนฟั่นเชียนซื่อพอทราบข่าวนี้เข้าก็ปานฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ ทึ่มทื่อไม่เอ่ยวาจาอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็ได้แต่ช่วยเติมเต็มความปรารถนา…
แต่ฟั่นเชียนซื่อยังคงเจรจากับตี้ฝูอีเป็นการส่วนตัวด้วยหนหนึ่ง พุดถึงความรับผิดชอบในฐานะเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ของเขาให้กระจ่าง เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ควบคุมความเป็นไปของโลกหล้า ไม่อาจมีความเอนเอียง ไม่อาจมีความรู้สึกส่วนตัวได้ มิเช่นนั้นก็ยากจะทำหน้าที่อย่างเป็นธรรมได้ หากเขาหลงรักคนผู้หนึ่งเข้าจริงๆ จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินรูปการณ์ในใต้หล้าของเขา หกภพภูมิจะเกิดความวุ่นวาย…
สรุปแล้วก็คือ เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ไม่อาจรักใครได้ ไม่อาจมีความรู้สึกส่วนตัวได้ หากว่ามีสิ่งเหล่านี้ ใต้หล้าจะเกิดความวุ่นวาย ดังนั้นถ้าตี้ฝูอีอยากจะแต่งกับซีจิ่วก็ทำได้ แต่ต้องส่งมอบตำแหน่งเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ออกมา
ตี้ฝูอีย่อมไม่เชื่อถือวาจานี้ เขารู้สึกว่ากฎเกณฑ์ลิขิตสวรรค์เป็นเขาที่ตราขึ้น การแต่งงานของเขากับซีจิ่วไม่มีอุปสรรคอันใด ดังนั้นเขาจึงมองเมินคำพูดของฟั่นเชียนซื่อไป เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ก็จะเป็น ภรรยาก็จะแต่ง
แต่ลิขิตสวรรค์ดำเนินมาเนิ่นนานปานนี้แล้ว กลายเป็นกฎเกณฑ์ที่ก่อขึ้นด้วยตัวเองไปแล้ว ผู้ใดล้วนไม่อาจฝ่าฝืนได้ ต่อให้เป็นเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ก็ต้องอยู่ในกฎเช่นกัน
ดังนั้นหลังจากที่ตี้ฝูอีแต่งงานกับกู้ซีจิ่ว ใต้หล้าก็เริ่มวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ ทวีปมากมายเกิดภัยพิบัติขึ้นไม่ขาดสาย แต่ละทวีปกำลังแตกแยกล่มสลาย หกภพภูมิก็วุ่นวายเละเทะไปหมด…
จวบจนยามนี้ตี้ฝูอีถึงได้เชื่อคำของฟั่นเชียนซื่อ เบื้องหน้าของเขามีทางเลือกเพียงสองทาง ทางแรกคือเลิกรากับซีจิ่วอย่างเด็ดขาด เขาเป็นเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์นี้ต่อไป อีกทางคือเขาปล่อยตำแหน่งเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ไป ให้ฟั่นเชียนซื่อรับช่วงต่อ…