ผืนดินอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งเตียนโล่ง ไร้ซึ่งพืชพรรณใดๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นบนผืนดินแห่งนี้
“ภายในเตาสามขาเพลิงโลกันตร์แบ่งเป็นโลกสามชั้นจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสอากาศได้ว่องไวเพียงใด โลกอันกว้างใหญ่ภายในเตาสามขาเพลิงโลกันตร์ราวกับทรงกลมมหึมาลูกหนึ่ง โลกชั้นหนึ่งห่อหุ้มอีกชั้นหนึ่งเอาไว้รวมสามชั้นด้วยกัน ที่ตนอยู่ในตอนนี้ก็คือโลกชั้นนอกสุด ในบรรดาโลกทั้งสามชั้นนั้น โลกชั้นนอกและโลกชั้นในเหมือนจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ มีเพียงโลกตรงใจกลางเท่านั้นที่มีกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งอยู่
“น่าหวาดหวั่นนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นแฝงกายอยู่ในโลกใจกลางเตาสามขาเพลิงโลกันตร์ ตงป๋อเสวี่ยอิงรับรู้อยู่ห่างๆ ก็ยังทำให้เขาประหวั่นใจอย่างมิอาจควบคุมได้
“ด้วยพลังของข้าในทุกวันนี้ ยังรู้สึกกดดันอีกหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าเดินไป
“เฮอะ”
ทันใดนั้นเสียงเฮอะอย่างเย็นชาก็ลอยมาจากที่ไกลๆ จากโลกชั้นใจกลางสุด เสียงนั้นทุ้มต่ำราวกับลอยออกมาจากหุบเหวลึกแล้วทะลุผ่านโลกชั้นแล้วชั้นเล่ามาถึงโลกชั้นนอก หากเป็นเทพจักรวาลทั่วไปก็เกรงว่าคงจะถูกกระทบกระเทือนจนร่างกายแหลกสลายเป็นผุยผงและสิ้นชีวิตไปแล้ว
“น่าสนใจดีนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่หวั่นเกรง บัดนี้สิ่งที่สามารถทำให้เขาคร้ามเกรงได้ก็มีไม่มากแล้วจริงๆ
เขาสาวเท้าก้าวเดินไป
“ตู้ม…”
ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งแพร่ออกมาจากโลกชั้นใจกลางสุดแล้วกวาดผ่านโลกชั้นในไปจนถึงโลกชั้นนอก
มืดฟ้ามัวดินราวกับพายุทำลายล้างโลก เพียงพริบตาเดียวก็หอบม้วนทั้งโลกชั้นนอกเอาไว้ และกวาดลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง! ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงมีกระแสอากาศสีดำวงแล้ววงเล่ารายล้อมเอาไว้ พายุอันน่าหวาดหวั่นนี้แม้จะมีอานุภาพแข็งแกร่ง แต่เมื่อกวาดลงบนกระแสอากาศสีดำนี้กลับทำให้กระแสอากาศสีดำบิดเบี้ยวและเปลี่ยนแปลงไป แต่กลับมิอาจทำลายให้แตกสลายไปได้เลย
“พายุนี้ก็มีอานุภาพระดับเทพจักรวาลชั้นที่สามแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งสนใจใคร่รู้ยิ่งขึ้น “มิน่าเล่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จึงอยากได้มัน เขาคงจะรู้ความลับบางอย่างของเตาสามขาเพลิงโลกันตร์”
ตนไม่รู้ก็จริง ทว่าก็สามารถค่อยๆ สืบค้นไปได้
ฟิ้ว
ระหว่างที่สาวเท้าไปนั้น ไม่นานก็ทะลุผนังโลกเข้าสู่โลกชั้นใน
อานุภาพของโลกชั้นในยิ่งน่าหวาดหวั่นขึ้นไปอีก สามารถมองเห็นกระแสอากาศสีแดงเพลิงที่โหมซัดสาดระลอกแล้วระลอกเล่าได้ด้วยตาเปล่า พันพาดเข้ามาราวกับมังกรก็มิปาน กระแสอากาศสีแดงเพลิงบางส่วนพลันรวมตัวกันขึ้นมา กลายเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่หุ้มเกราะสีแดงชาดเอาไว้ บนใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยเกล็ดสีแดง นัยน์ตาอันเยียบเย็นคู่หนึ่งเหลือบมองลงไปยังชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่ปรากฏกายขึ้นมาแล้วเอ่ยปากพูดว่า “หยวนปล่อยเจ้าเข้ามาหรือ สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำตัวหนึ่ง มาสิ เหมาะจะเป็นอาหารของข้าเท่านั้นแหละ”
เสียงของเขาต่ำลึกและก้องกังวาน สะท้อนไปทั่วทุกหนแห่งในโลก
“สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขา
“เฮอะๆๆ”
สิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงพลันกะพริบวาบขึ้นมา เพียงพริบตาเดียวก็รุกขึ้นไปถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง
“ฮ่าฮ่า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มออกมา “เจ้าเป็นใครกัน มีความสัมพันธ์อันใดกับหยวน”
เสียงของเขายังสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ อากาศรอบด้านกลับมีภาพนับพันนับหมื่นภาพปรากฏขึ้นมาทันใด บางครั้งในภาพนี้ก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงผุดขึ้นมา บางครั้งภาพอีกภาพหนึ่งก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏขึ้น คนอื่นๆ ที่อยู่ในภาพก็ยังคงหัวร่อต่อกระซิกกัน
“เจ้าคู่ควรมาถามข้าด้วยอย่างนั้นหรือ” สิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงกวัดแกว่งกรงเล็บ แคว่กๆๆ…แม้แต่ละภาพจะทนทานเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงถูกฉีกทึ้งออกทีละภาพๆ เพียงแต่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นไม่ใส่ใจเลย เขายังคงสับเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ สิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงตนนั้นมิอาจสัมผัสถูกเขาได้เลย
“เหตุใดเจ้าจึงมาปรากฏกายอยู่ในเตาสามขาอันหนึ่งได้เล่า ถูกจับมาหรือ ถูกหยวนจับตัวมาหรือไร” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดินต่อไป
“สมควรตาย”
สิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว
ฟิ้วๆๆ…
กระแสอากาศสีแดงเพลิงซึ่งเดิมทีโหมซัดอยู่กลางฟากฟ้ารวมตัวกันขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงตนแล้วตนเล่าอย่างต่อเนื่อง แต่ละตนล้วนโกรธเกรี้ยวหาใดเปรียบ เพียงพริบตาเดียวก็รวมตัวขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงหลายร้อยตน ทำให้สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย “เป็นไปได้อย่างไรกัน” เขาค้นพบแล้วว่า สิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงนี้นี้เหิมเกริมหาใดเปรียบ พลังเมื่อเทียบกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ยังแข็งแกร่งกว่าอยู่บ้าง เพียงแต่กระบวนท่าเหมือนจะหยาบกร้านมาก ตนจึงสามารถอาศัยยุทธวิธีหิมะเหินที่คิดค้นขึ้นเองปั่นหัวเขาได้อย่างง่ายดาย
บัดนี้ ไม่ส่าจะเป็นยุทธวิธีเมฆาแดงหรือว่ายุทธวิธีภายในปุจฉวิถีคละถิ่นหรือว่าเคล็ดผนึกห้าภาพและอื่นๆ ภายใต้ระดับขั้นเช่นนี้ก็ดูหยาบนัก เขาอาศัยวิธีการใช้ยุทธวิธีต่างๆ อย่างประณีต หลอมรวมเข้ากับเคล็ดลับการใช้งานพลังคละวิถีของเจ็ดกระบวนคละถิ่น และปรับปรุงแก้ไขด้วยระดับขั้นของตนในตอนนี้ ก่อให้เกิดเป็นยุทธวิธีอันสมบูรณ์ชุดหนึ่ง
แน่นอนว่ายุทธวิธีชุดนี้ยังกำลังก้าวหน้าอยู่ เมื่อระดับขั้นของเขายกระดับขึ้น ยุทธวิธีชุดนี้ก็สามารถยกระดับต่อไปได้
“ตายเสียเถอะ”
“สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่สมควรตาย”
“สมแล้วที่เจ้าจะเยาะเย้ยข้า”
สีหน้าของสิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงหลายร้อยตนนั้นต่างก็เหี้ยมเกรียมและโกรธเกรี้ยวเหมือนกันหมด ล้อมโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ฟาดฟันตามอำเภอใจ เพียงชั่วครู่ก็แหลกสลายเป็นผุยผงไปอย่างต่อเนื่อง ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงวิธีการมากมายออกมา ก็ถูกพวกเขาทำลายไปด้วยพละกำลังอันเหิมเกริม
“ฟิ้วๆๆ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงใจกลางของน้ำวนดำทะมึนอันน่าหวาดหวั่น ไม่มีทางหลบพ้นได้ เช่นนั้นก็ต้องรับศึกซึ่งหน้าแล้ว
สวบๆๆๆๆๆ…สิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงแน่นขนัดหลายร้อยร่างล้อมโจมตีเข้าไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างบ้าคลั่ง แทบจะในพริบตาเดียว กระแสอากาศสีดำคุ้มกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกฉีกทึ้งออกไป แม้เขาจะสำแดงเคล็ดลับการต่อสู้ต่างๆ ออกมา ฝ่ามือหนึ่งตะปบลงไปบนร่างของสิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงนั้นจนกลายเป็นกระแสอากาศไปเป็นครั้งคราว แต่จากนั้นติดๆ กระแสอากาศเหล่านั้นก็ยังคงรวมตัวกันขึ้นมาได้อีก ช่างไม่ตายไม่สลายไปจริงๆ
ภายใต้การล้อมโจมตี ทางด้านตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกโจมตีเสียจนกระเด็นลอยไป!
เพียงครู่เดียวก็ถูกโจมตีเข้าไปในส่วนลึกของผืนดิน เพียงครู่เดียวก็ลอยเข้าไปกลางท้องฟ้า! ถูกโจมตีเสียจนปรากฏเป็นเงารางจำนวนมาก
ช่วยไม่ได้
หลายร้อยคน แต่ละคนพลังแข็งแกร่งกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เสียอีก ต่อให้กระบวนท่าหยาบกร้าน แต่ก็สามารถกดดันตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างสิ้นเชิง
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะถูกโจมตีอย่างน่าสงสารมาก แต่ร่างกายกลับไม่เสียหายแม้แต่ผิวหนังด้วยซ้ำ
เขาฝึกฝนฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สองสำเร็จตั้งนานแล้ว! ทุกวันนี้ก็ยังปรับปรุงไปมากมาย ยังสมบูรณ์แบบกว่าปุจฉวิถีคละถิ่นก่อนหน้านี้เสียอีก ความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงพอจะเทียบได้กับผู้แกร่งกล้าระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดหน้าใหม่ทางสายฝึกกายแล้ว…ต้องรู้ไว้ว่า ผู้แกร่งกล้าเทพจักรวาลขั้นสุดยอดทางสายฝึกกายนั้นมิอาจฆ่าให้ตายได้! บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ฆ่าไม่ตาย! หากต้องลงมือสักหลายกระบวนท่าอาจจะสามารถทำให้ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางสายฝึกกายบาดเจ็บสาหัสได้ แต่เพียงชั่วความคิดเดียวของผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางสายฝึกกายก็สามารถหลบหนีไปได้แล้ว! เจ้าศิลาก็คือผู้ที่บรรลุถึงขั้นสุดยอดทางสายฝึกกาย มาถึงระดับนี้แล้ว ร่างกายก็รวมตัวและสลายไปได้อย่างไม่ธรรมดา สามารถปรากฏกายในที่แห่งใดของโลกกำเนิดก็ได้ หากซ่อนเหตุปัจจัยเอาไว้ ศัตรูก็มิอาจหาร่องรอยได้พบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีลูกไม้พิเศษ ‘ทางสายฝึกกาย’ เช่น รวมตัวและสลายไปอย่างไม่ธรรมดาหรือซ่อนเร้นเหตุปัจจัยอย่างสิ้นเชิง เป็นต้น
แต่เขาเป็นยอดฝีมือทางด้านวิถีอากาศซึ่งมีเคล็ดวิชารักษาชีวิตอย่าง ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด’ และ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา เป็นต้น พลังคละวิถีฝึกกายและวิญญาณ จะตามหาเหตุปัจจัยของเขาก็ยากนัก ร่างแยกทางด้านดินแดนจิตโลกาถึงขั้นหลอมรวมเอาโลหิตหัวใจหยดหนึ่งของ ‘มารดามังกรหมื่นสัมผัส’ เข้าไปในวิญญาณ คิดจะตามรอยตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่
แน่นอนว่า…
สิ่งมีชีวิตเกราะแดงตรงหน้านี้ยังทำให้เขาบาดเจ็บมิได้
“น่าสนใจดี สิ่งมีชีวิตเกราะสีแดงเหล่านี้เหมือนจะเป็นชีวิตเดียวกัน เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีกลิ่นอายใหญ่โตในโลกชั้นใจกลางนั่นหรือ” หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านขึ้นมา “ไปดูเสียหน่อยดีกว่า”
วิชาสูงส่งคนก็ฮึกเหิม
ฟิ้ว
รอยแยกสีดำด้านข้างกะพริบวาบคราหนึ่งแล้วหายไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อันตรธานไปแล้ว เขาอาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาตรงเข้าไปภายในโลกชั้นใจกลาง
……
ณ โลกชั้นใจกลางของโลกทั้งสามชั้นในเตาสามขาเพลิงโลกันตร์
ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งปรากฏกายก็รู้สึกว่ารอบด้านร้อนระอุหาใดเปรียบ ร้อนระอุกว่าดวงอาทิตย์ดั้งเดิมตั้งมากมาย
กระแสอากาศสีดำล้อมรอบกายเขา เมื่อปรากฏขึ้นที่นี่ ก็อดมองไปทางสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวในโลกชั้นใจกลางมิได้…
สัตว์ประหลาดสีแดงเพลิงขนาดมหึมาพังพาบอยู่ตรงนั้น มันมีแขนขนาดมหึมาแน่นขนัดไปหมด เมื่อปราดมองคราหนึ่ง ก็เห็นว่าน่าจะมีนับหมื่นเลยทีเดียว แขนขนาดมหึมาเหล่านี้ปกคลุมอากาศเอาไว้ ศีรษะของสัตว์ประหลาดอยู่ตรงกลาง ดวงตามหึมาจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง
“นี่มันสิ่งมีชีวิตอะไรกันน่ะ” ชั่วขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นก็งงงันไป
เหนือผิวของแขนขนาดมหึมาแต่ละข้างมีแสงจำนวนนับไม่ถ้วนไหลเวียนอยู่ แฝงไว้ด้วยความเร้นลับนานาชนิด หากให้เวลาตนมากพอ ตนก็คงจะสามารถค่อยๆ วิเคราะห์วิธีการใช้ความเร้นลับพิเศษในนั้นได้! ส่วนดวงตาขนาดมหึมาตรงกลางศีรษะนั้น ดวงตาเปล่งแสงสีทองออกมา กลางแสงสีทองมีอักขระลับซึ่งราวกับของจริงหมุนเวียนอยู่ แล้วส่องสะท้อนลงบนร่างของตน
สายตาแฝงไว้ด้วยความกดดันอันน่าหวาดหวั่น แต่ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็นับว่าแข็งแกร่งพอจึงไม่สนใจอะไรนัก
“มีสิ่งมีชีวิตประเภทนี้อยู่ด้วยหรือ เป็นร่างแปรของกฎเกณฑ์จริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงซาบซึ้งใจขึ้นมา
“สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่อยู่ในกรง” แขนข้างหนึ่งของสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาพลันกวัดแกว่ง
ฟิ้ว
ขณะเดียวกับที่กวัดแกว่งนั้น แสงจำนวนนับไม่ถ้วนบนมือเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความรู้สึกกระหายที่จะค่อยๆ ค้นคว้าขึ้นมา แต่ก็ไม่มีเวลาให้เขา มือทะลุผ่านอุปสรรคของมิติไปแล้วมาถึงตรงหน้า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็แค่กวัดแกว่งฝ่ามือออกไป ฝ่ามือมีแสงอันสะดุดตาปรากฏขึ้น ภายในมีมิติหลายชั้นปรากฏขึ้นมา
“พลั่ก!”
ฝ่ามือหนึ่งซัดโจมตี พยายามอย่างสุดกำลัง ทำให้พลังโจมตีเคลื่อนผ่านห้วงมิติไปถึงยังกลางห้วงมิติระดับที่สูงขึ้น ห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าในอุ้งมือของตงป๋อเสวี่ยอิงลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง พลานุภาพนั้นน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน เพียงพริบตาเดียวก็เพิ่งจะฝืนเดินไปได้เพียงห้าชั้นเท่านั้นเอง
หมื่นเคล็ดวิชาของยุทธวิธีหิมะเหินไม่ติดขัด!
“พลานุภาพนี้ไม่ด้อยไปกว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์โจมตีอย่างสุดกำลังเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจ
บรรพชนราตรีนิรันดร์นั้นใช้การโจมตีอย่างสุดกำลังของสมบัติลับล้ำค่าระดับสูง แต่นี่เป็นเพียงแค่การโจมตีตามอำเภอใจของสัตว์ประหลาดตนหนึ่งเท่านั้นเอง
“ฟิ้ว”
ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงถูกกระแทกลอยออกไป เคล็ดวิชาคุ้มกายและการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดยังคงทำให้ร่างกายตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดบาดแผลขนาดใหญ่รอยหนึ่ง แต่บาดแผลก็สมานติดกันอย่างรวดเร็ว
“หืม ไม่ตายอีกหรือ” สัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง สิ่งมีชีวิตที่มิได้หนีออกจากกรงขังคนหนึ่ง การโจมตีหนึ่งของเขาก็มิอาจฆ่าให้ตายได้
“เจ้าถูกหยวนคุมขังเอาไว้ที่นี่ใช่หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างกระตือรือร้น เสียงสนั่นก้องฟ้าดิน เขาอยากจะถ่วงเวลาออกไปให้ได้มากที่สุด มิฉะนั้นตนคงจะต้านทานการห้ำหั่นเช่นนี้เอาไว้ได้ไม่นานสักเท่าใดนัก
……………………………………………………..