ภาคที่ 34 เทพจักรวาล ตอนที่ 53 วันคืนอันเงียบสงัด

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตรงประตูหน้าของวังเทพจิตโลกา ไม่นานนักบรรดาผู้บำเพ็ญซึ่งถูกผลักไสและเคลื่อนย้ายออกมาก่อนหน้านี้ได้รับข่าวที่ทำให้พวกเขาต้องอ้าปากค้าง

จักรพรรดิเซี่ยและปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ทำศึกครั้งใหญ่อยู่ภายในวังเทพจิตโลกา ศึกนั้นมีความเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่นัก ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์สู้ไปพลางหนีไปพลาง ตลอดทางที่ห้ำหั่นกันนั้น ก็ทำให้กับดักต้องห้ามต่างๆ ของวังเทพจิตโลการะเบิดออกมา ท้ายที่สุดปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์อาศัยสภาพแวดล้อมพิเศษของวังเทพจิตโลกาหลบหนีไปได้พ้น ทว่าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่น้อย

ศึกใหญ่ครั้งนี้มีผู้แกร่งกล้าหลายคนภายในวังเทพจิตโลกาเป็นประจักษ์พยาน

และต้นเหตุของศึกครั้งนี้…ก็เพราะจ้าวหิมะเหินแห่งรัฐเมฆทักษิณาที่น่าสงสารถูกปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์สังหารและชิงเอาสมบัติล้ำค่าไป ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จ้าวหิมะเหินก็เป็นผู้แกร่งกล้าของทางฝ่ายรัฐโบราณคิมหันตวายุ ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์กลั่นแกล้งผู้น้อยคนหนึ่ง จักรพรรดิเซี่ยก็ย่อมต้องออกหน้าเป็นธรรมดา! มิเช่นนั้นแล้วจะทำให้บรรดาเค่อชิงทั้งหลายสบายใจได้อย่างไรกันเล่า

“เป็นศึกครั้งใหญ่ที่สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูต่อกรกัน พบเห็นได้ยากนัก”

“จ้าวหิมะเหินที่น่าสงสาร ต้องทุ่มเทอะไรไปมหาศาลจึงเข้าไปในวังเทพจิตโลกาได้ เมื่อเข้าไปในวังเทพจิตโลกาแล้วก็ยังโชคดีอีก ใช้เวลาไปกว่าร้อนล้านปีก็น่าจะได้สมบัติลับระดับยอดสุดมาและมีพลังระดับจอมเคารพแล้ว! หลังจากด่านสิบสองกัลป์ยังได้รับสมบัติล้ำค่าอย่าง ‘แหล่งกำเนิดห้วงสมุทร’ มาอีกด้วย น่าเสียดายที่เมื่ออยู่ต่อหน้าปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ ไม่ใช่แค่สูญเสียสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ไปเท่านั้น แม้แต่พวกอาวุธและสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมต่างๆ ที่เขาพกติดตัวมาก็คงหมดสิ้นไปแล้วกระมัง เขาเสียหายใหญ่หลวงแล้ว!”

“นั่นสิ สูญเสียทรัพย์สมบัติไปตั้งมากมายถึงเพียงนี้ หากเป็นข้า ข้าคงเจ็บปวดใจจนตาย”

“ไม่เลวแล้วล่ะ เขามีร่างแยกตั้งมากมาย อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่!”

“มีชีวิตอยู่แล้วอย่างไรเล่า ก่อนหน้านี้เขาเป็นยอดฝีมือระดับจอมเคารพแล้ว ตอนนี้เมื่อไร้ซึ่งสมบัติลับระดับยอดสุด ก็กลายเป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้แม้แต่สมบัติลับเขตลวงโลกเทียมก็ไม่มีแล้ว พลังสู้ก่อนหน้านี้ไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป”

เหล่าเทพจักรวาลกลุ่มใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าประตู

ส่วนใหญ่พวกเขาได้ผลประโยชน์จากวังเทพจิตโลกาน้อยอย่างยิ่ง เมื่อเห็นอิงซานเสวี่ยอิงเป็นเช่นนี้ บางคนก็รู้สึกดีใจกับความโชคร้ายนั้น! เพราะถึงอย่างไรในดินแดนจิตโลกา ความสัมพันธ์ระหว่างหกรัฐโบราณก็ไม่นับว่าดีสักเท่าใดนัก การช่วงชิงห้ำหั่นกันก็มีให้เห็นบ่อยนัก เมื่อได้เห็นคนของขุมอำนาจอีกฝ่ายเคราะห์ร้าย ก็ยินดีปรีดานัก

“น่าเสียดายๆ” จอมเคารพมารอัคคีก็ทอดถอนใจอยู่ตรงนั้น ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุ เขาก็ยังคงยืนอยู่ทางฝ่ายตงป๋อเสวี่ยอิง ตอนนี้เขาไม่มีความอิจฉาริษยาตงป๋อเสวี่ยอิงอีกต่อไป แต่กลับรู้สึกสงสารตงป๋อเสวี่ยอิงขึ้นมาแล้ว “เฮอะ ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์เป็นถึงสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับลงมือกับชนรุ่นหลังโดยไม่ไว้หน้าตนเองเช่นนี้ได้”

“จ้าวหิมะเหินเสียเปรียบมากมายขนาดนี้ คิดจะพลิกกายก็ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อใดแล้ว!”

******

แม้ในประวัติศาสตร์วังเทพจิตโลกา จะมีผู้บำเพ็ญที่เข่นฆ่าซึ่งกันและกันจนสิ้นใจอยู่ในนั้น

แต่อันที่จริงแล้วเนื่องจากวังเทพจิตโลกานั้นใหญ่มาก ผู้ที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันจึงเดินทางไปด้วยกันได้ จะบังเอิญเข้าไปในบริเวณเดียวกันแล้วยังเข่นฆ่ากันเองทั้งยังเข่นฆ่ากันได้สำเร็จอีก เดิมทีก็เป็นเรื่องหาได้ยากอยู่แล้ว! ครั้งนี้วังเทพจิตโลกาเปิดออกมาจนถึงบัดนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถูกสังหาร  อีกทั้งก่อนหน้านี้เพิ่งจะเล่าลือกันว่าเขาเป็นผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพ หลังจากนั้นติดๆ ก็มีข่าวแพร่สะพัดว่าเขาถูกปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์สังหารแล้วชิงเอาสมบัติล้ำค่าทั้งหมดไป แต่กลับทำให้เหล่าเทพจักรวาลทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาได้ยินขาวแล้วก็ทอดถอนใจกันยกใหญ่

“เพิ่งรุ่งโรจน์ขึ้นมาก็จมดิ่งลงไปเสียแล้ว โชชคชะตาช่างยากทำนายจริงๆ”

“จ้าวหิมะเหินผู้น่าสงสาร”

บรรดาเทพจักรวาลตามที่ต่างๆ ในดินแดนจิตโลกา เมื่ออยู่ด้วยกัน โดยทั่วไปก็ต้องพูดถึงตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วรำพึงออกมาสักหลายประโยค

ส่วนใหญ่ล้วนเห็นอกเห็นใจ

เพราะถึงอย่างไรก็มิใช่คนของหกรัฐโบราณ คิดจะได้สมบัติลับระดับยอดสุดและสำเร็จเป็นระดับจอมเคารพนั้นยากเย็นเพียงใด จ้าวหิมะเหินเพิ่งรุ่งโรจน์ขึ้นมา ภายในวันเดียวกันก็ถูกปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ทำลายเสียแล้ว เคราะห์ดีที่โลกภายนอกยังมีร่างแยก มิเช่นนั้นแล้วหากสิ้นใจไปจริงๆ จึงจะน่าเศร้า

……

ณ เมืองหิมะเหินแห่งรัฐเมฆทักษิณา

ในจวนจ้าว

ในศาลาข้างทะเลสาบ ตงป๋อเสวี่ยอิงต้มสุราพลางครุ่นคิดอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง กระบวนท่าสุดท้ายที่ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์กุมคทาแล้วลงมือเต็มแรง ภายใต้รัศมีอันไร้ขอบเขตที่ลอบโจมตีเข้ามานั้น ราวกับไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีที่ให้หลบซ่อน  อานุภาพอันน่าหวาดหวั่นเช่นนั้นทำให้หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านไปหมด นั่นคือการปะทุอย่างแท้จริงของผู้ที่เหนือชั้นกว่าเทพจักรวาลอีกระดับหนึ่ง!

ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็อาศัยสมบัติลับอันสูงส่ง ปะทุการโจมตีนี้ออกมาอย่างสุดกำลัง ร่างแยกทั้งเก้าของเขาสลายไปจนสิ้น ทั้งยังสูญเสียสมบัติล้ำค่าไปจนหมด

“แม้จะเสียหายใหญ่หลวง แต่ครั้งนี้ข้าก็ได้เจ็ดกระบวนคละถิ่นมา ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงบนิ่งนัก

แม้เขาจะเดือดแค้นอยู่บ้าง

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ เขาก็ทำได้เพียงทิ้งความคิดไปก่อนชั่วคราว แล้วสงบจิตบำเพ็ญ ต้องยกระดับพลังของตนจึงจะเป็นแก่นแท้! นอกจากนี้วันที่อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดจะแตกสลายก็คอยเฆี่ยนตีเขา ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องพยายามสำเร็จเป็นเทพจักรวาลขั้นสุดยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด

“เสวี่ยอิง” เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้า ซึ่งก็คือประมุขรัฐเมฆทักษิณาร่างผอมซูบในอาภรณ์สีดำ

“ท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาร่อนลงมาแล้วเดินมานั่งขัดสมาธิลงตรงข้ามตงป๋อเสวี่ยอิง ก่อนจะรินสุราให้ตนเองจอกหนึ่งแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ข้ายังกังวลว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อเจ้า ตอนนี้เมื่อได้เห็นเจ้า ข้าก็เบาใจแล้ว จิตใจเจ้านี่ไม่เลวเลย เผชิญกับเรื่องที่ทิ่มแทงเจ้าขนาดนี้ยังสามารถสงบนิ่งเช่นนี้ได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงรออยู่ครู่หนึ่ง

หากเป็นเหมือนที่โลกภายนอกคาดเดากันล่ะก็…

เขาได้รับสมบัติลับระดับยอดสุดและแหล่งกำเนิดห้วงสมุทรมา จากนั้นก็ถูกทำลาย สมบัติล้ำค่าสูญสิ้น บวกกับที่เสียสมบัติล้ำค่าต่างๆ ของตนเช่นอาภรณ์ราชันย์มาร หอกเทพเมฆาแดงและลูกแก้วห้าภาพไปด้วย การทิ่มแทงเช่นนี้ช่างใหญ่หลวงยิ่งนัก เพียงพอจะทำให้เทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่งโกรธเสียจนแทบคลั่งได้ ยากนักที่จะสงบจิตสงบใจได้

แต่อันที่จริงแล้ว

ตนมิได้ได้รับสมบัติลับระดับยอดสุดมา หากแต่อาศัยเจ็ดกระบวนคละถิ่นและการปรับปรุงยุทธวิธีเมฆาแดงและร่างแยกทั้งเก้าจึงมีพลังรบเช่นนั้นได้ ส่วนสมบัติล้ำค่าที่สูญเสียไปน่ะหรือ สมบัติล้ำค่าเหล่านั้นมีส่วนช่วยเรื่องพลังของตนไม่มากเท่าไหร่แล้ว สำหรับตนนั้น ก็แค่สูญเสียสมบัติล้ำค่าบางส่วนไปเท่านั้น สิ่งที่ตนได้รับล้ำค่ากว่านั้นมาก ก็คือเจ็ดกระบวนคละถิ่นที่ทำให้บรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูต้องอิจฉาตาร้อน

“เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว จะคิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าก็ยังมีพลังไม่พออยู่ดีขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“คงมีผู้ที่ส่งสารมาให้เจ้าไม่น้อยกระมัง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ้ม

“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “มีคนไม่น้อยที่ปลอบใจข้า และมีผู้ที่เชิญข้าไปร่วมงานเลี้ยง แม้แต่ละคนจะเห็นใจข้า บางคนถึงกับสงสารข้า ทว่าข้าเดาว่าก็คงมีบางคนดีใจกับความโชคร้ายของข้า”

ประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ ศิษย์คนนี้พูดเรื่องเหล่านี้ได้อย่างสงบนิ่งนัก เขาปล่อยวางเช่นนี้ได้จริงๆ  หรือ

“จากนี้ไปจะทำเช่นไรต่อเล่า” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถาม

“จะทำเช่นใดได้อีกขอรับ บำเพ็ญให้ดีๆ ต่อไปก็แล้วกัน หรือว่าจะวิ่งไปหาปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์แล้วสู้อย่างสุดชีวิตเล่า นั่นก็เป็นการรนหาที่ตายเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มอย่างสบายๆ

……

วันคืนต่อจากนั้นก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่พบแขกเลย แล้วบำเพ็ญด้วยความเก็บเนื้อเก็บตัวเป็นอย่างมาก เขาส่งร่างแยกมายังสกุลฝาน

“น้องหิมะเหิน” มหาเคารพซือเทียนต้อนรับ “ข้าได้ยินเรื่องราวของเจ้าแล้ว ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้นั้นเป็นถึงสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู แต่กลับลงมือชิงสมบัติจากเจ้าในวังเทพจิตโลกา ช่างเกินไปจริงๆ น่าเสียดายที่รัฐโบราณคิมหันตวายุของเราก็อับจนหนทาง”

“ข้าเข้าใจขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

รัฐโบราณทั้งสองมีความแค้นต่อกันมากมายถมไป เรื่องของตนก็นับได้ว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สะดุดตาเท่านั้น

“มหาเคารพซือเทียน ข้ามาในครั้งนี้ก็เพราะอยากจะบำเพ็ญใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตน่ะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิกล่าวว่า “ข้าน่าจะสามารถใช้คุณูปการแลกมาได้กระมัง”

“อ้อ” มหาเคารพซือเทียนเผยรอยยิ้มออกมา “ได้สิๆ หนึ่งหมื่นมหาคุณูปการสามารถบำเพ็ญได้ร้อยล้านปี”

ต้นไม้เทพผลาญจิตก็อยู่ตรงนั้น

สองพันล้านปีก็ต้องใช้ถึงสองแสนมหาคุณูปการ! เพียงพอจะแลกเปลี่ยนสมบัติลับระดับยอดสุดชิ้นหนึ่งมาได้แล้ว ช่างใจดำอำมหิตโดยแท้

“ข้าจะไปบำเพ็ญ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้พูดให้มากความ เขายืดกายขึ้นทันที

“ไปๆๆ” มหาเคารพซือเทียนส่งตงป๋อเสวี่ยอิงไปด้วยตนเองอย่างกระตือรือร้น บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังมีอีกสี่หมื่นมหาคุณูปการ หากจะแลกเปลี่ยนวัตถุต่างๆ เช่นสมบัติล้ำค่า สกุลฝานก็ยังต้องทุ่มเทบ้าง ส่วนต้นไม้เทพผลาญจิตน่ะหรือ การบำเพ็ญใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตนั้นมิได้ส่งผลกระทบใดต่อต้นไม้เทพผลาญจิตแม้แต่น้อย เพียงแต่ต้องใช้ ‘เวลา’ บ้างสักหลายร้อยล้านปีเท่านั้นเอง

ดังนั้น…

ภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตต้นเตี้ยแข็งแกร่งบึกบึนซึ่งประหนึ่งสลักขึ้นจากหยกสีม่วงเข้มที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกมาปกคลุม หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญอยู่ตรงนั้น

……

เวลาเคลื่อนคล้อยไปอย่างไร้สุ้มเสียง

ณ อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด ในดินแดนจิตโลกา ร่างแยกทั้งหมดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็กำลังบำเพ็ญอย่างสงบ พลังก็ค่อยๆ ยกระดับขึ้นตามเวลาที่ล่วงเลยไป

 ………………………………………….

(จบบทที่ 34)