บทที่ 2709 ทอดทิ้ง 4
นางออกไปไม่ได้แล้ว!
ส่วนท้องก็เจ็บปวดเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ราวกับพร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
ร่างของนางชุ่มเหงื่อไปหมดแล้ว พลันตัดสินใจ ยื่นมือไปหมายจะตะปบท้องของตน!
นิ้วมือของนางแหลมคมยิ่งกว่ามีดที่คมกริบ ด้วยการตะปบนี้จะแหวกหน้าท้อง ควักสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ด้านในออกมาได้!
บางทีอาจเป็นเพราะคือท้องของนางเอง ไอมารเจ็ดสีนั้นจึงไม่อาจสกัดขวางมือของนางได้ ยามที่มือข้างนั้นกำลังจะสัมผัสกับหน้าท้องที่นูนเด่นของนาง ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามา
อูอู๋เหยียนครางเฮือก นิ้วมือถูกแสงสีเขียวพุ่งชน หักไปทันที
ความเจ็บปวดจากการถูกหักนิ้วกัดกินเข้าไปถึงหัวใจไขกระดูก
นางตะลึงไปครู่หนึ่ง ดวงตาที่วาวโรจน์ดั่งเพลิงมองไปทางตัวการที่ยิงแสงสีเขียวออกมา มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่าน…ท่านคิดจะสังหารข้าหรือ?!”
ฟั่นเชียนซื่อมองนิ้วที่บิดเบี้ยวของนาง รวมถึงสภาพที่ราวกับถูกงมขึ้นมาจากน้ำ ม่านตาหดตัวนิดๆ เอ่ยอย่างเฉยเมย “อู๋เหยียน จำเป็นต้องสละเจ้าแล้ว อย่าได้ดิ้นรนโดยเปล่าประโยชน์เลย ยอมรับความจริงนี้อย่างว่าง่ายเสียเถิด!”
อูอู๋เยี่ยนตกตะลึง…
การโจมตีนี้สำหรับนางแล้วเป็นการคร่าชีวิตอย่างเห็นได้ชัด
นางภักดีต่อเขาเยี่ยงสุนัขตัวหนึ่ง ตอนนี้เขากลับสลัดนางทิ้งเหมือนรองเท้าเก่าๆ…
“สุดท้ายท่านก็ไม่ต้องการข้าแล้ว…” แววตานางแข็งทื่อ น้ำเสียงเลื่อนลอย “ท่าน…ท่านบอกว่าจะพาข้าไปด้วยตลอด ไม่ทอดทิ้ง…”
แววตานางช่างสิ้นหวังเหลือเกิน สิ้นหวังจนคล้ายว่าจะทำให้อุณหภูมิภายในห้องโดยสารลดต่ำลงหลายองศา
ฟั่นเชียนซื่อสูดหายใจนิดๆ “อาเหยียน นี่ไม่ใช่การทอดทิ้ง นี่คือทางเลือกสุดท้าย เมื่อกี้หากว่าเจ้าดื่มสุราจอกนั้นจนหมดในคราวเดียว จะทำให้เจ้าไปสบายเร็วขึ้นหน่อย ไม้ต้องรับความทรมานมากมายปานนี้ แต่เจ้ากลับทำมันหก…”
“เช่นนั้นท่านก็สังหารข้าตอนนี้เลยสิ!” อูอู๋เหยียนตะโกน คล้ายจะทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้
ตอนนี้นางเจ็บปวดเหลือเกิน! ในเมื่อจะช้าหรือเร็วก็ต้องตายอยู่ดี เช่นนั้นมิสู้ให้นางหาทางหลุดพ้นไปแต่เนิ่นๆ…
ฟั่นเชียนซื่อละสายตาไป “อาเหยียน นี่เป็นสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องแบกรับ”
ก่อนที่สิ่งที่อยู่ในท้องนางจะถือกำเนิดออกมา นางไม่อาจตายได้
สุราจอกนั้นที่เขากลั่นออกมาหากว่านางดื่มเข้าไปทั้งหมด ไอมารในสุราจะทำให้สิ่งนั้นก่อร่างขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จะแหวกท้องออกมา
แต่เนื่องจากไม่ได้ดื่มจนหมด การเจริญเติบโตของสิ่งนั้นจึงเชื่องช้าไปหน่อย ไม่อาจก่อร่างได้ ย่อมต้องพยายามดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่ด้านในเป็นธรรมดา…
เดิมทีนิ้วมือของอูอู๋เหยียนจับชายชุดของฟั่นเชียนซื่อเอาไว้แน่น บัดนี้กลับค่อยๆ คลายออกทีละนิ้ว “ท่านอำมหิตนัก…ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่ทางสบายก็จะไม่มอบให้ข้า…”
ความสิ้นหวังในดวงตาของนางสิ้นหวังเข้มข้นนัก ความชิงชังก็รุนแรงเหลือเกิน ฟั่นเชียนซื่อไม่สบตากับนางอีก เบือนหน้าไปเสีย ไม่มองนางต่อ “เจ้าทนไว้อีกสักพักเถอะ อีกสักพักก็สบายแล้ว”
อูอู๋เหยียนยิ้มอย่างน่าเวทนาแวบหนึ่ง ไม่เอ่ยวาจาอีก
อันที่จริงแล้ว ในช่วงหลังนางไม่ส่งเสียงอีกเลยสักแอะ เพียงเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวดยิ่งนักอย่างไร้สุ้มเสียง…
สภาพของนางทำให้กู้ซีจิ่วทนมองไม่ไหว นางอยากลงมือมอบทางหลุดพ้นให้อูอู๋เหยียนยิ่งนัก จนปัญญาที่เขตแดนของฟั่นเชียนซื่อแข็งแกร่งเกินไป นางทำลายไม่ได้ชั่วขณะ
เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้ายิ่ง ฟั่นเชียนซื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจากร่างของอูอู๋เหยียน ควบคุมยานรบลำนี้ให้เดินหน้าต่อไป
แต่ไม่รู้ว่ายานรบลำนี้เกิดความขัดข้องอันใดขึ้น ราวกับถูกบางสิ่งยื้อยุดไว้ ได้แต่หมุนวนอยู่ที่เดิม ไม่เดินหน้าต่อไป
เขาหงุดหงิดฉุนเฉียว มือไม้ไม่นิ่ง ทำให้คันโยกตัวหนึ่งบนแท่นควบคุมโดนดึงจนหักออกมา
“สมควรตาย!” เขาสบถคราหนึ่ง หันกลับไปมองอูอู๋เหยียนแวบหนึ่ง
อูอู๋เหยียนเหยียดท้องอันใหญ่โตอยู่ตรงนั้น มือเท้าเริ่มกระตุก ไอมารหน้าทารกบนท้องของนางเริ่มเคลื่อนเข้าหาใบหน้าของนางอย่างช้าๆ ค่อยๆ เผยเขี้ยวยาวโง้งออกมา…
ฟั่นเชียนซื่อถอนหายใจนิดๆ อย่างโล่งอก
เขารู้ดีว่า หากใบหน้าทารกนี้เข้าประชิดดวงหน้าของอูอู๋เหยียนอย่างแท้จริงแล้ว จะดูดเอาดวงวิญญาณของนางออกมาจากปากของนาง จากนั้นก็กลืนกิน เช่นนั้นความทรมานนี้ของนางก็นับว่าสิ้นสุดลงแล้ว
ส่วนกู่ลูกตัวนี้ก็จะก่อร่างขึ้นอย่างแท้จริง แหวกท้องออกมา กลายเป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ทำภารกิจของมันให้ลุล่วง ช่วยเขาทำการใหญ่ให้สำเร็จสมบูรณ์…
เสียง ‘ตูม!’ ดังสนั่นขึ้น ผนังยานที่แข็งกล้าดุจโคตรเพชรพลันแตกเป็นรูใหญ่!
เงาร่างสีม่วงสายหนึ่งปรากฏตัวขึ้นภายในห้องโดยสารทันที แขนเสื้อโบกตวัด แสงสีรุ้งพุ่งออกมาปานสะพานสายรุ้ง ซัดเข้าใส่อูอู๋เหยียนทันที!
คนผู้นี้ปรากฏขึ้นรวดเร็วเกินไป พอปรากฏตัวขึ้นก็โจมตีปานสายฟ้าแลบ!
ฟั่นเชียนซื่อกำลังใจลอยไปหน่อย ตอบสนองไม่ทันชั่วขณะ ยามที่ปฏิกิริยาตอบสนองของเขากลับมาคิดจะเข้าขัดขวาง ก็กอบกู้อะไรไม่ได้แล้ว
แสงรุ้งที่ทรงพลังสายนั้นครอบคลุมทั้งร่างของอูอู๋เหยียนไว้…
มีเสียงกรีดร้องโหยหวนของทารกแว่วออกมาจากแสงรุ้งครึ่งเสียง ทำเอาหูคนชาหนึบ
แต่ก็เพียงครึ่งเสียงเท่านั้น แสงรุ้งพลันหมุนวน สลายเสียงแหลมสูงนั้นไปย่างสิ้นเชิง
เมื่อโดมแสงสีรุ้งเลือนหายไป อูอู๋เหยียนที่อยู่บนพื้นก็หายไปแล้ว กู่ลูกตัวนั้นย่อมหายไปด้วยเช่นกัน…
ฟั่นเชียนซื่อล้มเหลวในขั้นสุดท้าย สีหน้าซีดเผือดอย่างไม่อาจควบคุมได้ เขาพุ่งกระโจนเข้าหากู้ซีจิ่วในทันใด!
ชัดเจนยิ่งนักว่าคิดจะจับเธอมาใช้เป็นโล่กำบัง
แต่การโผครั้งนี้ของเขากลับได้เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น เนื่องจากกู้ซีจิ่วเคลื่อนย้ายไปแล้ว
ทิศทางการเคลื่อนย้ายของเธอไม่เอนเอียงเลย เป็นข้างกายของคนชุดม่วงผู้นั้นพอดิบพอดี แทบจะโผเข้าใส่อ้อมแขนของคนชุดม่วงผู้นั้นแล้ว “ฝูอี!”
กลิ่นหอมอันคุ้นเคยอวลอยู่ที่ปลายจมูก กู้ซีจิ่วแทบหลั่งน้ำตาแล้ว
คนชุดม่วงผู้นั้นย่อมเป็นตี้ฝูอี แขนข้างหนึ่งของเขาโอบนางไว้ อีกข้างซัดฝ่ามือเข้าใส่ฟั่นเชียนซื่อ “เจ้าไปตายได้แล้ว!”
….
————————————————————————————-
บทที่ 2710 ครอบครัวสามคน
แสงรุ้งซัดโถมดั่งคลื่นสมุทร วูบไหวปานกระแสไฟฟ้า ครอบคลุมทั้งร่างของฟั่นเชียนซื่อไว้!
ฟั่นเชียนซื่อหัวเราะเสียงยาวอยู่ท่ามกลางแสงรุ้ง คลื่นแสงที่มีสีน้ำเงินเจิดจ้าสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมาจากแสงรุ้ง เกิดเสียงดังฟุ่บพุ่งเข้าไปในโพรงที่เกิดขึ้นจากการทำลายยาน หายลับไปในชั่วพริบตา…
และทันทีที่เขาจากไป ยานรบที่พังเสียหายลำนี้ก็ราวกับเรือกระดาษลำน้อยที่ประสบพายุมรสุม หลุดกระจายเป็นชิ้นๆ กลายเป็นเศษซากอยู่ในอวกาศ
ไม่น่าเชื่อว่าฟั่นเชียนซื่อจะหลบหนีได้เร็วขนาดนี้!
เดิมทีกู้ซีจิ่วนึกว่า พอตี้ฝูอีมาถึง จะต้องเปิดศึกกับฟั่นเชียนซื่อสักยกแน่นอน ต่อสู้กันจนฟ้าดินสิ้นสีสัน ตะวันจันทราไร้แสง
กลับคาดไม่ถึงเลยว่าฟั่นเชียนซื่อจะหนีไปอย่างว่องไวเช่นนี้! ถึงขั้นที่ไม่ได้เผชิญหน้ากับตี้ฝูอีอย่างแท้จริง ก็หนีหายไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งทาน้ำมันไว้ที่เท้าแล้ว…
ด้วยวรยุทธ์อันเลิศล้ำนี้ ต่อให้เป็นหนึ่งสู้สองก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้กระมัง?
แล้วทำไมถึงหนีเร็วเหมือนจะรีบไปเกิดใหม่แบบนี้?!
ขณะที่เธอตกตะลึงอยู่ ก็ร่วงออกมานอกยานพร้อมกับตี้ฝูอีแล้ว
ยานรบที่อยู่ข้างกายลำนั้นพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ราวกับมีการปล่อยดอกไม้ไฟชุดใหญ่ขึ้นไม่ไกลจากข้างกายเธอ ลอยกระจายอยู่ท่ามกลางห้วงอวกาศสีน้ำเงินเข้ม เป็นความงดงามพร่างพราวประการหนึ่ง
ตี้ฝูอีโอบเธอไว้ ส่วนเธอก็จับแขนเสื้อของเขาไว้ตามสัญชาตญาณ
โชคดีที่ตอนนี้พลังยุทธ์ของทั้งสองล้วนเป็นซ่างเสินแล้ว ไม่ต้องสูดหายใจ อยู่ท่ามกลางอวกาศที่เยือกแข็งเช่นนี้ก็ไม่เป็นไร
“พวกเราจะตามไปไหม?” กู้ซีจิ่วถามอย่างร้อนใจ
“ไม่จำเป็น” ตี้ฝูอีส่ายหัวนิดๆ “ตามไม่ทันหรอก”
ในระยะเวลาเพียงชั่วครู่นี้ ร่องรอยของฟั่นเชียนซื่อได้สาบสูญไปแล้ว
กู้ซีจิ่วมองดูรอบข้าง เห็นเพียงห้วงอวกาศสีน้ำเงินมืดมน มองไม่เห็นเงาร่างของฟั่นเชียนซื่อสักนิดแล้วจริงๆ หนีได้รวดเร็วยิ่งกว่ายานรบเสียอีก!
ประหลาด ในเมื่อเขาใช้วิธีนี้หลบหนีได้ แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงขับยานรบอยู่ตลอด?
เธอเอ่ยข้อสงสัยนี้ออกมา
“เพื่อกู่ตัวลูก ร่างโคลนนิ่งนางนั้นพลังยุทธ์อ่อนด้อย ไม่สามารถอยู่รอดในอวกาศได้ มีแต่ต้องใช้ยานรบพากลับไป” ตี้ฝูอีตอบ แล้วเล่าเรื่องกู่แม่ลูกให้เธอฟังอย่างพอสังเขป
กู้ซีจิ่วหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบทั่วร่าง เพิ่งรู้ว่าสังขารที่อูอู๋เหยียนครอบครองคือร่างโคลนนิ่ง ในท้องของนางคือกู่ตัวลูกที่เพียงพอจะเป็นภัยพิบัติล้างโลกาได้ มิน่าล่ะถึงได้แปลกประหลาดขนาดนั้น…
โชคดีที่ตี้ฝูอีตามมาถึงทันเวลา มิเช่นนั้นเกรงว่ากู่ลูกตัวนั้นคงถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว!
สงสารก็แต่อูอู๋เหยียน…
จู่ๆ เธอก็ขยุ้มแขนเสื้อของตี้ฝูอี “เมื่อครู่นี้ฝ่ามือของท่านได้ซัดให้ดวงวิญญาณของอูอู๋เหยียนแตกสลายไปด้วยหรือเปล่า?”
ตี้ฝูอีมองมือน้อยๆ ของนางที่ขยุ้มแขนเสื้อตนอยู่ ส่ายหน้านิดๆ “สิ่งที่ข้าอยากทำลายคือกู่ลูก จึงไม่ได้ใช้กระบวนท่าสลายดวงวิญญาณ ในร่างโคลนนิ่งนั้นคืออูอู๋เหยียนหรือ?” เขาย่อมจดจำสตรีนางนั้นได้อยู่
กู้ซีจิ่วพยักหน้า “ใช่แล้ว เป็นนาง” เล่าไปพลาง ร่ายอาคมรวบรวมดวงวิญญาณไปด้วยพลาง
แววตาตี้ฝูอีวูบไหวเล็กน้อย ยืนกอดอกมองนางร่ายอาคมอยู่ตรงนั้นเสียเลย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอชักมือกลับ ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “ดวงวิญญาณของอูอู๋เหยียนหายไปแล้ว! หรือว่าพออยู่ในอวกาศเช่นนี้ดวงวิญญาณจะหนีหายไปได้เร็วขึ้น? หรือว่าฟั่นเชียนซื่อถือโอกาสพาไปด้วยอีก?”
ตี้ฝูอีก็ลองร่ายอาคมรวมวิญญาณดูเช่นกัน ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เก็บมือ “ไม่ต้องหาแล้ว ดวงวิญญาณของนางน่าจะถูกฟั่นเชียนซื่ออันใดนั่นพาไปด้วยแล้ว”
กู้ซีจิ่วเดือดดาล “ไอ้สารเลวคนนั้น! ทรมานผู้อื่นจนกลายเป็นเช่นนั้นแล้วยังไม่ยอมปล่อยไปอีก!”
ตี้ฝูอีรั้งนางเข้าสู่อ้อมแขน สีหน้าเรียบเฉย “เขาเรียกว่าฟั่นเชียนซื่อหรือ? มีฐานะใด?”
“เขาคือ…”
กู้ซีจิ่วกำลังจะเล่าความเป็นมาของอีกฝ่ายออกมา