เล่มที่ 25 เล่มที่ 25 ตอนที่ 748 ที่นี่คือสถานที่ใด

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

เยี่ยโยวเหยาจับมือที่สั่นเทาเล็กน้อยของซูจิ่นซี ปลายนิ้วของนางเย็นเฉียบ

“ซูจิ่นซี? ”

ซูจิ่นซียังตกตะลึงอยู่เล็กน้อย ทว่านางพยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะมองเยี่ยโยวเหยาด้วยดวงตาสั่นไหวและแย้มยิ้มแผ่วเบา

ท่ามกลางความทรงจำนับพันปีที่ผ่านมา แม้นางกับจิ่วหรงจะเคยให้สัญญาว่าจะรักกัน แต่พวกเขาไม่เคยถูกเนื้อต้องตัวกันมาก่อน

ไม่มีแม้แต่จับมือถือแขน เช่นนั้นจะมีการจุมพิตดั่งภาพที่เห็นได้อย่างไร?

เกิดอันใดขึ้นกันแน่?

ดูเหมือนความทรงจำที่เลือนรางเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าราวกับมีใครบางคนร่ายมนตร์ผนึกไว้

ผู้ใดปิดผนึกความทรงจำของนางกัน?

เหตุใดต้องปิดผนึก?

เขากำลังพยายามปกปิดอันใด?

“ซูจิ่นซี? ”

เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วและเอ่ยเรียกซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีพยายามควบคุมตนเองไม่ให้คิดมากเกินไป

“ไม่สบายใจที่ใดหรือไม่? ”

“นิดหน่อยเพคะ”

ซูจิ่นซีกระชับเสื้อผ้าของตนให้แน่นขึ้น

ยอดเขาหลิงอวิ๋นมีหิมะตลอดทั้งปี หิมะหนาทึบสะสมเป็นเวลานานทำให้หนาวเย็นอย่างมาก

เยี่ยโยวเหยาถอดเสื้อคลุมออกและสวมลงบนร่างของซูจิ่นซี

ทันใดนั้น ดวงตาของซูจิ่นซีก็หันไปมองยอดเขาหลิงอวิ๋นที่สูงตระหง่านอยู่ด้านข้าง

ประตูเชียนจ้งไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เส้นทางที่ฉู่อ๋องขุดไว้ในตอนนั้นก็ไม่มีแล้ว ยกเว้นยอดเขาที่เย็นยะเยือกและหิมะที่กัดกร่อน นางมองไม่เห็นสิ่งใดแม้แต่น้อย ทว่าดูเหมือนนางสามารถมองเห็นความครึกครื้นของแคว้นจิ้นโหลวในยอดเขาหลิงอวิ๋นตอนนั้น

แต่ซูจิ่นซีไม่รู้ว่า เหตุใดนางจึงมีความรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้อย่างมาก

เยี่ยโยวเหยาเป็นผู้ที่มีความคิดละเอียดอ่อนยิ่งนัก ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของซูจิ่นซีจึงไม่อาจเล็ดลอดจากสายตาของเขาไปได้

อย่างไรก็ตาม เขาคิดเพียงว่าซูจิ่นซีจำเรื่องในอดีตได้อีกครั้ง จึงไม่ได้คิดอันใดมาก และคว้าไหล่ของซูจิ่นซีพาเดินมุ่งหน้าลึกเข้าไปในเส้นทางของยอดเขาหลิงอวิ๋น

ตำนานเล่าว่า แคว้นจิ้นโหลวในตอนนั้นล่มสลาย ตำหนักเทพหวงอินถูกราชินีแห่งแคว้นจิ้นโหลวปิดผนึกไว้ ทำให้ไม่อาจตามหาตำหนักเทพหวงอินได้ด้วยตาเปล่า

ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาค้นหาอยู่นาน สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ตีนเขาสูงชันแห่งหนึ่ง

บางทีอาจเป็นเพราะซูจิ่นซีดูดซับพลังเทพเสวียนชี่จากจิ้นอี้เฉินมากเกินไป ทำให้อาคมกำไลปี่อั้นได้รับการฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุด นางจึงมีพลังสื่อสารกับวิญญาณ

ทันทีที่ทั้งสองเข้าใกล้ภูเขาสูงแห่งนี้ ซูจิ่นซีรู้สึกว่าภูเขาลูกนี้แตกต่างจากภูเขาอื่นมาก

เยี่ยโยวเหยาผู้ฝึกวิชายุทธจิ่วเซียวถึงขั้นที่แปด พลังภายในของเขาแข็งแกร่งมากเช่นกัน แม้การรับรู้ของเขาจะไม่แข็งแกร่งเท่าซูจิ่นซี ทว่าเขายังสัมผัสได้ว่าภูเขาที่อยู่ข้างหน้าถูกปิดผนึกไว้

“ตำหนักเทพหวงอินอยู่ที่นี่ หากต้องการเข้าไปในตำหนักเทพหวงอินต้องทำลายผนึกนี้เสียก่อน” ซูจิ่นซีพูด

“จากพลังภายในของเจ้ากับข้าในตอนนี้ สามารถทำได้หรือไม่? ”

ซูจิ่นซีพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่น่าจะมีปัญหา เท่าที่ข้าทราบมา ราชินีผู้ผนึกตำหนักเทพหวงอินไม่ได้ฝึกตนในระดับขั้นที่สูงมากนัก”

เยี่ยโยวเหยาพยักหน้า

ทั้งสองสบตากันอย่างเข้าใจโดยปริยาย ก่อนจะรวบรวมพลังและส่งพลังจากร่างเข้าสู่ฝ่ามือ ขณะที่พวกเขากำลังจะทำลายผนึก เสียง ‘หึ่ง หึ่ง หึ่ง’ ก็ดังก้องเข้ามาใบหู

ทั้งสองมองหาที่มาของเสียงพร้อมกัน พวกเขาเห็นเพียงภูเขาสูงตระหง่านที่อยู่ไกลออกไป มีบางสิ่งสีดำปกคลุมยอดภูเขาสีขาวทั้งหมด ทำให้ยอดภูเขาน้ำแข็งกลายเป็นสีดำ

เมื่อรอจนกระทั่งความดำมืดนั้นเข้ามาใกล้ พวกเขาจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าที่แท้เป็นนกจำนวนมาก

และเสียง ‘หึ่ง หึ่ง หึ่ง’ คือเสียงของนก

“มันคือนกไป่หลิง” เยี่ยโยวเหยากล่าว

นกไป่หลิงเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นจิ้นโหลว แคว้นจิ้นโหลวไม่มีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่คิดว่าจักรพรรดิแห่งแคว้นจิ้นโหลวจะทิ้งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องตำหนักเทพหวงอิน

ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาหมุนตัวอย่างรวดเร็ว พวกเขาหันหลังเข้าหากัน เตรียมพร้อมต่อสู้กับนกไป่หลิง

น่าเสียดาย ซูจิ่นซีให้สัตว์เทพกิเลนอยู่กับฮูหยินเฒ่าหาน ไม่เช่นนั้น คงดีกว่าหากให้สัตว์เทพกิเลนใช้เปลวเพลิงกิเลนจัดการนกไป่หลิง

อย่างไรก็ตาม แม้ไม่มีสัตว์เทพกิเลน ซูจิ่นซีก็สามารถจัดการนกไป่หลิงได้

ซูจิ่นซีหยิบยาเม็ดขนาดเท่าไข่ไก่ออกมาจากระบบถอนพิษและวางไว้กลางฝ่ามือของนาง ยาเม็ดนั้นค่อยๆ กลายเป็นผง เมื่อนกไป่หลิงเข้ามาใกล้พวกเขา ซูจิ่นซีก็ซาดผงออกไปด้วยพลังภายในที่แข็งแกร่ง

ทันทีที่จ่าฝูงของนกไป่หลิงที่บินนำอยู่แถวหน้าปะทะกับฝุ่นผง พวกมันก็เกิดอาการกระสับกระส่ายอย่างมาก และเปลี่ยนทิศทางมาจิกหัวพวกเดียวกันเองอย่างบ้าคลั่ง

นกไป่หลิงเริ่มจิกนกไป่หลิงตัวอื่นๆ ราวกับว่ากำลังถูกมนตร์สะกด

ด้วยวิธีนี้ ก่อนที่ฝูงนกไป่หลิงจะเข้าใกล้ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา พวกมันก็เริ่มฆ่ากันเอง และพวกเขาก็เป็นฝ่ายชนะโดยไม่ต้องลงมือ

ดวงตาของซูจิ่นซีปรากฏความเคร่งขรึม หลังจากมองไปทางเยี่ยโยวเหยา ทั้งสองก็ร่วมมือกันปลดผนึกตำหนักเทพหวงอินอีกครั้ง

เมื่อผนึกของตำหนักเทพหวงอินค่อยๆ คลายออก ตำหนักอันงดงามวิจิตรบนยอดเขาสูงชันก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขา

จากตีนเขาไปจนถึงตำหนัก มีขั้นบันไดหินหนักสีเขียวเข้มปูไว้ตลอดเส้นทาง เป็นเหมือนบันไดที่ทอดยาวไปสู่ท้องฟ้า

เหนือขั้นบันได สีขาวของหิมะและก้อนเมฆบนท้องฟ้ารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ตำหนักสูงตระหง่านตั้งอยู่เหนือก้อนเมฆ ศักดิ์สิทธิ์ น่าเกรงขาม ชวนหลงใหล และน่าชื่นชม

เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซีและก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น มุ่งหน้าไปยังตำหนักเทพ

ทุกย่างก้าวที่พวกเขาเดิน ทุกย่างก้าวที่พวกเขาเข้าใกล้ตำหนักเทพ ภายในใจของพวกเขายิ่งทวีความเคารพต่อตำหนักเทพมากขึ้น

แรงจับที่มือของเยี่ยโยวเหยายิ่งจริงจังมากขึ้น

เหนือตำหนักเทพมีแสงศักดิ์สิทธิ์อันงดงามซึ่งทอประกายบนท้องฟ้าเหนือตำหนัก แสงนั้นสาดส่องจากบนลงล่าง ปกคลุมทั่วร่างของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา

แสงอันวิจิตรงดงามราวกับชุบทองเป็นชั้นๆ สว่างไสวจนพวกเขาสองคนไม่อาจลืมตาได้

ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดทั้งสองก็เดินขึ้นบันไดมาจนสุดทาง และเดินมาถึงด้านหน้าตำหนักเทพหวงอิน

ทั้งสี่ด้านของตำหนักเทพมีประตูสี่บาน แบ่งออกเป็นทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และทิศตะวันตก ตามลำดับ

ไฟศักดิ์สิทธิ์ในตำหนักเทพหวงอินแตกต่างจากไฟธรรมดา ทันทีที่ทั้งสองเข้ามาใกล้ ซูจิ่นซีสัมผัสได้ว่ามีพลังมหาศาลเข้าใกล้พวกเขา

เปลวไฟพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า กระจายไปทุกทิศทาง และเปลวไฟนั้นอยู่ใกล้พวกเขาอย่างมาก

หากเป็นไฟประเภทอื่น พวกเขาคงรู้สึกถึงความร้อนอย่างแน่นอน ทว่าพวกเขาไม่เพียงไม่รู้สึกถึงความร้อน ในทางกลับกัน ยังมีความเย็นยะเยือกลอยอยู่รอบตัวพวกเขา

อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีรู้ดีว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ พลังของเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ยิ่งไม่อาจมองข้ามได้

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ซูจิ่นซีคิดว่าควรใช้กระถางหงส์สัมฤทธิ์สำหรับไฟศักดิ์สิทธิ์จึงจะเหมาะสมที่สุด ดังนั้นนางจึงหยิบกระถางหงส์สัมฤทธิ์ออกมาจากระบบถอนพิษ และเดินเข้าไปในตำหนัก

เยี่ยโยวเหยาไม่ยอมปล่อยมือซูจิ่นซี ทั้งสองเดินจูงมือกัน

ทันทีที่พวกเขาทั้งสองก้าวเท้าเข้าไปในตำหนัก พลังอันแข็งแกร่งก็โจมตีมาทางซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา จนพวกเขาถอยหลังไปสองก้าวพร้อมกัน

ซูจิ่นซียืนอย่างมั่นคงและมองด้วยความตั้งใจ นางเห็นว่าตรงชายคาด้านนอกมีแสงสว่างสี่ดวง คือ สีแดง สีส้ม สีเหลือง และสีเขียวหมุนวนอยู่สองสามครั้ง จากนั้นจึงกลายร่างเป็นมนุษย์ยืนเรียงกันอยู่เบื้องหน้าพวกเขา

ทว่าร่างนั้นดูเลือนรางราวกับไม่มีร่างกาย มีเพียงจิตวิญญาณ

“ช่างบังอาจยิ่งนัก บุกรุกเข้ามาในตำหนักเทพหวงอิน พวกเจ้าเป็นใคร รู้หรือไม่ว่าที่แห่งนี้คือสถานที่ใด”