เยี่ยโยวเหยาจับมือที่สั่นเทาเล็กน้อยของซูจิ่นซี ปลายนิ้วของนางเย็นเฉียบ
“ซูจิ่นซี? ”
ซูจิ่นซียังตกตะลึงอยู่เล็กน้อย ทว่านางพยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะมองเยี่ยโยวเหยาด้วยดวงตาสั่นไหวและแย้มยิ้มแผ่วเบา
ท่ามกลางความทรงจำนับพันปีที่ผ่านมา แม้นางกับจิ่วหรงจะเคยให้สัญญาว่าจะรักกัน แต่พวกเขาไม่เคยถูกเนื้อต้องตัวกันมาก่อน
ไม่มีแม้แต่จับมือถือแขน เช่นนั้นจะมีการจุมพิตดั่งภาพที่เห็นได้อย่างไร?
เกิดอันใดขึ้นกันแน่?
ดูเหมือนความทรงจำที่เลือนรางเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าราวกับมีใครบางคนร่ายมนตร์ผนึกไว้
ผู้ใดปิดผนึกความทรงจำของนางกัน?
เหตุใดต้องปิดผนึก?
เขากำลังพยายามปกปิดอันใด?
“ซูจิ่นซี? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วและเอ่ยเรียกซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีพยายามควบคุมตนเองไม่ให้คิดมากเกินไป
“ไม่สบายใจที่ใดหรือไม่? ”
“นิดหน่อยเพคะ”
ซูจิ่นซีกระชับเสื้อผ้าของตนให้แน่นขึ้น
ยอดเขาหลิงอวิ๋นมีหิมะตลอดทั้งปี หิมะหนาทึบสะสมเป็นเวลานานทำให้หนาวเย็นอย่างมาก
เยี่ยโยวเหยาถอดเสื้อคลุมออกและสวมลงบนร่างของซูจิ่นซี
ทันใดนั้น ดวงตาของซูจิ่นซีก็หันไปมองยอดเขาหลิงอวิ๋นที่สูงตระหง่านอยู่ด้านข้าง
ประตูเชียนจ้งไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เส้นทางที่ฉู่อ๋องขุดไว้ในตอนนั้นก็ไม่มีแล้ว ยกเว้นยอดเขาที่เย็นยะเยือกและหิมะที่กัดกร่อน นางมองไม่เห็นสิ่งใดแม้แต่น้อย ทว่าดูเหมือนนางสามารถมองเห็นความครึกครื้นของแคว้นจิ้นโหลวในยอดเขาหลิงอวิ๋นตอนนั้น
แต่ซูจิ่นซีไม่รู้ว่า เหตุใดนางจึงมีความรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้อย่างมาก
เยี่ยโยวเหยาเป็นผู้ที่มีความคิดละเอียดอ่อนยิ่งนัก ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของซูจิ่นซีจึงไม่อาจเล็ดลอดจากสายตาของเขาไปได้
อย่างไรก็ตาม เขาคิดเพียงว่าซูจิ่นซีจำเรื่องในอดีตได้อีกครั้ง จึงไม่ได้คิดอันใดมาก และคว้าไหล่ของซูจิ่นซีพาเดินมุ่งหน้าลึกเข้าไปในเส้นทางของยอดเขาหลิงอวิ๋น
ตำนานเล่าว่า แคว้นจิ้นโหลวในตอนนั้นล่มสลาย ตำหนักเทพหวงอินถูกราชินีแห่งแคว้นจิ้นโหลวปิดผนึกไว้ ทำให้ไม่อาจตามหาตำหนักเทพหวงอินได้ด้วยตาเปล่า
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาค้นหาอยู่นาน สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ตีนเขาสูงชันแห่งหนึ่ง
บางทีอาจเป็นเพราะซูจิ่นซีดูดซับพลังเทพเสวียนชี่จากจิ้นอี้เฉินมากเกินไป ทำให้อาคมกำไลปี่อั้นได้รับการฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุด นางจึงมีพลังสื่อสารกับวิญญาณ
ทันทีที่ทั้งสองเข้าใกล้ภูเขาสูงแห่งนี้ ซูจิ่นซีรู้สึกว่าภูเขาลูกนี้แตกต่างจากภูเขาอื่นมาก
เยี่ยโยวเหยาผู้ฝึกวิชายุทธจิ่วเซียวถึงขั้นที่แปด พลังภายในของเขาแข็งแกร่งมากเช่นกัน แม้การรับรู้ของเขาจะไม่แข็งแกร่งเท่าซูจิ่นซี ทว่าเขายังสัมผัสได้ว่าภูเขาที่อยู่ข้างหน้าถูกปิดผนึกไว้
“ตำหนักเทพหวงอินอยู่ที่นี่ หากต้องการเข้าไปในตำหนักเทพหวงอินต้องทำลายผนึกนี้เสียก่อน” ซูจิ่นซีพูด
“จากพลังภายในของเจ้ากับข้าในตอนนี้ สามารถทำได้หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่น่าจะมีปัญหา เท่าที่ข้าทราบมา ราชินีผู้ผนึกตำหนักเทพหวงอินไม่ได้ฝึกตนในระดับขั้นที่สูงมากนัก”
เยี่ยโยวเหยาพยักหน้า
ทั้งสองสบตากันอย่างเข้าใจโดยปริยาย ก่อนจะรวบรวมพลังและส่งพลังจากร่างเข้าสู่ฝ่ามือ ขณะที่พวกเขากำลังจะทำลายผนึก เสียง ‘หึ่ง หึ่ง หึ่ง’ ก็ดังก้องเข้ามาใบหู
ทั้งสองมองหาที่มาของเสียงพร้อมกัน พวกเขาเห็นเพียงภูเขาสูงตระหง่านที่อยู่ไกลออกไป มีบางสิ่งสีดำปกคลุมยอดภูเขาสีขาวทั้งหมด ทำให้ยอดภูเขาน้ำแข็งกลายเป็นสีดำ
เมื่อรอจนกระทั่งความดำมืดนั้นเข้ามาใกล้ พวกเขาจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าที่แท้เป็นนกจำนวนมาก
และเสียง ‘หึ่ง หึ่ง หึ่ง’ คือเสียงของนก
“มันคือนกไป่หลิง” เยี่ยโยวเหยากล่าว
นกไป่หลิงเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นจิ้นโหลว แคว้นจิ้นโหลวไม่มีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่คิดว่าจักรพรรดิแห่งแคว้นจิ้นโหลวจะทิ้งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องตำหนักเทพหวงอิน
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาหมุนตัวอย่างรวดเร็ว พวกเขาหันหลังเข้าหากัน เตรียมพร้อมต่อสู้กับนกไป่หลิง
น่าเสียดาย ซูจิ่นซีให้สัตว์เทพกิเลนอยู่กับฮูหยินเฒ่าหาน ไม่เช่นนั้น คงดีกว่าหากให้สัตว์เทพกิเลนใช้เปลวเพลิงกิเลนจัดการนกไป่หลิง
อย่างไรก็ตาม แม้ไม่มีสัตว์เทพกิเลน ซูจิ่นซีก็สามารถจัดการนกไป่หลิงได้
ซูจิ่นซีหยิบยาเม็ดขนาดเท่าไข่ไก่ออกมาจากระบบถอนพิษและวางไว้กลางฝ่ามือของนาง ยาเม็ดนั้นค่อยๆ กลายเป็นผง เมื่อนกไป่หลิงเข้ามาใกล้พวกเขา ซูจิ่นซีก็ซาดผงออกไปด้วยพลังภายในที่แข็งแกร่ง
ทันทีที่จ่าฝูงของนกไป่หลิงที่บินนำอยู่แถวหน้าปะทะกับฝุ่นผง พวกมันก็เกิดอาการกระสับกระส่ายอย่างมาก และเปลี่ยนทิศทางมาจิกหัวพวกเดียวกันเองอย่างบ้าคลั่ง
นกไป่หลิงเริ่มจิกนกไป่หลิงตัวอื่นๆ ราวกับว่ากำลังถูกมนตร์สะกด
ด้วยวิธีนี้ ก่อนที่ฝูงนกไป่หลิงจะเข้าใกล้ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา พวกมันก็เริ่มฆ่ากันเอง และพวกเขาก็เป็นฝ่ายชนะโดยไม่ต้องลงมือ
ดวงตาของซูจิ่นซีปรากฏความเคร่งขรึม หลังจากมองไปทางเยี่ยโยวเหยา ทั้งสองก็ร่วมมือกันปลดผนึกตำหนักเทพหวงอินอีกครั้ง
เมื่อผนึกของตำหนักเทพหวงอินค่อยๆ คลายออก ตำหนักอันงดงามวิจิตรบนยอดเขาสูงชันก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
จากตีนเขาไปจนถึงตำหนัก มีขั้นบันไดหินหนักสีเขียวเข้มปูไว้ตลอดเส้นทาง เป็นเหมือนบันไดที่ทอดยาวไปสู่ท้องฟ้า
เหนือขั้นบันได สีขาวของหิมะและก้อนเมฆบนท้องฟ้ารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ตำหนักสูงตระหง่านตั้งอยู่เหนือก้อนเมฆ ศักดิ์สิทธิ์ น่าเกรงขาม ชวนหลงใหล และน่าชื่นชม
เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซีและก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น มุ่งหน้าไปยังตำหนักเทพ
ทุกย่างก้าวที่พวกเขาเดิน ทุกย่างก้าวที่พวกเขาเข้าใกล้ตำหนักเทพ ภายในใจของพวกเขายิ่งทวีความเคารพต่อตำหนักเทพมากขึ้น
แรงจับที่มือของเยี่ยโยวเหยายิ่งจริงจังมากขึ้น
เหนือตำหนักเทพมีแสงศักดิ์สิทธิ์อันงดงามซึ่งทอประกายบนท้องฟ้าเหนือตำหนัก แสงนั้นสาดส่องจากบนลงล่าง ปกคลุมทั่วร่างของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา
แสงอันวิจิตรงดงามราวกับชุบทองเป็นชั้นๆ สว่างไสวจนพวกเขาสองคนไม่อาจลืมตาได้
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดทั้งสองก็เดินขึ้นบันไดมาจนสุดทาง และเดินมาถึงด้านหน้าตำหนักเทพหวงอิน
ทั้งสี่ด้านของตำหนักเทพมีประตูสี่บาน แบ่งออกเป็นทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และทิศตะวันตก ตามลำดับ
ไฟศักดิ์สิทธิ์ในตำหนักเทพหวงอินแตกต่างจากไฟธรรมดา ทันทีที่ทั้งสองเข้ามาใกล้ ซูจิ่นซีสัมผัสได้ว่ามีพลังมหาศาลเข้าใกล้พวกเขา
เปลวไฟพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า กระจายไปทุกทิศทาง และเปลวไฟนั้นอยู่ใกล้พวกเขาอย่างมาก
หากเป็นไฟประเภทอื่น พวกเขาคงรู้สึกถึงความร้อนอย่างแน่นอน ทว่าพวกเขาไม่เพียงไม่รู้สึกถึงความร้อน ในทางกลับกัน ยังมีความเย็นยะเยือกลอยอยู่รอบตัวพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีรู้ดีว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ พลังของเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ยิ่งไม่อาจมองข้ามได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ซูจิ่นซีคิดว่าควรใช้กระถางหงส์สัมฤทธิ์สำหรับไฟศักดิ์สิทธิ์จึงจะเหมาะสมที่สุด ดังนั้นนางจึงหยิบกระถางหงส์สัมฤทธิ์ออกมาจากระบบถอนพิษ และเดินเข้าไปในตำหนัก
เยี่ยโยวเหยาไม่ยอมปล่อยมือซูจิ่นซี ทั้งสองเดินจูงมือกัน
ทันทีที่พวกเขาทั้งสองก้าวเท้าเข้าไปในตำหนัก พลังอันแข็งแกร่งก็โจมตีมาทางซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา จนพวกเขาถอยหลังไปสองก้าวพร้อมกัน
ซูจิ่นซียืนอย่างมั่นคงและมองด้วยความตั้งใจ นางเห็นว่าตรงชายคาด้านนอกมีแสงสว่างสี่ดวง คือ สีแดง สีส้ม สีเหลือง และสีเขียวหมุนวนอยู่สองสามครั้ง จากนั้นจึงกลายร่างเป็นมนุษย์ยืนเรียงกันอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
ทว่าร่างนั้นดูเลือนรางราวกับไม่มีร่างกาย มีเพียงจิตวิญญาณ
“ช่างบังอาจยิ่งนัก บุกรุกเข้ามาในตำหนักเทพหวงอิน พวกเจ้าเป็นใคร รู้หรือไม่ว่าที่แห่งนี้คือสถานที่ใด”