ซูจิ่นซีเปิดจดหมาย ทว่ายิ่งอ่าน ยิ่งคิ้วขมวด เมื่ออ่านแล้วก็ยื่นจดหมายให้เยี่ยโยวเหยา
แม้เยี่ยโยวเหยาจะอ่านเพียงคร่าวๆ ทว่าคิ้วของเขากลับขมวดมุ่น
ในจดหมายของมู่หรงฉี นอกจากจะถามเกี่ยวกับอาการของมู่หรงอวิ๋นไห่แล้ว มู่หรงฉียังพูดถึงบางอย่างเกี่ยวกับสนามรบทางชายแดนตะวันออก
แคว้นหนานหลีและแคว้นตงเฉินทำสงครามต่อสู้กัน คราแรก แคว้นหนานหลีชิงความได้เปรียบมากกว่า
ทว่าต่อมา ตงหลิงหวงนำอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งที่เรียกว่ากระจกคุนหลุนออกมา ซึ่งทรงพลังอย่างมากจนกองทัพของแคว้นหนานหลีต้องถอยทัพกลับ
มู่หรงฉีถามซูจิ่นซีว่าพบวิธีถอนพิษให้มู่หรงอวิ๋นไห่หรือไม่
หากเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว หวังว่าซูจิ่นซีจะสามารถไปค้นหาไฟอมฤตที่ตำหนักเทพหวงอินบนยอดเขาหลิงอวิ๋นก่อน
เนื่องจากมู่หรงฉีได้ยินมาว่า เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ตำหนักเทพหวงอินหรือที่เรียกว่าไฟอมฤต สามารถสยบกระจกคุนหลุนได้
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จกันแน่
“ฉีอ๋องทำงานได้อย่างเหมาะสมมาตลอด ในเมื่อเขาพูดว่า เพลิงศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักเทพหวงอินสามารถสยบกระจกคุนหลุนได้ ก็คงเป็นเช่นนั้น พวกเราไปที่ยอดเขาหลิงอวิ๋นก่อนเถิด” เยี่ยโยวเหยาพูดปลอบใจซูจิ่นซี เมื่อเห็นว่าซูจิ่นซีทำอันใดไม่ถูก
ซูจิ่นซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ครั้งนี้ เยี่ยโยวเหยาที่นิ่งเฉยมาตลอดกลับพูดแทนมู่หรงฉี นางจ้องมองไปที่ดวงตาเคร่งขรึมลึกซึ้งของเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เยี่ยโยวเหยาลูบผมหน้าม้าของซูจิ่นซีอย่างรักใคร่และอ่อนโยน “เหตุใดเจ้าจึงมองข้าเช่นนี้? ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ไม่มีอันใดเพคะ! เพียง… จู่ๆ ก็รู้สึกว่าท่านอ๋องหล่อขึ้นกว่าเดิมมากเพคะ! ”
ซูจิ่นซีพูดพลางกอดแขนเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาคุ้นเคยกับคำศัพท์ใหม่ของซูจิ่นซีนานแล้ว แน่นอนว่าเขาเข้าใจความหมายของคำว่า ‘หล่อ’ เป็นอย่างดี
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ข้าไม่หล่อยามใดหรือ? ”
ซูจิ่นซีกระตุกมุมปากอย่างอับจนหนทาง
เยี่ยโยวเหยาผู้นี้ กลายเป็นคนหลงตัวเองตั้งแต่เมื่อใด?
เฮ้อ…
แท้จริงแล้ว โยวอ๋องหลงตัวเองมาก…
จากนั้น ซูจิ่นซีจึงตอบกลับจดหมายของมู่หรงฉี โดยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากเข้าไปในดินแดนต้องห้ามสกุลจง ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
เพื่อไม่ให้มู่หรงฉีที่อยู่ชายแดนเป็นกังวลเรื่องมู่หรงอวิ๋นไห่มากเกินไป สุดท้ายนางจึงเสริมว่า ‘จะพยายามคิดหาวิธีทำให้มู่หรงอวิ๋นไห่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอน’
ในตอนท้ายของจดหมาย ซูจิ่นซีถามมู่หรงฉีถึงเรื่องหนึ่ง
ได้ยินมาว่า แคว้นตงเฉินมีวิชาการหล่อขึ้นรูปที่สามารถปรับแต่งทุกสิ่งในโลกได้ หวังว่ามู่หรงฉีที่กำลังทำสงครามกับแคว้นตงเฉินจะค้นหาวิชาหล่อขึ้นรูป หากสามารถนำมาเก็บไว้ในกระเป๋าได้ จะดีไม่น้อยทีเดียว
นอกจากอมฤตทั้งห้าและอาคมกำไลปี่อั้น วิชาหล่อขึ้นรูปนับเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
หลังจากพักผ่อนมาทั้งวัน ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาจึงเตรียมพร้อมออกเดินทางสู่ยอดเขาหลิงอวิ๋น
ก่อนออกเดินทาง ซูจิ่นซีเข้าพบจงรุ่ยอันพ่อลูกและฮูหยินเฒ่าหาน เพื่อความปลอดภัย นางได้มอบร่างของมู่หรงอวิ๋นไห่และจงซีจือให้ฮูหยินเฒ่าหานดูแลชั่วคราว
จากภาพที่อยู่ในใจของฮูหยินเฒ่าหาน จงซีจือ บุตรสาวของนางได้เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน นางไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ได้พบกันอีก
เมื่อได้เห็นจงซีจือ นอกจากความตกใจแล้วยังมีความตื่นเต้นอีกด้วย
จงรุ่ยอันคิดไม่ถึงว่าจะได้พบน้องสาวของตนอีกครั้ง แม้เขาจะประคองฮูหยินเฒ่าหานและพยายามปลอบใจนาง ทว่าเขาก็รู้สึกตื่นเต้นและตกใจเช่นเดียวกับฮูหยินเฒ่าหาน
หลังจากฮูหยินเฒ่าหานแสดงความรักแล้ว ซูจิ่นซีจึงบอกความต้องการของตนกับฮูหยินเฒ่าหาน
“ท่านยาย ข้าขอมอบร่างของท่านแม่และเสด็จพ่อให้ท่านและท่านอาไว้ชั่วคราว ท่านอ๋องกับข้าต้องเดินทางไกล และไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด เดิมที ข้าควรส่งพวกเขากลับวังจึงจะถูก ทว่าตอนนี้ในวังเกิดความวุ่นวายและไม่สะดวก หวังว่าท่านยายจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ไม่แพร่งพรายออกไป”
ฮูหยินเฒ่าหานพยักหน้าหลายครั้ง
ซูจิ่นซีไตร่ตรองคำพูดของนาง “เสด็จพ่อในตอนนี้เพียงหมดสติไปเท่านั้น ทว่า… ท่านแม่ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว สาเหตุที่ร่างของนางยังอยู่ในสภาพดี เพราะนางถูกหล่อเลี้ยงด้วยยาสมุนไพรในดินแดนต้องห้าม”
อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้ไม่มีเรื่องการฟื้นคืนชีพ ฮูหยินเฒ่าหานจึงไม่ควรคาดหวังมากเกินไป
ฮูหยินเฒ่าหานเป็นผู้มีเหตุผล นางพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ตอนนี้ซูจิ่นซียังไม่รู้ว่า นางควรจัดการเรื่องของมู่หรงอวิ๋นไห่และจงซีจืออย่างไร ทว่านางต้องตามหาอมฤตทั้งห้าให้พบ และไปเยือนสำนักแพทย์เทียนอีก่อนต้นฤดูหนาว นอกจากนั้นยังมีเรื่องสงครามทางตะวันออกอีก นางต้องให้พวกเขารอก่อนชั่วคราว
ก่อนออกเดินทาง ด้วยเกรงว่าจะเกิดอันใดขึ้น ซูจิ่นซีและฮูหยินเฒ่าหานจึงนำร่างของมู่หรงอวิ๋นไห่และจงซีจือเข้าไปในห้องลับด้วยตนเอง และจัดวางองครักษ์เงาฝีมือดีที่สุดปกป้องพวกเขา
เพื่อเป็นการเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้น เนื่องจากเกรงว่าจิ้นอี้เฉินจะรู้ข่าวนี้และมาชิงคนไป ซูจิ่นซีจึงให้สัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกเก้าสีอยู่กับฮูหยินเฒ่าหาน
แน่นอนว่าสัตว์เทพกิเลนไม่เต็มใจ แม้ซูจิ่นซีจะบีบบังคับ ทว่ามันจะฝ่าฝืนคำสั่งของนายท่านได้อย่างไร?
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาจึงเดินทางไปที่ยอดเขาหลิงอวิ๋นเพื่อตามหาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักเทพหวงอิน
ยอดเขาหลิงอวิ๋นตั้งอยู่ในแคว้นจิ้นโหลวที่ชายแดนเป่ยเจิ้งสมัยต้าโจว มันเคยเป็นเส้นทางหลักของแคว้นจิ้นโหลวในการเดินทางติดต่อสู่โลกภายนอก
ผ่านไปหลายพันปี แม้แคว้นจิ้นโหลวจะไม่อยู่แล้ว ทว่ายอดเขาหลิงอวิ๋นยังคงตั้งตระหง่านอยู่เช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าตำหนักเทพหวงอินและเพลิงศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาหลิงอวิ๋นยังมีอยู่หรือไม่
ไม่กี่วันต่อมา ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาก็มายืนอยู่ที่ตีนเขาหลิงอวิ๋น
ยอดเขาตั้งตระหง่านท่ามกลางทะเลหมอก ตีนเขาเต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลนไร้จุดสิ้นสุด
ที่นี่มีเรื่องเล่าและตำนานมากมาย
ตามตำนานเล่าว่าในสมัยราชวงศ์ต้าโจว อ๋องผู้หนึ่งชื่อว่าฉู่อ๋อง สตรีอันเป็นที่รักของเขาถูกประตูเชียนจ้งปิดกั้นไว้ระหว่างแคว้นจิ้นโหลวกับโลกภายนอก ดังนั้นเขาจึงไม่รีรอและลงทุนลงแรงขุดเส้นทางไปสู่ยอดเขาหลิงอวิ๋น เพื่อช่วยสตรีอันเป็นที่รักของเขาออกมา
วันนี้ผ่านมาหลายพันปี แม้ร่องรอยในอดีตอันกว้างใหญ่จะหายไปกับสายลมและไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออีกแล้ว ทว่าเนินเขาที่อยู่ไม่ไกลจากยอดเขาหลิงอวิ๋นยังคงมองเห็นได้ทุกอย่าง
แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ตำนานที่สมมติขึ้น แต่เป็นเรื่องจริง
ได้ยินมาว่า เนินเขานี้สร้างขึ้นจากกองดินที่ฉู่อ๋องขุดเส้นทางจากตีนเขาไปสู่ยอดเขาหลิงอวิ๋น
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ราวกับว่า… ในตอนนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นจริงต่อหน้านาง
ในเวลาเดียวกัน ภาพเหตุการณ์หนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของนาง
ตอนนั้น แคว้นจิ้นโหลวไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว มีเพียงเมืองเล็กๆ ในปัจจุบัน ทว่ากลับมีประเพณีของแคว้นจิ้นโหลว เทศกาลซางเหยียน เส้นด้ายบนสะพานพรหมลิขิต
เสียงคึกคักของฝูงชน ปลายทั้งสองของสะพานมีเส้นด้ายสีแดง มีสตรีและบุรุษสวมชุดสีขาวราวกับหิมะยืนอยู่
บุรุษผู้นั้นแต่งกายด้วยชุดสีขาวและมีท่าทางราวกับเทพเซียน เขาสง่างามอย่างมากจนดูแล้วไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป
สตรีผู้นั้นมีใบหน้างดงามอย่างหาผู้ใดเปรียบไม่ได้ ดวงตากลมโตสดใสสุกสกาวยิ่งนัก
ทั้งคู่ไม่ใช่ฉู่อ๋องกับสตรีผู้เป็นที่รักในตอนนั้น แต่เป็น…
ซูจิ่นซีตกใจกับภาพในจิตสำนึกจนใบหน้าซีดขาว นางเดินซวนเซถอยหลังไปสองก้าวและเกือบล้มลง ทว่าเยี่ยโยวเหยาช่วยไว้ได้ทันพอดี
เยี่ยโยวเหยามองท่าทางผิดปกติของซูจิ่นซี และขมวดคิ้วเล็กน้อย “จิ่นซี เจ้าเป็นอันใดหรือ? ”
ซูจิ่นซีสับสนเล็กน้อย ภาพนั้นยังคงหมุนเวียนอยู่ในความคิด
ในภาพนั้น ด้ายแดงพรหมลิขิตบนสะพานกำลังพลิ้วไหวไปตามสายลม… สตรีผู้เป็นอิสระจากธรรมชาติถูกชายผู้นั้นรั้งตัวเข้าสู่อ้อมแขน และบรรจงจูบด้วยความรัก
ซูจิ่นซียิ่งตกตะลึงมากขึ้น ใบหน้าของนางซีดขาวอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้